พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภการตะเกียกตะกายจะฆ่าพระองค์นั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺเสเต จ ตโย ธมฺมา ดังนี้.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระเทวทัตบังเกิดในกำเนิดวานร ควบคุมฝูงอยู่ใน หิมวันตประเทศ เมื่อลูกวานรที่อาศัยตนเติบโตแล้ว ก็ขบพืช ของลูกวานรเหล่านั้นเสียสิ้น เพราะกลัวว่า วานรเหล่านี้จะแย่ง คุมฝูง.
            ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ก็อาศัยวานรนั้นแหละ ถือปฏิสนธิ ในท้องของนางวานรตัวหนึ่ง. ครั้นนางวานรรู้ว่าตั้งครรภ์ เพื่อ จะถนอมครรภ์ของตน ก็ได้ไปสู่เชิงเขาตำบลอื่น พอท้องแก่ ครบกำหนดก็คลอดพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เจริญวัย ถึง ความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง วันหนึ่งถาม มารดาว่า แม่จ๋า ใครเป็นพ่อของฉัน. มารดาตอบว่า พ่อคุณ บิดาของเจ้าคุมฝูงอยู่ที่ภูเขาลูกโน้น. แม่พาฉันไปหาพ่อเถิด.
            ลูกจ๋า เจ้าไม่อาจเข้าใกล้พ่อของเจ้าได้ เพราะพ่อของเจ้า คอยขบพืชของลูกวานรที่อาศัยตนเกิดเสียหมด เพราะกลัวจะ แย่งคุมฝูง. แม่จ๋า พาฉันไปเถิด ฉันจักรู้ (อนาคตของตนเอง).
            นาง จึงพาพระโพธิสัตว์มายังสำนักของวานรผู้เป็นพ่อ. วานรนั้นเห็นลูกของตนแล้ว ก็คิดว่า เมื่อเจ้านี่เติบโตจัก ไม่ยอมให้เราคุมฝูง ต้องฆ่ามันเสียบัดนี้ทีเดียว เราจักทำเป็น เหมือนสวมกอดมัน แล้วก็บีบให้แน่นให้ถึงสิ้นชีวิตให้จงได้ จึง กล่าวว่า มานี่เถิดลูก เจ้าไปไหนเสียนมนานจนป่านนี้ ดังนี้แล้ว ทำเป็นเหมือนกอดรัดพระโพธิสัตว์ รัดจนแน่น.
            ก็พระโพธิสัตว์ มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง จึงบีบรัดตอบ. ครั้งนั้น กระดูกทุกชิ้นส่วนของวานรนั้น ถึงอาการจะแตกแยก. ลำดับ นั้น วานรผู้เป็นพ่อ เกิดวิตกว่า ไอ้นี่เติบโตขึ้นต้องฆ่าเรา เรา ต้องหาอุบายอะไร รีบฆ่ามันเสียก่อน แต่นั้นก็คิดได้ว่า ไม่ไกล จากนี้ มีสระที่มีผีเสื้อน้ำสิงอยู่ เราจักให้ผีเสื้อน้ำกินมันเสียที่ สระนั้น แล้วจึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ลูกเอ๋ย พ่อแก่แล้ว จักมอบฝูงให้เจ้า วันนี้จะตั้งเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ตรงโน้นมีสระอยู่ ในสระนั้น ดอกโกมุท ๒ ดอก อุบล ๓ ดอก ปทุม ๕ ดอก กำลังบาน ไปเถิด ไปเอาดอกไม้มาจากสระนั้น.
            พระโพธิสัตว์ รับคำ ว่า ดีละพ่อ ฉันจักไปนำมาแล้วก็ไป แต่ยังไม่ผลีผลามลงไป ตรวจดูรอยรอบ ๆ สระ เห็นแต่รอยลงเท่านั้น ไม่เห็นรอยขึ้น ก็รู้ว่า อันสระนี้ต้องมีรากษสยึดครองแน่นอน พ่อเราไม่อาจ ฆ่าเราด้วยตน จักหวังให้รากษสเคี้ยวกินเราเสีย เราจักไม่ลง สระนี้ และต้องเก็บดอกไม้ให้ได้ด้วย แล้วเดินไปหาที่ซึ่งไม่มี น้ำ ไปได้ ๒ ดอก ทีเดียว โดดไปลงฝั่งโน้น โดดจากฝั่งโน้น มาลงฝั่งนี้ ก็คว้าได้อีก ๒ ดอก ด้วยอุบายนั้นแหละ.
            ด้วยวิธีนี้ พระโพธิสัตว์เก็บดอกไม้ได้เป็นกองทั้งสองฝั่งสระ และไม่ต้อง ลงสู่สถานอันอยู่ในอาญาของรากษส. ครั้นพระโพธิสัตว์เห็นว่า ไม่สามารถจะเก็บได้มากกว่านี้ ก็รวบรวมดอกไม้กองไว้ที่เดียว.
            ครั้งนั้นรากษสดำริว่า อัจฉริยบุรุษ มีปัญญาอย่างนี้ เราไม่เคย เห็นเลยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ดอกไม้ก็เก็บได้ตามปรารถนา และไม่ต้องลงสู่สถานที่อันอยู่ในอาญาของเราอีกด้วย จึงระเบิด น้ำโผล่ขึ้นจากน้ำเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า พานรินทร์ ในโลกนี้ผู้ใดมีธรรม ๓ ประการ ผู้นั้นย่อมครอบงำปัจจามิตร ได้ ชะรอยภายในตัวของท่าน จักมีธรรมทั้งนั้นครบทุกประการ เป็นแน่ เมื่อจะชื่นชมพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ธรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือทักขิยะ สุริยะ ปัญญา มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน บุคคลนั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้." ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขยํ ได้แก่ความเป็นผู้ มีความขยันขันแข็ง. บทนี้เป็นชื่อของความเพียรอย่างสูง ที่ ประกอบพร้อมมูลด้วยปัญญา อันรู้จักกำจัดภัยที่มาประจวบ เข้า. บทว่า สูรยํ ได้แก่ความเป็นผู้กล้าหาญ. บทนี้เป็นชื่อ ของความเป็นผู้ไม่มีความพรั่นพรึง. บทว่า ปญฺญา นี้ เป็นชื่อของความรู้อุบาย ซึ่งเป็นจุด เริ่มต้นของความปรากฏผล.
            รากษสนั้นชมเชยพระโพธิสัตว์ด้วยคาถานี้ อย่างนี้แล้ว ก็ถามว่า ท่านเก็บดอกไม้เหล่านี้ไปทำไม ?
            พระโพธิสัตว์ตอบ ว่า พ่อของเราปรารถนาจะตั้งเราเป็นผู้นำฝูง เราเก็บไปเพราะ เหตุนั้น.
            รากษสพูดว่า อุดมบุรุษเช่นท่าน ไม่น่าจะนำดอกไม้ไป เราจักนำไปให้ แล้วหอบดอกไม้เดินตามหลังพระโพธิสัตว์ไป. ครั้งนั้นบิดาของพระโพธิสัตว์เห็นแต่ไกลแล้ว รำพึงว่า เราส่ง มันไป หมายว่า จักให้เป็นเหยื่อของรากษส บัดนี้มันกลับใช้ให้ รากษสถือดอกไม้ตามมา คราวนี้เราฉิบหายแล้ว เลยหัวใจแตก เจ็ดเสี่ยง สิ้นชีวิตในที่นั้นเอง. ฝูงวานรที่เหลืออยู่ ประชุมกัน ยกพระโพธิสัตว์ให้เป็นราชาผู้นำฝูง.
            แม้พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า วานรนายฝูงในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัตในครั้งนี้ ส่วนบุตรของลิงผู้เป็นจ่าฝูง ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาตโยธรรมชาดกที่ ๘