พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนามีคำเริ่มต้นว่า "สจฺจํ กิเรวมาหํสุ" ดังนี้.
            ความย่อว่า เมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมกันในธรรมสภา สนทนา กันถึงโทษมิใช่คุณของพระเทวทัตว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมิได้รู้คุณของพระศาสดา ยังจะพยายามเพื่อจะปลง พระชนม์เสียอีก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะ ฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรง นำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน กรุงพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า "ทุฏฐกุมาร" มีสันดานกักขฬะ หยาบคาย เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกประหารยัง ไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่ เป็นที่ชอบใจ เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายใน และคนภายนอก เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตา และเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอย เคี้ยวกิน
            วันหนึ่งท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้เสด็จ ดำเนินไปสู่ฝั่งน้ำกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้ง ขึ้นทิศทั้งหลายมืดมิด. ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาษว่า เฮ้ย! มาเถิดจงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้ำ ให้ข้าอาบน้ำแล้วพามา. พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้ำ ปรึกษากันว่า พระราชา จักทรงทำอะไรพวกเราได้ พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสีย ในแม่น้ำนี้แหละ ดังนี้แล้วกล่าวว่า คนกาลกรรณี จงไปที่ชอบเถิด แล้วช่วยกันกดลงไปในน้ำ แล้วพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง
            เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน ? ก็พากันตอบว่า พวกเรา ไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้า จึงดำลงในน้ำ ชะรอย จักล่วงหน้าไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันไปยังพระราชสำนัก พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน ? พวกอำมาตย ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ทราบเกล้า เมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระพุทธเจ้าก็สำคัญว่า พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมาพระเจ้าข้า.
            พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้ำ ตรัสว่า พวกเจ้า จงค้นดู แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้น ๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่ำ ลอยไปในแม่น้ำ เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงเกาะท่อนไม้ อันมรณภัย คุกคามแล้ว ร้องคร่ำครวญลอยไป.
            ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง ฝังทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปจึง ไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์. ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้น เหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปบังเกิด เป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน. น้ำเซาะเข้า ไปถึงที่อยู่ของงูและ หนูทั้งสองนั้น.สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้ำเซาะเข้าไป นั้นแหละ ว่าย ตัดกระแสน้ำไป ถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะ อยู่นั้น ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือ ท่อนไม้นั้นแล.
            ก็ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง ลูกนก แขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น ถึงต้นงิ้วนั้น ก็ถูกน้ำเซาะราก โค่นลง เหนือแม่น้ำ เมื่อฝนกำลังตก ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบิน ไปได้ ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่ง ของท่อนไม้นั้น. ด้วยประการ ดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่ารวมกันเป็น ๔ คน ล่องลอยไป.
            ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี สร้างศาลาอาศัยอยู่ ที่คุ้งน้ำตอนหนึ่ง. ท่านกำลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยิน เสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร ก็ดำริว่า ในเมื่อดาบส ผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควร เลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต แล้วก็ปลอบ พระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย ว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม ้ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมี กำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย เรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็น สัตว์ ทั้งหลายมีงูเป็นต้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟแล้ว คิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้ งูเป็นต้นผิงไฟก่อน ให้พระราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหาร ก็ให้แก่ งูเป็นต้นก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.
            พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกง ผู้นี้ มิได้นับถือเรา ผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์เดียรัจฉาน จึงผูก อาฆาตในพระโพธิ สัตว์. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สองสามวัน ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยว แรงเป็นปกติ แล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณท่าน ผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่าง ใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝัง เงินไว้ ๔๐ โกฏิ ในที่ชื่อโน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้า สามารถถวายทรัพย์แม้ ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้า จงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า ทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป.
            ฝ่ายหนู ก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า เมื่อพระคุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้า ว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป.
            ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์ แต่เมื่อ พระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่ ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้า สามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาลีแดงมาถวายได้ หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป.
            ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจใน ธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เรา จะไม่พูดอะไร ๆ บ้าง ไปเสียเฉย ๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่า ดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด กระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป.
            พระกุมาร นั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ. พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว จึงไปสู่สำนักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ". เพียงคำเดียว เท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุด ค้นขนเอาไปให้หมดเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสำนัก ของหนู เอ่ยเสียงเรียก. แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน. พระโพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป. เลยไปสำนักนกแขกเต้า เรียกว่า "สุวะ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจาก ยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลี ที่เกิด เอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ ? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้า กลับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพัก อยู่ที่ พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่ พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร.
            ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลาย มิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว กระทำปทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็น พระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือ ดาบสโกงคนนั้น คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้อง ให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แกประกาศคุณที่ทำไว้ แก่เรา ในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อ ราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต้องทำอะไร พระเจ้าข้า ? จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอย จะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณ ีผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออก จากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้
            ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไป มัดพระโพธิสัตว์ ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง. พระโพธิสัตว์มิได้คร่ำครวญ เลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจาก ความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า "เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบาง จำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยัง ประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ความว่า ได้ยินว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่าง นี้ไม่ผิดเลย. บทว่า นรา เอกจฺจิยา อิธ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต บางพวกในโลกนี้. บทว่า กฏฺฐํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย ความว่า ได้ยินว่าบุรุษผู้ เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ที่กล่าวว่า ไม้แห้งที่เป็นไม้เบา ๆ ลอยอยู่ ในแม่น้ำ เอาขึ้นวางไว้บนบก นั้นประเสริฐกว่า คือมันยังดี นั้น กล่าวไว้เป็นความจริง. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าไม้นั้น ยังเป็น อุปการะแก่ความต้องการ ในอันจะต้มจะหุงข้าวยาคู และข้าวสวย ก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันจะผิงไฟของหมู่ชน ผู้เดือดร้อนด้วยความหนาวก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการ ในอันกำจัดอันตรายอื่น ๆ ก็ได้ บทว่า น เตฺวเวกจฺจิโย นโร ความว่า ส่วนบุคคลบางคน คือ คนทำลายมิตร คนอกตัญญู คนใจบาป ถูกกระแสน้ำพัด ลอยไป ช่วยฉุดมือให้ขึ้นจากแม่น้ำได้ ไม่ประเสริฐเลย เป็น ความจริงทีเดียว เราช่วยคนใจบาปนี้ให้รอดชีวิตได้ กลับเป็น อันนำทุกข์มาให้ตน.
            พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ด้วย ประการฉะนี้. ฝูงชนต่างได้ยินคำเป็นคาถานั้น ท่านพวกที่เป็น บัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่าน กระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ ? พระโพธิสัตว์ จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้น จากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามา หวลรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิต แต่ครั้งก่อน สิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้.
            ชาวพระนคร มีกษัตริย์และพราหมณ์ เป็นต้น ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชา ผู้ทำลายมิตรมิได้รู้แม้มาตรว่าคุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วย พระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พระองค์นี้ พวกเราจะมีความ เจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้น โดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหิน และไม้ค้อนเป็นต้น แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ดำรงราชย์สืบแทน.
            ส่วนพระโพธิสัตว์ ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรง ปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัส เรียกว่า "ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด. พระราชามีพระดำรัส ให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปสำนักของ หนูตรัสเรียกว่า "อุนทูร" หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ ๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้. เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้า ก็บินมาซบไหว้ พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้. พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้อง การข้าวสาลี จึงค่อยนำมา มาเถิด เรามาพากันไป แล้วทรง พาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำ ทะนานทอง พระราชทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่ ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอก คลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทาน ข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น. คนทั้ง ๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.
            พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามจะฆ่าเราเสีย แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามมาแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาผู้ร้ายกาจ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ งูได้มาเป็นพระสารีบุตร หนูได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้าได้มาเป็นอานนท์ ธรรมราชาผู้เถลิงราชย์ในภายหลังได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาสัจจังกิรชาดกที่ ๓