พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน มหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี คำเริ่มต้นว่า อกตญฺญุสฺส โปสสฺส ดังนี้.
            ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย "พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระ ตถาคต" พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อน ก็เคยเป็นผู้อกตัญญูมาแล้ว ไม่เคยรู้คุณของเรา ไม่ว่าในกาล ไหน ๆ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ในหิมวันตประเทศ พอคลอดจากครรภ์มารดา ก็มีอวัยวะขาวปลอด มีสีเปล่งปลั่ง ดังเงินยวง นัยน์ตาทั้งคู่ของพระยาช้างนั้น ปรากฏเหมือนกับ แก้วมณี มีประสาทครบ ๕ ส่วนปากเช่นกับผ้ากัมพลแดง งวง เช่นกับพวงเงินที่ประดับระยับด้วยทอง เท้าทั้ง ๔ เป็นเหมือน ย้อมด้วยน้ำครั่ง อัตภาพอันบารมีทั้ง ๑๐ ตกแต่งของพระโพธิสัตว์ นั้น ถึงความงามเลิศด้วยรูปอย่างนี้.
            ครั้งนั้น ฝูงช้างในป่าหิมพานต์ทั้งสิ้น มาประชุมกันแล้ว พากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ถึง ความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พระโพธิสัตว์จึงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวาร อยู่อาศัยในหิมวันตประเทศ ด้วยประการฉะนี้ ภายหลังเห็นโทษ ในหมู่คณะ จึงหลีกออกจากหมู่ สู่ที่สงบสงัดกาย พำนักอาศัย อยู่ในป่าแต่ลำพังผู้เดียวเท่านั้น. และเพราะเหตุที่ช้างผู้พระโพธิสัตว์ นั้นเป็นสัตว์มีศีล จึงได้นามว่า"สีลวนาคราช" พญาช้างผู้มีศีล.
            ครั้งนั้นพรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง เข้าสู่ป่าหิมพานต์ เสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน ไม่อาจกำหนด ทิศทางได้ หลงทาง เป็นผู้กลัวแต่มรณภัย ยกแขนทั้งคู่ร่ำร้อง คร่ำครวญไป. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพราน ผู้นั้นแล้ว อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า เราจักช่วยบุรุษผู้นี้ ให้พ้นจากทุกข์ ก็เดินไปหาเขาใกล้ ๆ เขาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ว วิ่งหนีไป.
            พระโพธิสัตว์เห็นเขาวิ่งหนี ก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น บุรุษ นั้นเห็นพระโพธิสัตว์หยุด จึงหยุดยืน พระโพธิสัตว์ก็เดินใกล ้เข้าไปอีก เขาก็วิ่งหนีอีก เวลาพระโพธิสัตว์หยุด เขาก็หยุด แล้วดำริว่า ช้างนี้ เวลาเราหนีก็หยุดยืน เดินมาหาเวลาที่เราหยุด เห็นทีจะไม่มุ่งร้ายเรา แต่คงปรารถนาจะช่วยเราให้พ้นจากทุกข์ นี้เป็นแน่ เขาจึงกล้ายืนอยู่.
            พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขา ถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่ำร้องคร่ำครวญไป เขาตอบว่า ท่านช้างผู้จ่าโขลง ข้าพเจ้ากำหนดทิศทางไม่ถูก หลงทาง จึงเที่ยวร่ำร้องไปเพราะกลัวตาย. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ จึงพาเขาไปยังที่อยู่ของตน เลี้ยงดูจนอิ่มหนำด้วยผลาผล ๒-๓ วัน แล้วกล่าวว่า อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจักพาท่านไปสู่ถิ่นมนุษย์ แล้วให้นั่งหลังตน พาไปส่งถึงถิ่นมนุษย์.
            ครั้งนั้นแล พรานป่า เป็นคนมีสันดานทำลายมิตร จึงคิดมาตลอดทางว่า ถ้ามีใครถาม ต้องบอกได้ ดังนี้ นั่งมาบนหลังพระโพธิสัตว์วางแผน กำหนด ที่หมายต้นไม้ ที่หมายภูเขาไว้ถ้วนถี่ทีเดียว. ครั้นพระโพธิสัตว์ พาเขาออกไปจนพ้นป่าแล้ว หยุดที่ทางใหญ่ อันเป็นทางเดินไป สู่พระนครพาราณสี สั่งว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านจงไปทางนี้ เถิด แต่ถ้ามีใครถามถึงที่อยู่ของเรา ท่านอย่าบอกนะ ดังนี้ ส่งเขาไปแล้ว ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน.
            ครั้งนั้นบุรุษนั้น ไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ก็ไปถึง ถนนช่างสลักงา เห็นพวกช่างสลักงากำลังทำเครื่องงาหลายชนิด จึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็น ๆ ท่าน ทั้งหลายจะซื้อหรือไม่ ? พวกช่างสลักงาตอบว่า ท่านผู้เจริญ ท่านพูดอะไร ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้ว หลายเท่า. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจักนำงาช้างเป็นมา ให้พวกท่าน แล้วจัดสะเบียงคือเลื่อยไปสู่ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์
            พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร ? เขาตอบว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน กำพร้า ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ มาขอตัดงาท่าน ถ้าท่านจักให ้ก็จะถืองานั้นไปขาย เลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น. พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า เอาเถิด พ่อคุณ เราจักให้งาท่าน ถ้ามีเลื่อยสำหรับ ตัดงา เขากล่าวว่า ท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าถือเอาเลื่อยเตรียม มาแล้ว. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเลื่อยตัดงา เถิด แล้วคุกเท้าหมอบลงเหมือนโคหมอบ เขาก็ตัดปลายงาทั้งคู่ ของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง พลางตั้ง ปณิธาน เพื่อพระสัพพัญญุตญาณว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ใช่ว่า เราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่า งาเหล่านี้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ ของเราดังนี้ ก็หามิได้ แต่ว่า พระสัพพัญญุตญาณ อันสามารถ จะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง เป็นที่รักของเรายิ่งกว่างาเหล่านี้ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า การให้งานี้เป็นทานของเรานั้น จงเป็นไปเพื่อ ประโยชน์แก่การตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด แล้วสละงาทั้งคู่ ให้ไป.
            เขาถืองานั้นไปขาย ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้น ก็ไปสู่สำนัก พระโพธิสัตว์อีก กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ทุนทรัพย์ ที่ได้เพราะขายงาของท่าน เพียงพอแค่ชำระหนี้ของข้าพเจ้า เท่านั้น โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว ์ก็รับคำ แล้วยอมให้เขาตัด ยกงาส่วนที่เหลือให้ โดยนัยเดียวกับ ครั้งก่อน. ถึงเขาจะขายงาเหล่านั้นแล้ว ก็ยังย้อนมาอีก กล่าวขอ ว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว์รับคำแล้วก็หมอบลง โดยนัยก่อน. คนใจบาปนั้น ก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงิน ของมหาสัตว์ ก้าวขึ้นสู่กระพองอันเปรียบได้กับยอดเขาไกรลาส เอาส้นกระทืบพลายงาทั้งสอง ฉีกเนื้อตรงสนับงา ลงมาจาก กระพอง เอาเลื่อยตัดโคนงาแล้ว ก็หลีกไป. ก็ในเมื่อคนใจบาป นั้น เดินพ้นไปจากคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้น แผ่นดิน อันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่ง ของหนักแสนหนัก มีขุนเขาสิเนรุ และยุคนธรเป็นต้น และถึง จะทรงไว้ซึ่งสิ่งที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น มีคูถและมูตรเป็นต้น ก็เป็นเสมือนไม่สามารถจะทานไว้ได้ ซึ่งกองแห่งโทษมิใช่คุณ ของบุรุษนั้น จึงแยกให้ช่อง
            ทันใดนั้นเอง เปลวไฟแลบออกจาก มหานรกอเวจี ห่อหุ้มคลุมบุรุษผู้ทำลายมิตรนั้น เป็นเหมือนคลุม ด้วยผ้ากำพลสีแดง อันเป็นของที่ตระกูลให้ก็ปานกัน เวลาที่คน ใจบาปเข้าไปสู่แผ่นดินอย่างนี้แล้ว รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ ราวป่านั้น กำหนดเหตุว่า ถึงจะให้จักรพรรดิราชสมบัติ ก็ไม่อาจ ให้บุรุษผู้อกตัญญูนี้ ซึ่งเป็นผู้ทำลายมิตร พอใจได้ เมื่อจะแสดง ธรรมให้กึกก้องไปทั่วป่า จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
            "ถึงหากจะให้แผ่นดินทั้งหมด แก่คน อกตัญญู ผู้คอยมองหาช่องอยู่เป็นนิตย์ ก็ไม่ทำ ทำให้เขาพอใจได้"
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุสฺส ความว่า แก่คน ผู้ไม่รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน. บทว่า โปสสฺส แปลว่า แก่บุรุษ. บทว่า วิวรทสฺสิโน ความว่า ผู้มองหาช่อง คือโอกาส อยู่ร่ำไป. บทว่า สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา ความว่า แม้ถ้าจักให้ จักรพรรดิราชสมบัติทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงหากจะพลิก แผ่นดินใหญ่นี้ เอาง้วนดินมาให้แก่บุคคลเช่นนั้น. บทว่า เนว นํ อภิราธเย ความว่า ใคร ๆ แม้ถึงจะกระทำ อย่างนี้ได้ ก็ยังไม่อาจยังคนอกตัญญู ดังตัวอย่างที่ปรากฏ ผู้ ้ทำลายคุณที่ท่านกระทำแล้ว ให้อิ่มใจ หรือให้เลื่อมใสได้เลย.
            เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่า ด้วยประการฉะนี้. พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบสิ้นอายุขัย ได้ไปตามยถากรรม. พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ถึงในกาลก่อน ก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน ดังนี้
            ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บุรุษผู้ทำลายมิตร ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต รุกขเทวดาได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนพญาช้างผู้มีศีล ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาสีลวนาคชาดกที่ ๒