พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง ปรารภพระโกกาลิกะนั่นแล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น ว่า เนตํ สีหสฺส นทิตํ ดังนี้.
            ในเวลานั้นพระโกกาลิกะประสงค์จะกล่าว สรภัญญะ. พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลชาวนา ครั้นเจริญ วัย หาเลี้ยงชีพด้วยกสิกรรมนั่นเอง. ในกาลนั้นมีพ่อค้าคนหนึ่ง เที่ยวทำการค้าด้วยการบรรทุกสินค้าบนหลังลา. พ่อค้านั้นขน สินค้าลงจากหลังลาในที่ที่ไปถึง แล้วเอาหนังราชสีห์คลุมลา ปล่อยไปหากิน ที่นาข้าวสาลีและข้าวเหนียว. คนรักษานาเห็น แล้ว ไม่อาจเข้าใกล้ด้วยเข้าใจว่าเป็นราชสีห์. อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้านั้น พักอยู่ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง หุงอาหารเช้า แต่นั้นจึง เอาหนังราชสีห์คลุมหลังลา ปล่อยไปหากินในนาข้าวเหนียว. พวกเฝ้านาเห็นมันเข้าก็ไม่อาจเข้าใกล้มันได้ ด้วยสำคัญว่า เป็นราชสีห์ จึงพากันกลับไปเรือน. พวกชาวบ้านทั้งหมด ต่าง ถืออาวุธ เป่าสังข์ รัวกลอง โห่ร้องไปยังที่ใกล้นา. ลากลัวตาย จึงเปล่งเสียงเป็นเสียงลา. ครั้นพระโพธิสัตว์รู้ว่ามันเป็นลา จึง กล่าวคาถาแรกว่า :-
            นี่มิใช่เสียงบรรลือของราชสีห์ ไม่ใช่เสียง บรรลือของเสือโคร่ง ไม่ใช่เสียงบรรลือของเสือ เหลือง ลาผู้ลามกคลุมตัวด้วยหนังราชสีห์บรรลือ เสียง.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺโม แปลว่า ลามก. แม้พวก ชาวบ้านก็รู้ว่ามันเป็นลา จึงพากันโบยให้ล้มลง กระดูกหัก แล้วเอาหนังราชสีห์ไป. ครั้นพ่อค้านั้นมาเห็นลาถึงความบอบช้ำ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
            ลาเอาหนังราชสีห์คลุมตัว เที่ยวหากิน ข้าวเหนียวนานมาแล้ว ร้องให้เขารู้ว่าเป็นลา ได้ประทุษร้ายตนเองแล้ว.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ลานี้ไม่ให้เขารู้ว่าตัวเป็นลา จึงเอาหนังราชสีห์มาคลุม กิน ข้าวเหนียวอ่อนมาเป็นเวลานาน. บทว่า รวมาโน ว ทูสยิ ความ ว่า เมื่อร้องเสียงเป็นลาก็ประทุษร้ายตนเอง. มิใช่ความผิด ของหนังราชสีห์.
            เมื่อพ่อค้านั้นกล่าวอย่างนี้เสร็จแล้ว ลาก็นอนตายในที่ นั้นเอง. แม้พ่อค้าก็ทิ้งลากลับบ้าน.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดก. ลาในครั้งนั้นได้เป็นพระโกกาลิกะในครั้งนี้. ส่วนชาวนา บัณฑิต คือเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาสีหจัมมชาดกที่ ๙