พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการข่มกิเลส ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาหํ ปุนํ น จ ปุนํ ดังนี้.
            ได้ยินว่า เศรษฐีบุตรในเมืองสาวัตถี ประมาณ ๕๐๐ คน เป็นเพื่อนกัน ต่างมีสมบัติคนละมากมาย ฟังพระธรรมเทศนา ของพระศาสดาแล้ว พากันบวชถวายชีวิตในพระศาสนา อยู่ใน กุฏิแถวสุดในพระวิหารเชตวัน
            อยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลาท่ามกลาง รัตติกาล ความดำริ อาศัยกิเลสเป็นเจ้าเรือน บังเกิดขึ้นแก่ พวกภิกษุเหล่านั้น พวกเธอต่างกระสัน เกิดจิตตุบาท เพื่อที่จะ ยึดครองกิเลสที่ตนละแล้วอีก ครั้งนั้น
            พระศาสดาทรงชูประทีป อันมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นด้าม ในระหว่างท่ามกลางรัตติกาล ทรงตรวจดูอัธยาศัยของภิกษุทั้งหลายว่า พวกภิกษุพากันพำนัก อยู่ในพระเชตวันวิหาร ด้วยความยินดีอย่างไหนเล่าหนอ ? ได้ทรงทราบความที่พวกภิกษุเหล่านั้น ต่างมีความดำริใน กามราคะ เกิดขึ้นในภายใน
            ก็ธรรมดาพระศาสดาย่อมรักษา หมู่สาวกของพระองค์ ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตร ของตน ประดุจคนมีตาข้างเดียวระวังนัยน์ตาของตน ก็ปานกัน ในสมัยใด ๆ มีเวลาเช้า เป็นต้น กองกิเลสเกิดแก่หมู่สาวกนั้น ก็ไม่ทรงยอมให้กองกิเลสเหล่านั้น ของสาวกเหล่านั้น พอกพูน ไปกว่านั้น ทรงข่มเสียในสมัยนั้น ๆ ทีเดียว ด้วยเหตุนั้น พระองค์ จึงได้มีพระปริวิตกว่า กาลนี้ เป็นประดุจดังกาลที่เกิดพวกโจร ขึ้นภายในพระนคร ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ฉะนั้น เราต้อง แสดงพระธรรมเทศนาข่มกองกิเลสแล้วให้พระอรหัตผลแก่พวก เธอในบัดนี้ทีเดียว
            พระองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏี มีกลิ่นหอม มีพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ เรียกท่านพระอานนท์ ผู้เป็นขุนคลังแห่งธรรมว่า "ดูก่อนอานนท์"
            พระเถระเจ้ารับ พระพุทธดำรัสว่า อะไร พระเจ้าข้า ? มาถวายบังคมยืนอยู่
            ตรัสว่า อานนท์ ภิกษุมีเท่าไร ที่อยู่ในกุฏิแถวหลังสุด เธอจง ให้ประชุมกันในบริเวณคันธกุฏีทั้งหมดทีเดียว
            ได้ยินว่าพระองค์ ได้ทรงมีพระดำริดังนี้ว่า แม้นเราให้เรียกภิกษุ ๕๐๐ พวกนั้น เท่านั้นมาประชุม พวกเธอจักพากันสลดใจว่า พระศาสดาทรง ทราบความที่กองกิเลสเกิดขึ้น ในภายในของพวกเราแล้ว จักมิอาจ ที่จะรับพระธรรมเทศนาได้ เหตุนั้นจึงตรัสว่า ให้ประชุมทั้งหมด
            พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่าดีละ พระเจ้าข้า แล้วถือลูกดาล เที่ยวไปทั่วบริเวณ บอกให้ภิกษุทั้งหมด ประชุมกัน ณ บริเวณ พระคันธกุฏี แล้วจัดปูลาดพระพุทธอาสน์ไว้.
            พระศาสดาทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ประทับเหนือ พระพุทธอาสน์ที่จัดไว้ ปานประหนึ่งขุนเขาสิเนรุอันดำรงอย ู่เหนือปฐพีศิลา ทรงเปล่งพระพุทธรัศมี เป็นทิวแดงมีพรรณ ๖ ประการ ฉวัดเฉวียนประสานสีทีละคู่ ๆ พระรัศมีแม้เหล่านั้น มีประมาณเท่าถาด เท่าฉัตร และเท่าโคมแห่งเรือนยอด ขาดเป็น ระยะวนเวียนรอบพระกาย ประหนึ่งสายฟ้าในนภากาศ
            กาลนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเริ่มฉายแสงอ่อน ๆ ทำให้ ท้องมหรรณพ มีประกายสาดแสงระยิบระยับฉะนั้น ภิกษุสงฆ์เล่า ก็น้อมเกล้าถวายบังคมพระศาสดา ดำรงจิตอันเคารพไว้มั่นคง นั่งล้อมพระองค์โดยรอบ ประหนึ่งแวดวงไว้ด้วยม่านกำพลแดง
            พระบรมศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงดังเสียงพรหม ทรงเตือน ภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุไม่ควร ตรึก อกุศลวิตกทั้ง ๓ นี้ คือ กามวิตก ความตรึกในกาม พยาบาทวิตก ความตรึกในพยาบาท วิหิงสาวิตก ความตรึกในวิหิงสา ขึ้นชื่อว่า กิเลสเป็นเช่นกับปัจจามิตร และปัจจามิตรเล่า จะชื่อว่า เล็กน้อยไม่มีเลย ได้โอกาสแล้วย่อมทำให้ถึงความพินาศโดย ส่วนเดียว กิเลสแม้ถึงจะมีประมาณน้อย เกิดขึ้นแล้ว ได้โอกาส เพื่อจะเพิ่มพูน ย่อมยังความพินาศอย่างใหญ่หลวงให้เกิดขึ้นได้ อย่างนั้นทีเดียว ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้ เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง เป็นเช่นกับด้วยหัวฝีที่มีผิวหนังปอกไปแล้ว เทียบกันได้กับอสรพิษ คล้ายกับไฟที่เกิดจากอสนีบาต ไม่ควรเลยที่จะนิยมยินดี ควรจะ กีดกันเสีย ด้วยพลังแห่งการพิจารณา ด้วยพลังแห่งภาวนา ในขณะที่เกิดทีเดียว ควรจะละเสีย ด้วยการที่กองกิเลสทั้งนั้น จะเลือนไปไม่ทันตั้งอยู่ในหทัยแม้เพียงครู่เดียว เหมือนหยาดน้ำ กลิ้งตกไปจากใบบัว ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ถึงบัณฑิตในครั้งก่อน ทั้งหลาย ก็ติเตียนกิเลสแม้มีประมาณน้อย ข่มมันเสียไม่ยอม ให้เกิดขึ้นในภายในได้อีกฉะนั้น ดังนี้ แล้วทรงนำเรื่องอดีต มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหมาจิ้งจอก พำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใกล้ป่า
            ครั้งนั้นช้างแก่ตัวหนึ่งล้มอยู่ที่ฝั่งคงคา สุนัขจิ้งจอก ออกหาเหยื่อ พบทรากช้างนั้น คิดว่า เหยื่อชิ้นใหญ่ เกิดแก่เราแล้ว จึงไปที่ทรากนั้น กัดที่งวง ก็เป็นเหมือนเวลาที่ กัดงอนไถ มันคิดว่า ตรงนี้ไม่ควรกิน จึงกัดที่งาทั้งคู่ ก็เป็นเหมือน เวลาที่กัดเสา กัดหูเล่า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขอบกระด้ง กัดที่ท้อง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดยุ้งข้าว กัดที่เท้า ก็ได้เป็น เหมือนเวลาที่กัดครก กัดที่หางได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดสาก ดำริว่า แม้ในที่นี้ก็ไม่ควรกิน
            เมื่อไม่ได้รับความพอใจในอวัยวะ ทั้งปวง ก็กัดตรงวัจมรรค ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขนมนุ่ม มันดำริว่า คราวนี้เราได้ที่ที่ควรกินอันอ่อนนุ่มในสรีระนี้แล้ว จึงกัดแต่วัจมรรคนั้น เข้าไปถึงภายในท้อง กินตับและหัวใจ เป็นต้น เวลากระหายน้ำ ก็ดื่มโลหิต เวลาอยากจะนอนก็เอาพื้นท้อง รองนอน
            ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกได้มีปริวิตกว่า ทรากช้างนี้เป็น เหมือนเรือนของเรา เพราะเป็นที่อยู่สบาย ครั้นอยากกิน ก็มีเนื้อ อย่างเพียงพอ ทีนี้เราจะไปที่อื่นทำไม จึงไม่ยอมไปในที่อื่น อีกเลย คงอยู่กินเนื้อในท้องช้างแห่งเดียว.
            ครั้งเวลาล่วงไป ผ่านไป จนถึงฤดูแล้ง ทรากช้างนั้น ก็หดตัวเหี่ยวแห้ง ด้วยถูกลมสัมผัส และถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ช่องที่สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก็ปิด ภายในท้องก็มืด ปรากฏแก่มัน เหมือนอยู่ในโลกันตนรก ฉะนั้น เมื่อทรากเหี่ยวแห้ง แม้เนื้อ ก็พลอยแห้ง แล้วโลหิตก็เหือดหาย มันไม่มีทางออก ก็เกิดความ กลัว ซมซานไปกัดทางโน้น ทางนี้ วุ่นวายหาทางออกอยู่ เมื่อ สุนัขจิ้งจอกนั้นตกอยู่ในท้องช้างอย่างนี้ ก็เป็นเหมือนก้อนแป้ง ในหม้อข้าว
            ล่วงมา สองสามวันฝนตกใหญ่ ครั้นทรากนั้นชุ่ม น้ำฝนก็พองขึ้น จนมีสัณฐานเป็นปกติ วัจมรรคก็เปิด ปรากฏ เหมือนดวงดาว มันเห็นช่องนั้น คิดว่า คราวนี้เรารอดได้แน่แล้ว ถอยหลังไปจนจดหัวช้าง วิ่งไปโดยเร็ว เอาหัวชนวัจมรรคออก ไปได้ เพราะว่าร่างกายของมันซูบซีดเหี่ยวแห้ง ขนทั้งหมดก็ เลยติดอยู่ที่วัจมรรคนั่นเอง มันมีจิตสะดุ้ง ด้วยสรีระอันไร้ขน เหมือนลำตาล
            วิ่งไปครู่หนึ่ง กลับนั่งมองดูสรีระ แล้วสลดใจ ว่าทุกข์นี้ของเรา สิ่งอื่นมิได้ทำให้เลย แต่เพราะความโลภเป็นเหตุ เพราะความโลภเป็นตัวการณ์ เราอาศัยความโลภ ก่อทุกข์นี้ไว้ เอ็ง บัดนี้นับแต่นี้ เราจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของความโลภ ขึ้น ชื่อว่า ทรากช้างละก็เราจะไม่ขอเข้าไปอีกต่อดังนี้แล้ว กล่าว คาถานี้ ความว่า :- "ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอาอีกละ เราจะไม่ ขอเข้าสู่ทรากช้างซ้ำอีกละ เพราะเวลาอยู่ใน ท้องช้าง ถูกภัยคุกคามเจียนตาย" ดังนี้.
            ในคาถานั้น อ อักษร ในบาทคาถาว่า น จาปิ อปุนปฺปุนํ เป็นเพียงนิบาต ก็ในคาถาทั้งหมดนี้ มีอรรถาธิบายดังนี้ว่า :- ก็ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่เข้าไปอีกละ ได้แก่ เราจะไม่ขอเข้าไป สู่ทรากช้าง คือสรีระของช้าง หลังจากที่พูดไว้ว่า ไม่เอาอีกแล้ว ดังนี้ เพราะเหตุไร ? เพราะว่า เวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัย คุกคามแทบตาย อธิบายว่า เพราะเราถูกภัยในการเข้าไปทั้งนี้ ทีเดียว คุกคามแทบตาย คือต้องถึงความสะดุ้ง ความสลดใจ เพราะกลัวตาย. ก็แลสุนัขจิ้งจอกนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หนีไปจาก ที่นั้นทันที ขึ้นชื่อว่า สรีระช้างตัวนั้นหรือตัวอื่น มันจะไม่ยอม เหลียวหลังไปมอง ดูอีกเลย
            ต่อจากนั้น สุนัขจิ้งจอกนั้น ก็ไม่ตก อยู่ในอำนาจของความโลภ.
            พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า กิเลสที่เกิดขึ้นภายใน ต้องไม่ให้ พอกพูนได้ ควรข่มเสียทันทีทันใดทีเดียว แล้วตรัสประกาศสัจจะ ทั้งหลาย ทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุที่เหลือแม้ ทั้ง ๕๐๐ รูป ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในบรรดาภิกษุที่เหลือ เล่า บางเหล่าก็ได้เป็นพระโสดาบัน บางเหล่าเป็นพระสกทาคามี บางเหล่าได้เป็นพระอนาคามี ก็ในกาลครั้งนั้น สิคาล (จิ้งจอก) ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ ๘