พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สทฺทหาสิ สิคาลสฺส ดังนี้ :-
            ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม นั่ง สนทนากันถึงโทษของพระเทวทัตว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัต ชักชวนภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปสู่คยาสีสประเทศ ให้ภิกษุ เหล่านั้น ยึดถือลัทธิของตนว่า
            พระสมณโคดมตรัสข้อใด ข้อนั้น มิใช่ธรรม เรากล่าวข้อใด ข้อนี้เท่านั้นเป็นธรรม ดังนี้แล้ว กระทำมุสาวาท อันถึงฐานะวิบัติ ทำลายสงฆ์ ทำอุโบสถสองครั้ง ในสีมาเดียวกัน.
            พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
            ตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เทวทัตมักกล่าวมุสาวาท แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้มีปกติกล่าวมุสาเหมือนกัน ทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา อยู่ข้างป่าช้า ในครั้งนั้น ในพระนครพาราณสี มีงานนักขัตฤกษ์ ครึกครื้น พวกมนุษย์คิดกันว่า พวกเราจะกระทำพลีกรรม แก่ยักษ์ แล้วจัดปลาและเนื้อเป็นต้นเรียงราย รินสุราเป็นอันมาก ใส่กระบาล(๑)ทั้งหลายวางไว้ในที่นั้น ๆ มีตรอกและทางแพร่งเป็นต้น
            ครั้งนั้น หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง เข้าไปสู่พระนครทางท่อระบายน้ำ ในเวลาเที่ยงคืน เคี้ยวกินปลาและเนื้อเป็นต้น ดื่มสุราแล้วเข้าไป สู่ระหว่างกอบุนนาค นอนหลับไปจนอรุณขึ้น มันตื่นขึ้น เห็น สว่างแล้ว คิดว่า เราไม่อาจออกไปในเวลานี้ได้ แล้วไปที่ใกล้ ทางนอนซ่อนตัวอยู่ ถึงเห็นคนอื่น ๆ ก็ไม่พูดอะไร ๆ ต่อ เห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งกำลังเดินไปล้างหน้า ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์ แล้ว ย่อมเป็นผู้มีความโลภอยากได้ทรัพย์ เราต้องเอาทรัพย ์ล่อพราหมณ์นี้ ทำให้แกสะพายเราออกจากเมืองให้จงได้
            มัน กล่าวด้วยภาษามนุษย์ว่า ท่านพราหมณ์
            พราหมณ์หันกลับไป พูดว่า ใครเรียกเรา ?
            มันตอบว่า ฉันเองท่านพราหมณ์
            พราหมณ์ ถามว่า เรียกเราทำไม ?
            มันตอบว่า ท่านพราหมณ์ ฉันมีทรัพย์ ๑. กระบาล = กระเบื้อง, ฮินดูเรียก ปูรว่า = ถ้วยดินเผา อยู่ ๒๐๐ กหาปณะ ถ้าท่านสามารถกระเดียดฉัน คลุมมิดชิด ด้วยผ้าสะไบเฉียง ไม่ให้ใคร ๆ เห็น พาฉันออกจากเมืองได้ ฉันจักให้เหรียญกษาปณ์เหล่านั้นแก่ท่าน
            ด้วยความโลภอยากได้ ทรัพย์ พราหมณ์จึงรับคำ กระทำตามคำของมัน พาออกจาก เมืองไปได้หน่อยหนึ่ง
            ลำดับนั้น หมาจิ้งจอกถามพราหมณ์ว่า ท่านพราหมณ์ ถึงไหนแล้ว ?
            พราหมณ์ตอบว่า ถึงที่โน้นแล้ว
            มันบอกว่า ไปต่อไปอีกหน่อยเถิด สุนัขจิ้งจอกพูดไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น จนลุถึงป่าช้าใหญ่ จึงบอกว่า วางเราลงที่นี่เถิด
            ครั้น พราหมณ์ ปล่อยมันลงแล้ว หมาจิ้งจอกบอกต่อไปว่า ท่านพราหมณ์ ถ้ากระนั้น ท่านจงปูผ้าสะไบเฉียงลงเถิด พราหมณ์ก็ปูผ้าสะไบ เฉียงของตนลงด้วยความละโมภในทรัพย์ ครั้งนั้นมันก็บอกแกว่า จงขุดโคนต้นไม้นี้เถิด ให้พราหมณ์ขุดดินลงไป พลางก็ขึ้นไปสู่ ผ้าสะไบเฉียงของพราหมณ์ ถ่ายมูตร คูถลงไว้๕ แห่ง คือที่มุม ทั้ง ๔ และตรงกลาง เช็ดเสียด้วย ทำให้เปียกด้วย แล้วโดด เข้าป่าช้าไป พระโพธิสัตว์สถิตเหนือค่าคบไม้ กล่าวคาถานี้ ความว่า :- ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขผู้ดื่มสุรา หรือ เพียงร้อยเบี้ยก็ไม่มี อย่าว่าถึง ๒๐๐ กหาปณะ เลย ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺทหาสิ แปลว่า หลงเชื่อ. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะอย่างนี้แหละ แต่มีความว่า เชื่อถือ. บทว่า สิปฺปิกานํ สตํ นตฺถิ ความว่า เพราะว่า เงินร้อยเบี้ย ของมันก็ยังไม่มี. บทว่า กุโต กํสสตา ทุเว ความว่า แล้วมันจะมีเงินสองร้อย กษาปณ์มาแต่ไหนเล่า ?
            พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้วบอกว่า ไปเถิดพราหมณ์ จงไปซักผ้าของท่านเสีย อาบน้ำทำกิจของตนไปเถิด ดังนี้ แล้วก็ อันตรธานไป พราหมณ์ทำตามอย่างนั้น ถึงความโทมนัสว่า โธ่เอ๋ย เราถูกหมาจิ้งจอกตัวนี้ลวงเสียแล้วเดินหลีกไป.
            พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง ประชุมชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต ส่วนรุกขเทวดาได้มาเป็นตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ ๓