พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภโอมสวาทสิกขาบท ตรัส พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กลฺยาณเมว มุญฺเจยฺย ดังนี้.
            แม้เรื่องทั้งสอง ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวไว้แล้ว ในนันทวิสาลชาดก ในหนหลัง. (แปลกแต่ว่า) ในชาดกนี้ พระ- โพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นโคทรงกำลัง ชื่อ สารัมภะ ของพราหมณ์ ผู้หนึ่งในพระนครตักกสิลา. พระศาสดาตรัสเรื่องในอดีตนี้แล้ว ครั้นตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
            "พึงเปล่งแต่วาจาดี เท่านั้น ไม่พึงเปล่ง วาจาชั่วเลย การเปล่งวาจาดีสำเร็จประโยชน์ได้ เปล่งวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณเมว มุญฺเจยฺย ความว่า บุคคลพึงเปล่ง คือพึงแถลงได้แก่พึงกล่าวถ้อยคำที่พ้นจากโทษ ๔ ชื่อว่า ถ้อยคำดีงาม คือไม่มีโทษเท่านั้น. บทว่า น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ ความว่า ไม่พึงเปล่งคำชั่ว คือคำลามก ได้แก่คำอันไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของคนอื่น ๆ. บทว่า โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ ความว่า การเปล่งวาจาดี เท่านั้น ยังประโยชน์ให้สำเร็จ คือเป็นความดีงาม เป็นความ เจริญในโลกนี้. บทว่า มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ ความว่า ครั้นเปล่ง คือแถลง ได้แก่กล่าวคำชั่ว คือคำหยาบแล้วบุคคลนั้นย่อมเดือดร้อน คือ เศร้าโศก ลำบาก.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ด้วยประการฉะนี้ แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ พราหมณีได้เป็นอุบลวรรณา ส่วนโคสารัมภะ ได้มาเป็นเรา ตถาคตฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาสารัมภชาดกที่ ๘