ปัญจกนิบาตชาดก
๑. มณิกุณฑลวรรค
๑. มณิกุณฑลชาดก ผู้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
[๗๐๒]
พระองค์ละแว่นแคว้น ม้า กุณฑล และแก้วมณี อนึ่ง ยังทรงละ พระราชบุตร และเหล่าพระสนมเสียได้
เมื่อโภคสมบัติทั้งสิ้นของ พระองค์ ไม่มีเหลือเลย เหตุไฉน พระองค์จึงไม่ทรงเดือดร้อน
ใน คราวที่มหาชนพากันเศร้าโศกอยู่เล่า?.
[๗๐๓] โภคสมบัติย่อมละทิ้งสัตว์ไปเสียก่อนก็มี
บางทีสัตว์ย่อมละทิ้งโภค สมบัติเหล่านั้นไปก่อนก็มี ดูกรพระองค์ผู้ใคร่ในกามารมณ์
โภคสมบัติ ที่บริโภคกันอยู่ เป็นของไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่ เดือดร้อน
ในคราวที่มหาชนพากันเศร้าโศกอยู่.
[๗๐๔] พระจันทร์อุทัยขึ้นเต็มดวง ก็จะกลับหายสิ้นไป
พระอาทิตย์กำจัด ความมืด ทำโลกให้เร่าร้อนแล้วอัสดงคตไป ดูกรพระองค์ผู้เป็นศัตรู
โลกธรรมทั้งหลาย หม่อมฉันชนะได้แล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่ เดือดร้อน ในคราวที่มหาชนพากันเศร้าโศกอยู่.
[๗๐๕] คฤหัสถ์ผู้บริโภคกามคุณ เกียจคร้านก็ไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวมก็ไม่ดี พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทรงทำก็ไม่ดี
บัณฑิตมี ความโกรธเป็นเจ้าเรือนก็ไม่ดี.
[๗๐๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าทิศ กษัตริย์ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำ
ไม่ใคร่ ครวญเสียก่อนแล้วไม่ควรทำ อิสริยยศ บริวารยศ และเกียรติคุณของ พระราชาผู้ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ
ย่อมเจริญขึ้น.
จบ มณิกุณฑลชาดกที่ ๑.
๒. สุชาตชาดก ว่าด้วยคำคมของคนฉลาด
[๗๐๗]
เหตุไรหนอ เจ้าจึงเป็นเหมือนรีบด่วนเกี่ยวเอาหญ้าอันเขียวสดมาแล้ว บ่นเพ้อถึงวัวแก่ผู้ปราศจากชีวิตแล้วว่า
จงเคี้ยวกินเสีย วัวที่ตายแล้วจะ พึงลุกขึ้นได้เพราะหญ้า และน้ำเป็นไม่มีแน่ เจ้าบ่นเพ้อไปเปล่าๆ
เหมือน คนผู้ไร้ความคิด ฉะนั้น.
[๗๐๘] ศีรษะ เท้าหน้า เท้าหลัง หาง และหู ของวัว
ก็ตั้งอยู่ตามที่อย่าง นั้น ผมเข้าใจว่า วัวตัวนี้จะพึงลุกขึ้นได้ ศีรษะหรือมือเท้าของคุณปู่
มิได้ ปรากฏเลย คุณพ่อนั่นเองมาร้องไห้อยู่ที่สถูปดิน เป็นคนไร้ความคิดมิใช่ หรือ?
[๗๐๙] เจ้ารดพ่อผู้เดือดร้อนยิ่งนักให้หายร้อน ยังความกระวนกระวายของ พ่อให้ดับได้สิ้น
เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดเปรียงให้ดับไป ฉะนั้น เจ้ามาถอนลูกศรคือ ความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในฤทัยของพ่อออกได้แล้ว
หนอ เมื่อพ่อถูกความโศกครอบงำ เจ้าได้บรรเทาความโศกถึงบิดา เสียได้.
[๗๑๐] พ่อเป็นผู้ถอนลูกศรคือความโศกออกได้แล้ว
ปราศจากความเศร้าโศก หมดความมัวหมอง ลูกรัก พ่อจะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้
ฟังถ้อยคำของเจ้า.
[๗๑๑] คนผู้มีปัญญา มีใจอนุเคาะห์ ย่อมทำบุคคลให้หลุดพ้นจากความเศร้า
โศกได้ เหมือนกับพ่อสุชาตบุตรของพ่อ ทำบิดาให้ล่วงพ้นจากความเศร้า โศก ฉะนั้น.
จบ สุชาตชาดกที่ ๒.
๓. เวนสาขชาดก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
[๗๑๒]
ดูกรพรหมทัตตกุมาร ความเกษมสำราญ ภิกษาหารหาได้ง่าย และ ความเป็นผู้สำราญกายนี้
ไม่พึงมีตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อประโยชน์ของ ตนสิ้นไป ท่านอย่าเป็นผู้ล่มจมเสียเลย
เหมือนเรือแตก คนไม่ได้ ที่พึ่งอาศัย ต้องจมอยู่ในท่ามกลางทะเล ฉะนั้น.
[๗๑๓] บุคคลทำกรรมใด
ย่อมมองเห็นกรรมนั้นในตน ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผล เช่นนั้น.
[๗๑๔] ปาจารย์ในปางก่อนได้กล่าวคำใดไว้ว่า
ท่านอย่าได้ทำบาปกรรมที่ทำ แล้วจะทำให้เดือดร้อนในภายหลังเลย คำนั้น เป็นคำสอนของอาจารย์เรา
[๗๑๕] ปิงคิยปุโรหิตนั้น ย่อมบ่นเพ้อแสดงต้นไทรว่า มีกิ่งแผ่ไพศาล (สามารถ ให้ความชนะได้)
เราได้ให้ฆ่ากษัตริย์ผู้ประดับด้วยราชาลังการ ลูบไล้ ด้วยแก่นจันทน์แดงทั้งพันพระองค์เสีย
ที่ต้นไม้ใด ต้นไม้นั้น บัดนี้ ไม่อาจทำการป้องกันอะไรแก่เราได้ ความทุกข์อันนั้นแหละกลับมาสนอง
เราแล้ว.
[๗๑๖] พระนางอุพพรีอัครมเหสีของเรา มีพระฉวีวรรณงามดังทองคำ ลูบไล้ ตัวด้วยแก่นจันทน์แดง
ย่อมงามเจริญตา เหมือนกับกิ่งไม้สิงคุอันขึ้น ตรงไป ไหวสะเทือนอยู่ ฉะนั้น เรามิได้เห็นพระนางอุพพรีแล้ว
คงจัก ต้องตายเป็นแน่ การที่เราไม่ได้เห็นพระนางอุพพรีนั้น จักเป็นทุกข์ยิ่ง กว่ามรณทุกข์นี้อีก.
จบ เวนสาขชาดกที่ ๓.
๔. อุรคชาดก เปรียบคนตายเหมือนงูลอกคราบ
[๗๑๗]
บุตรของข้าพเจ้า ละทิ้งร่างกายของตนไป ดุจงูละทิ้งคราบเก่าไป ฉะนั้น เมื่อร่างกายแห่งบุตรของข้าพเจ้าใช้อะไรไม่ได้
เมื่อบุตรของข้าพเจ้ากระทำ กาละไปแล้วอย่างนี้ บุตรของข้าพเจ้าถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้
ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติของตน มีอย่างใด เขาก็ย่อมไปสู่คติของตนอย่างนั้น.
[๗๑๘] บุตรของดิฉันนี้ ดิฉันมิได้เชื้อเชิญให้เขามาจากปรโลก เขาก็มาเอง แม้เมื่อจะไปจากมนุษยโลกนี้
ดิฉันก็มิได้อนุญาตให้เขาไป เขามา อย่างใด เขาก็ไปอย่างนั้น การปริเทวนาถึงในการที่บุตรของดิฉันไปจาก
มนุษยโลกนั้น จะเกิดประโยชน์อะไร บุตรของดิฉันถูกเผาอยู่ ก็ไม่รู้สึก ถึงความร่ำไห้ของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติของตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น.
[๗๑๙] เมื่อพี่ชายตายแล้ว หากว่า ดิฉันจะพึงร้องไห้ ดิฉันก็จะผ่ายผอม เมื่อ ดิฉันร้องไห้อยู่
จะมีผลอะไร ความไม่ยินดีจะพึงมีแก่ญาติ มิตร และ สหายของดิฉันยิ่งขึ้น พี่ชายของดิฉันถูกเผาอยู่
ก็ไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้ ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่เศร้าโศกถึงพี่ชายนั้น
คติของ ตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น.
[๗๒๐] เด็กร้องไห้ขอพระจันทร์อันโคจรอยู่ในอากาศ
ฉันใด การที่บุคคลมา เศร้าโศกถึงผู้ที่ละไปสู่ปรโลกแล้วนี้ ก็มีอุปไมย ฉันนั้น
สามีของดิฉัน ถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉัน
จึงไม่เศร้าโศกถึงสามีนั้น คติของตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตน อย่างนั้น.
[๗๒๑]
หม้อน้ำที่แตกแล้ว เชื่อมให้สนิทอีกไม่ได้ ฉันใด การที่บุคคลมาเศร้า โศกถึงผู้ที่ละไปสู่ปรโลกแล้วนี้
ก็มีอุปไมย ฉันนั้น นายของดิฉันถูกเผา อยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้ของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ เศร้าโศกถึงนายนั้น คติของตนมีอย่างใด นายของดิฉันก็ไปสู่คติของ
ตนอย่างนั้น.
จบ อุรคชาดกที่ ๔.
๕. ธังกชาดก ว่าด้วยการร้องไห้ไม่มีประโยชน์
[๗๒๒]
ชนเหล่าอื่น เศร้าโศกอยู่ ร้องไห้อยู่ ชนเหล่าอื่น มีชุ่มไปด้วยน้ำตา พระองค์เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส
ดูกรฆตราชา เพราะเหตุไร พระองค์ จึงไม่เศร้าโศก?
[๗๒๓] ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้วมาได้ไม่
หาได้นำความสุขใน อนาคตมาได้ไม่ ดูกรธังกราชา เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก
ความเป็นสหายในความโศก ย่อมไม่มี.
[๗๒๔] บุคคลเศร้าโศกอยู่ ย่อมเป็นผู้ผอมเหลือง
และไม่พอใจบริโภค อาหาร เมื่อเขาถูกลูกศรคือความเศร้าโศกเสียบแทงแล้ว เร่าร้อนอยู่
ศัตรูทั้งหลาย ย่อมดีใจ.
[๗๒๕] ความฉิบหายอันความเศร้าโศกเป็นมูล จักไม่มาถึงหม่อมฉันผู้อยู่ใน
บ้านหรือในป่า ในที่ลุ่มหรือในที่ดอน หม่อมฉันเห็นบทฌานแล้ว อย่างนี้.
[๗๒๖] ตนผู้เดียวเท่านั้น
สามารถจะนำกามรสทั้งปวงมาให้ได้ สหายของพระ ราชาพระองค์ใด ไม่สามารถจะนำมาให้ได้
ถึงสมาบัติในแผ่นดินทั้งสิ้น ก็จักนำความสุขมาให้แก่พระราชาพระองค์นั้นไม่ได้.
จบ ธังกชาดกที่ ๕.
๖. การันทิยชาดก ว่าด้วยการทำที่เหลือวิสัย
[๗๒๗]
ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกเอาก้อนหินใหญ่กลิ้งลงไปในซอกภูเขาในป่า ดูกรการันทิยะ จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยการทิ้งก้อนหินลงใน
ซอกเขานี้เล่าหนอ?
[๗๒๘] ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมี
มหาสมุทรสี่เป็นขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอกเขา.
[๗๒๙] ดูกรการันทิยะ เราสำคัญว่า มนุษย์คนเดียว ย่อมไม่สามารถจะทำ แผ่นดินให้ราบเรียบดังฝ่ามือได้
ท่านพยายามจะทำซอกเขานี้ให้เต็มขึ้น ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสียเปล่าเป็นแน่.
[๗๓๐]
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่า มนุษย์คนเดียวไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่ นี้ให้ราบเรียบได้
ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้ผู้มีทิฏฐิต่างๆ กันมา ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๗๓๑] ดูกรการันทิยะ ท่านได้บอกความจริงโดยย่อแก่เรา ข้อนั้น เป็น อย่างนี้ แผ่นดินนี้มนุษย์ไม่สามารถจะทำให้ราบเรียบได้
ฉันใด เราก็ไม่ อาจจะทำให้มนุษย์ทั้งหลายมาอยู่ในอำนาจของเราได้ ฉันนั้น.
จบ การันทิยชาดกที่ ๖.
๗. ลูฏุกิกชาดก คติของคนมีเวร
[๗๓๒]
ดิฉันขอไหว้พญาช้างผู้มีกำลังเสื่อมในกาลที่มีอายุได้หกสิบปีแล้ว ผู้อยู่ ในป่า
เป็นเจ้าโขลง เพรียบพร้อมด้วยบริวารยศนั้น ดิฉันขอทำอัญชลี ท่านด้วยปีกทั้งสอง
ขอท่านอย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของฉันผู้มีกำลังทุรพล เสียเลย.
[๗๓๓] ดิฉันขอไหว้พญาช้างผู้เที่ยวไปเชือกเดียว
ผู้อยู่ในป่า เที่ยวหาอาหาร กินตามเชิงภูเขา ดิฉันขอทำอัญชลีท่านด้วยปีกทั้งสอง
ขอท่านอย่าได้ ฆ่าลูกน้อยๆ ของดิฉันผู้มีกำลังทุรพลเสียเลย.
[๗๓๔] แน่ะนางนกไส้
เราจะฆ่าลูกน้อยของเจ้าเสีย เจ้ามีกำลังน้อยจักทำ อะไรเราได้ เราจะขยี้นกไส้อย่างเจ้าตั้งแสนตัวให้ละเอียดไปด้วยเท้า
ข้างซ้าย.
[๗๓๕] กิจที่จะพึงทำด้วยกำลังกาย ย่อมสำเร็จในที่ทั้งปวง เพราะกำลังกายของ
คนพาล ย่อมมีเพื่อฆ่าคนอื่น แน่ะพญาช้าง ผู้ใด ฆ่าลูกน้อยๆ ของเรา ผู้มีกำลังทุรพล
เราจักทำสิ่งที่ไม่ใช่ความเจริญให้แก่ผู้นั้น.
[๗๓๖] ท่านจงดูกา นางนกไส้ กบ และแมลงวันหัวเขียว
สัตว์ทั้งสี่เหล่านี้ ได้ร่วมใจกันฆ่าช้างเสียได้ ท่านจงเห็นคติของคนมีเวรแก่คนมีเวร
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแล ท่านทั้งหลาย อย่าได้กระทำเวรกับใครๆ ถึง จะไม่เป็นที่รักใคร่กันเลย.
จบ ลฏุกิกชาดกที่ ๗.
๘. จุลลธรรมปาลชาดก ความรักของแม่ที่มีต่อลูก
[๗๓๗]
หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยธรรมปาล กุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือของหม่อมฉันเถิด.
[๗๓๘] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยธรรมปาลกุมาร นี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้าของหม่อมฉันเถิด.
[๗๓๙] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยธรรมปาลกุมาร นี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะของหม่อมฉันเถิด.
[๗๔๐] ใครๆ ผู้เป็นมิตร และอำมาตย์ของพระราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่ นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า
อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่ง เกิดแต่พระอุระเสียเลย ก็ไม่มี.
[๗๔๑] ใครๆ ผู้เป็นมิตรและพระญาติของพระราชานี้
ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่ นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรที่
เกิดจากพระองค์เสียเลย ก็ไม่มี.
[๗๔๒] แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน
อันลูบไล้ด้วยแก่น จันทน์แดง มาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะ
ดับไป
จบ จุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘.
๙. สุวรรณมิคชาดก ว่าด้วยเนื้อติดบ่วงนายพราน
[๗๔๓]
ข้าแต่เนื้อผู้มีกำลังมาก ท่านจงพยายามดึงบ่วงออก ข้าแต่ท่านผู้มี เท้าดุจทองคำ
ท่านจงพยายามดึงบ่วงที่ติดแน่นให้ขาดเถิด ฉันผู้เดียวจะ ไม่พึงยินดีอยู่ในป่า.
[๗๔๔] ฉันพยายามดึงอยู่ แต่ไม่สามารถจะทำบ่วงให้ขาดได้ ฉันเอาเท้าตะกุย แผ่นดินด้วยกำลังแรง
บ่วงติดแน่นเหลือเกิน จึงครูดเอาเท้าของฉันเข้า.
[๗๔๕] ข้าแต่นายพราน ท่านจงปูใบไม้ลง
จงชักดาบออก จงฆ่าฉันเสียก่อน แล้วจึงฆ่าพญาเนื้อต่อภายหลัง.
[๗๔๖] เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง
หรือได้เห็นเนื้อที่พูดภาษามนุษย์ได้ แนะนางผู้มี หน้าอันเจริญ ตัวท่าน และพญาเนื้อนี้จงเป็นสุขเถิด.
[๗๔๗] ข้าแต่นายพราน วันนี้ ฉันเห็นพญาเนื้อหลุดพ้นมาได้แล้ว ย่อมชื่นชม ยินดี
ฉันใด ขอให้ท่านพร้อมด้วยญาติทั้งมวลของท่าน จงชื่นชม ยินดี ฉันนั้น.
จบ สุวรรณมิคชาดกที่ ๙.
๑๐. สุสันธีชาดก ว่าด้วยนางผิวหอม
[๗๔๘]
กลิ่นดอกไม้มิติระหอมฟุ้งไป น้ำทะเลคะนองใหญ่ พระนางสุสันธี อยู่ห่างไกลจากนครนี้
ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช กามทั้งหลายเสียบแทงหัว ใจข้าพระบาทอยู่.
[๗๔๙] ท่านข้ามทะเลไปได้อย่างไร
ท่านได้เห็นเกาะเสรุมได้อย่างไร ดูกรนาย อัคคะ ความสมาคมของนาง และท่าน ได้มีขึ้นอย่างไร?
[๗๕๐] เมื่อพวกพ่อค้าผู้แสวงหาทรัพย์ ออกไปจากท่าชื่อภรุกัจฉะ พวกมังกร ทำให้เรือแตกแล้ว
เราได้ลอยไปกับแผ่นกระดาน.
[๗๕๑] พระนางสุสันธีมีกลิ่นพระกายหอมดุจแก่นจันทน์อยู่เป็นนิตย์
น่าดูน่าชม ทรงเห็นข้าพระบาทเข้าแล้ว ปลอบโยนด้วยวาจาอันอ่อนหวาน ได้ทรง อุ้มข้าพระบาทด้วยแขนทั้งสองเหมือนกับมารดา
อุ้มบุตรผู้เกิดจากอก ฉะนั้น.
[๗๕๒] พระนางผู้มีพระเนตรอ่อนหวาน ทรงบำรุงบำเรอข้าพระบาทด้วยข้าว
น้ำ ผ้า ที่นอน และแม้ด้วยพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช ขอพระ องค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด.
จบ สุสันธีชาดกที่ ๑๐.
จบ มณิกุณฑลวรรคที่ ๑. __________________ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. มณิกุณฑลชาดก ๒. สุชาตชาดก ๓. เวนสาขชาดก ๔. อุรคชาดก ๕. ธังกชาดก ๖. การันทิยชาดก ๗. ลฏุกิกชาดก ๘. จุลลธรรมปาลชาดก ๙. สุวรรณมิคชาดก ๑๐. สุสันธีชาดก.
๒. วรรณาโรหวรรค
๑. วรรณาโรหชาดก ว่าด้วยผู้มีใจคอหนักแน่น
[๗๕๓]
ท่านผู้มีเขี้ยวงามกล่าวว่า เสือโคร่งชื่อสุพาหุนี้ มีลักษณะ วรรณะ ชาติ กำลังกาย
และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.
[๗๕๔] เสือโคร่งชื่อสุพาหุกล่าวว่า ราชสีห์ผู้มีเขี้ยวงาม
มีลักษณะ วรรณะ ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.
[๗๕๕] แนะเพื่อนสุพาหุ
ถ้าท่านจะประทุษร้ายเราผู้อยู่กับท่านอย่างนี้ บัดนี้ เราก็ไม่พึงยินดีอยู่ร่วมกับท่านต่อไป.
[๗๕๖] ผู้ใดเชื่อฟังคำของคนอื่นตามที่เป็นจริง ผู้นั้นต้องพลันแตกจากมิตร และต้องประสบเวรเป็นอันมาก.
[๗๕๗] ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้น ไม่ชื่อว่าเป็นมิตร
ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความรังเกียจ มิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย
เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.
จบ วรรณาโรหชาดกที่ ๑.
๒. สีลวีมังสชาดก ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้เสมอกัน
[๗๕๘]
ข้าพระองค์มีความสงสัยว่า ศีลประเสริฐ หรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละ ประเสริฐกว่าสุตะ
ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว.
[๗๕๙] ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับมาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด
บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะสุตะ.
[๗๖๐] กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้นละ โลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ.
[๗๖๑] กษัตริย์ พราหมณ์
แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ ประพฤติธรรมในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในไตรทิพย์.
[๗๖๒] เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะให้อิสริยยศหรือความสุขใน ภพหน้าได้ ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว
ย่อมนำความสุขใน ภพหน้ามาให้ได้.
จบ สีลวีมังสชาดกที่ ๒.
๓. หิริชาดก การกระทำที่ส่อให้รู้ว่ามิตรหรือมิใช่มิตร
[๗๖๓]
ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมีเมตตา กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตร สหายของท่าน ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า
บัณฑิตรู้จักผู้นั้นได้ดี ว่า ผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา.
[๗๖๔] เพราะว่า บุคคลชอบทำอย่างไร
ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ไม่ชอบทำอย่างไร ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า
ผู้ไม่ทำให้สม กับพูด เป็นแต่กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน.
[๗๖๕] ผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ
มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้ นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้
ไม่มีความ รังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอก มารดา ฉะนั้น
ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.
[๗๖๖] กุลบุตรผู้มองเห็นผลอานิสงส์ เมื่อจะนำธุระของบุรุษ
ย่อมให้เกิดฐานะ คือ การทำความปราโมทย์ และความสุข อันจะนำความสรรเสริญมาให้.
[๗๖๗]
บุคคลได้ดื่มรสอันเกิดจากวิเวก รสแห่งความสงบ และรสคือธรรมปีติ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย
เป็นผู้หมดบาป.
จบ หิริชาดกที่ ๓.
๔. ขัชโชปนกชาดก ว่าด้วยเห็นหิ่งห้อยว่าเป็นไฟ
[๗๖๘]
ใครหนอ เมื่อไฟมีอยู่ ยิ่งเที่ยวแสวงหาไฟอีก เห็นหิ่งห้อยในเวลา กลางคืน ก็มาสำคัญว่าเป็นไฟ.
[๗๖๙] บุคคลนั้น เอาจุรณโคมัยและหญ้าขยี้ให้ละเอียดโปรยลงบนหิ่งห้อย เพื่อจะให้เกิดไฟ
ก็ไม่สามารถจะให้ไฟลุกได้ ด้วยความสำคัญวิปริต ฉันใด.
[๗๗๐] คนพาล ย่อมไม่ได้สิ่งที่ต้องประสงค์โดยมิใช่อุบาย
นมโคไม่มีที่เขา โค คนรีดนมโคจากเขาโค ย่อมไม่ได้นม ก็ฉันนั้น.
[๗๗๑] ชนทั้งหลาย
ย่อมบรรลุถึงประโยชน์ด้วยอุบายต่างๆ คือ ด้วยการข่มศัตรู และด้วยการยกย่องมิตร.
[๗๗๒] พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ย่อมครอบครองแผ่นดินอยู่ได้ ก็ด้วยการได้ อำมาตย์ผู้เป็นประมุขของเสนี
และด้วยการแนะนำของอำมาตย์ผู้ที่ทรง โปรดปราน.
จบ ขัชโชปนกชาดกที่ ๔.
๕. อหิตุณฑิกชาดก ว่าด้วยลิงกับหมองู
[๗๗๓]
ดูกรสหายผู้มีหน้างาม เราเป็นนักเลงสะกา แพ้เขาเพราะลูกบาด ท่าน จงทิ้งมะม่วงสุกลงมาบ้าง
เราจะได้บริโภคเพราะความเพียรของท่าน.
[๗๗๔] ดูกรสหาย ท่านมากล่าวสรรเสริญเราผู้ลอกแลก
ด้วยคำไม่เป็นจริง ขึ้น ชื่อว่าลิงที่มีหน้างาม ท่านเคยได้ยินหรือเคยได้เห็นที่ไหนมาบ้าง?
[๗๗๕] ดูกรหมองู ท่านทำกรรมใดไว้กะเรา กรรมนั้นย่อมปรากฏอยู่ในหัวใจ ของเราจนวันนี้
ท่านเข้าไปยังตลาดขายข้าวเปลือก เมาสุราแล้ว ตีเรา ผู้กำลังหิวโหยถึงสามครั้ง.
[๗๗๖] เราระลึกถึงการนอนเป็นทุกข์ อยู่ที่ตลาดนั้นได้ อนึ่ง ถึงท่านจะยก ราชสมบัติให้เราครอบครอง
ท่านขอมะม่วงเราแม้ผลเดียว เราก็ไม่ให้ เพราะว่าเราถูกท่านคุกคามให้กลัวเสียแล้ว.
[๗๗๗] อนึ่ง บัณฑิตรู้จักผู้ใดที่เกิดในตระกูล เอิบอิ่มอยู่ในห้อง ไม่มีความ ตระหนี่
ก็ควรจะผูกความเป็นสหาย และมิตรภาพกับผู้นั้นไว้ให้สนิท.
จบ อหิตุณฑิกชาดกที่ ๕.
๖. คุมพิยชาดก เปรียบวัตถุกามเหมือนยาพิษ
[๗๗๘]
ยักษ์ชื่อคุมพิยะเที่ยวหาเหยื่อของตนอยู่ ได้วางยาพิษอันมีสี กลิ่นและ รสเหมือนน้ำผึ้งไว้ในป่า.
[๗๗๙] สัตว์เหล่าใด มาสำคัญว่าน้ำผึ้ง กินยาพิษนั้นเข้าไป ยาพิษนั้นเป็นของ ร้ายแรงกว่าสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่านั้น ต้องพากันเข้าถึงความตาย เพราะ ยาพิษนั้น.
[๗๘๐] ส่วนสัตว์เหล่าใดพิจารณารู้ว่า
เป็นยาพิษแล้ว ละเว้นเสีย สัตว์เหล่า นั้น เมื่อสัตว์ที่บริโภคยาพิษเข้าไป กระสับกระส่ายอยู่
ถูกฤทธิ์ยาพิษ แผดเผาอยู่ ก็เป็นผู้มีความสุข ดับความทุกข์เสียได้.
[๗๘๑] วัตถุกามทั้งหลายฝังอยู่ในมนุษย์
บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นยาพิษ เหมือน กับยาพิษ อันยักษ์วางไว้ที่หนทางฉะนั้น กามคุณนี้ชื่อว่าเป็นเหยื่อ
ของสัตวโลก และชื่อว่าเป็นเครื่องผูกมัดสัตวโลกไว้ มฤตยูมีถ้ำคือ ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย.
[๗๘๒] บัณฑิตเหล่าใด ผู้มีความเร่าร้อน ย่อมละเว้นกามคุณเหล่านี้ อันเป็น เครื่องบำรุง
ปรุงกิเลส เสียได้ในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตเหล่านั้นนับว่า ได้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องในโลกแล้ว
เหมือนกับผู้ละเว้นยาพิษที่ยักษ์ วางไว้ในหนทางใหญ่ ฉะนั้น.
จบ คุมพิยชาดกที่ ๖.
๗. สาลิยชาดก ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
[๗๘๓]
ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนกสาลิกา ผู้นั้นตามพร่ำสอนสิ่งที่ลามก ถูกงูนั้นกัดตายแล้ว.
[๗๘๔] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเอง และผู้ไม่ใช้คนอื่นให้ฆ่าตน คน นั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่
เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.
[๗๘๕] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียดเบียนตน
และไม่ฆ่าตน คนนั้น ถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.
[๗๘๖] บุรุษผู้กำฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปในที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้น ย่อม หวนกลับมากระทบบุรุษนั้นเอง
เหมือนบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.
[๗๘๗] ผู้ใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายตน
เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด เลย บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลผู้นั้นเอง เหมือนกับละอองละเอียด
ที่บุคคลซัดไปทวนลม ฉะนั้น.
จบ สาลิยชาดกที่ ๗.
๘. ตจสารชาดก คนฉลาดย่อมไม่แสดงอาการให้ศัตรูเห็น
[๗๘๘]
พวกเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ถูกเขาจองจำด้วยท่อนไม้ไผ่แล้ว ยังเป็นผู้มีสีหน้าผ่องใส
เพราะเหตุไรพวกเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเล่า?
[๗๘๙] บุคคลไม่พึงได้ความเจริญแม้แต่เล็กน้อย
ด้วยความเศร้าโศก และ ความร่ำรำพัน พวกศัตรูรู้ว่า บุคคลนั้นเศร้าโศก ได้รับความทุกข์
ย่อม ดีใจ.
[๗๙๐] ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดในการวินิจฉัยความ ย่อมไม่สะทกสะท้านเพราะอัน
ตรายที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าเมื่อไร พวกศัตรูได้เห็นหน้าของบัณฑิตนั้น อัน ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นเหมือนแต่ก่อน ย่อมเกิดความทุกข์.
[๗๙๑] บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในที่ใด ด้วยประการใดๆ
เช่น การร่ายมนต์ การปรึกษาท่านผู้รู้ การกล่าววาจาอ่อนหวาน การให้สินบน หรือการสืบ
วงศ์ตระกูล พึงหาเพียรในที่นั้น ด้วยประการนั้นๆ เถิด.
[๗๙๒] ก็ในการใด บัณฑิตพึงรู้ว่า
ประโยชน์นี้เราหรือคนอื่นไม่พึงได้รับ ใน กาลนั้น ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรอดกลั้นไว้ด้วยคิดเสียว่า
กรรมเป็น ของมั่นคง บัดนี้ เราจะกระทำอย่างไรดี.
จบ ตจสารชาดกที่ ๘.
๙. มิตตวินทุกชาดก ว่าด้วยจักรกรดพัดบนหัว
[๗๙๓]
ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้ให้แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำบาป กรรมอะไรไว้ จักรกรดจึงได้มากระทบศีรษะของข้าพเจ้าพัดอยู่บนกระ
หม่อม?
[๗๙๔] ท่านล่วงเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทแก้วมณี ปราสาทเงิน และ ปราสาททอง
แล้วมาในที่นี้เพราะเหตุอะไร?
[๗๙๕] เชิญท่านดูข้าพเจ้าผู้ถึงความฉิบหาย เพราะความสำคัญเช่นนี้ว่า
โภค สมบัติในที่นี้ เห็นจะมีมากกว่าโภคสมบัติในปราสาททั้งสี่นั้น.
[๗๙๖] ท่านละทิ้งนางเวมานิกเปรต
๔ มาได้นางเวมานิกเปรต ๘ ละทิ้งนางเวมา นิกเปรต ๘ มาได้นางเวมานิกเปรต ๑๖ ละทิ้งนางเวมานิกเปรต
๑๖ มา ได้นางเวมานิกเปรต ๓๒ ปรารถนาไม่รู้จักพอ จึงมายินดีจักรกรด จักรกรดจึงพัดอยู่บนกระหม่อมของท่าน
ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำไว้.
[๗๙๗] อันธรรมดา ตัณหาเป็นสิ่งที่กว้างขวางอยู่ ณ
เบื้องบน ให้เต็มได้ยาก มักเป็นไปตามอำนาจของความปรารถนา เพราะฉะนั้น ชนเหล่าใดมา
กำหนัดยินดีตัณหานั้น ชนเหล่านั้นจึงต้องเป็นผู้ทูนจักรกรดไว้.
จบ มิตตวินทุกชาดกที่ ๙.
๑๐. ปลาสชาดก ว่าด้วยเหตุที่จะต้องหนีจากไป
[๗๙๘]
พระยาหงส์ได้กล่าวกะปลาสเทวดาว่า ดูกรสหาย ต้นไทรเกิดติดอยู่ที่ ค่าคบของท่านแล้ว
มันเจริญขึ้นแล้ว จะตัดชีวิตของท่านเสีย.
[๗๙๙] ข้าพเจ้าจะเป็นที่พึ่งทำต้นไทรให้เจริญขึ้น
ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งของ ข้าพเจ้า เหมือนมารดาบิดา เป็นที่พึ่งของบุตรแล้ว บุตรกลับเป็นที่พึ่ง
ของมารดาบิดา ฉะนั้น.
[๘๐๐] เหตุใดท่านจึงให้ต้นไม้ที่น่าหวาดเสียวดุจข้าศึก เจริญขึ้นอยู่ที่ค่าคบ
เหตุ นั้นข้าพเจ้าบอกท่านแล้วจะไป ความเจริญแห่งต้นไทรนั้น ข้าพเจ้าไม่ ชอบใจเลย.
[๘๐๑] บัดนี้ ต้นไทรนี้ทำให้เราน่าหวาดเสียวภัยอันใหญ่หลวง ได้มาถึงเรา เพราะไม่รู้สึกถึงคำ
อันใหญ่หลวงของพระยาหงส์ ซึ่งควรเปรียบ ด้วยขุนเขาสิเนรราช.
[๘๐๒] ผู้ใด เมื่อกำลังเจริญอยู่
กระทำที่พึ่งอาศัยให้พินาศไปเสีย ความเจริญ ของผู้นั้น ท่านผู้ฉลาดไม่สรรเสริญ
นักปราชญ์รังเกียจความพินาศของผู้ นั้น จึงเพียรพยายามที่จะตัดรากเหง้าเสีย.
จบ ปลาสชาดกที่ ๑๐.
จบ วรรณาโรหวรรคที่ ๒. _________________ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. วรรณาโรหชาดก ๒. สีลวีมังสชาดก ๓. หิริชาดก ๔. ขัชโชปนกชาดก ๕. อหิตุณฑิกชาดก ๖. คุมพิยชาดก ๗. สาลิยชาดก ๘. ตจสารชาดก ๙. มิตตวินทุกชาดก ๑๐. ปลาสชาดก _________________
๓. อัฑฒวรรค
๑. ทีฆีติโกสลชาดก ว่าด้วยเวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร
[๘๐๓]
ข้าแต่พระราชา เมื่อพระองค์ตกอยู่ในอำนาจของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว เหตุอันใดอันหนึ่งที่จะทำให้พระองค์พ้นจากทุกข์ได้
มีอยู่หรือ?
[๘๐๔] พ่อเอ๋ย เมื่อฉันตกอยู่ในอำนาจของท่านถึงอย่างนี้แล้ว เหตุอันใดอัน
หนึ่งที่จะทำให้ฉันพ้นจากทุกข์ได้ ไม่มีเลย.
[๘๐๕] ข้าแต่พระราชา เว้นสุจริต และวาจาสุภาษิตเสีย
เหตุอย่างอื่นจะป้อง กันได้ในเวลาใกล้มรณกาล ไม่มีเลย ทรัพย์นอกนี้ก็เหมือนกันแหละ.
[๘๐๖] ชนเหล่าใด เข้าไปผูกเวรว่า คนนี้ได้ด่าเรา คนนี้ได้ฆ่าเรา คนนี้ได้ชนะ เรา
คนนี้ได้ลักของๆ เรา เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่สงบ ส่วนชน เหล่าใด ไม่เข้าไปผูกเวรว่า
คนนี้ได้ด่าเรา คนนี้ได้ฆ่าเรา คนนี้ได้ชนะ เรา คนนี้ได้ลักของๆ เรา เวรของชนเหล่านั้น
ย่อมสงบ.
[๘๐๗] ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย แต่ย่อมระงับ ได้ด้วยความไม่มีเวร
ธรรมนี้เป็นของเก่า.
จบ ทีฆีติโกสลชาดกที่ ๑.
๒. มิคโปตกชาดก คำพูดที่ทำให้หายเศร้าโศก
[๘๐๘]
การที่ท่านเศร้าโศกถึงลูกเนื้อผู้ละไปแล้ว เป็นการไม่สมควรแก่ท่านผู้ หลีกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
สงบระงับ.
[๘๐๙] ดูกรท้าวสักกะ ความรักของมนุษย์ หรือเนื้อ ย่อมเกิดขึ้นในใจ เพราะ
อยู่ร่วมกันมา มนุษย์ หรือเนื้อนั้น อาตมภาพไม่สามารถที่จะไม่เศร้าโศก ถึงได้.
[๘๑๐] ชนเหล่าใด มาร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อถึงผู้ตายไปแล้ว และผู้จะตายอยู่ ณ บัดนี้
การร้องไห้ของชนเหล่านั้น สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า เปล่า จากประโยชน์ ดูกรฤาษี
เพราะฉะนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย.
[๘๑๑] ดูกรพราหมณ์ ผู้ที่ตายไปแล้ว ละไปแล้ว หากจะพึงกลับเป็นขึ้นได้
เพราะการร้องไห้ เราก็จะประชุมกันทั้งหมดร้องไห้ ถึงพวกญาติของ กันและกัน.
[๘๑๒]
มหาบพิตร มารดอาตมภาพผู้เดือดร้อนยิ่งนักให้หายร้อน ดับความกระ วนกระวายได้ทั้งสิ้น
เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดที่เปรียงให้ดับ ฉะนั้น มหาบพิตรมาถอนลูกศรคือความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในหทัยของอาตมภาพ
ออกได้แล้วหนอ เมื่ออาตมภาพถูกความโศกครอบงำ มหาบพิตรก็ได้ บรรเทาความโศกถึงบุตรเสียได้
ดูกรท้าววาสวะ อาตมภาพเป็นผู้ถอนลูก ศรออกได้แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง
อาตมาภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำของมหาบพิตร.
จบ มิคโปตกชาดกที่ ๒.
๓. มูสิกชาดก ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง
[๘๑๓]
คนบ่นพร่ำอยู่ว่า นางทาสีชื่อมูสิกาไปไหนๆ เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางทาสีชื่อมูสิกา
ตายอยู่ในบ่อน้ำ.
[๘๑๔] เหตุใด ท่านจึงคิดอย่างนี้ ลามองหาโอกาสจะประหารทางนี้ๆ
กลับไป แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านฆ่านางทาสีชื่อว่ามูสิกาตาย ทิ้งไว้ใน
บ่อ วันนี้ ปรารถนาจะกินข้าวเหนียวอีกหรือ.
[๘๑๕] แม่เจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อน
ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท มายืนถือท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้แก่เจ้า.
[๘๑๖] เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย ไม่ได้พ้นจากความตายวันนี้ เพราะ ภพในอากาศ
หรือเพราะบุตรที่รักเปรียบด้วยอวัยวะเลย เราพ้นจาก ความตายเพราะคาถาที่อาจารย์ผูกให้.
[๘๑๗] บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเลว ดี หรือปานกลาง ก็ตาม
บุคคลควรรู้ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทุกอย่าง แต่ไม่ควรประ กอบทั้งหมด ศิลป ที่ศึกษาแล้วนำประโยชน์ให้
ในเวลาใด แม้เวลา เช่นนั้นย่อมมีแท้.
จบ มูสิกชาดกที่ ๓.
๔. จุลลธนุคคหชาดก ว่าด้วยจุลลธนุคคหบัณฑิต
[๘๑๘]
ข้าแต่พราหมณ์ ท่านถือเอาห่อเครื่องประดับทั้งหมดข้ามฝั่งไปแล้ว ขอ จงรีบกลับมานำเอาฉันข้ามไปบัดนี้.
[๘๑๙] แน่ะนางผู้เจริญ ท่านนับถือเราผู้อันท่านไม่เคยเชยชิด เสียกว่าสามีผู้ที่
เคยเชยชิดมานาน นับถือเราผู้ไม่ใช่ผัวเสียยิ่งกว่าผัว นางผู้เจริญจะ พึงนับถือผู้อื่นยิ่งกว่าเราอีก
เราจักไปให้ไกลยิ่งกว่าที่นี้อีก.
[๘๒๐] ใครที่มาทำการหัวเราะอยู่ในพุ่มตะไคร้น้ำ
ในที่นี้ก็ไม่มีการฟ้อนรำ ขับร้อง หรือการดีดสีตีเป่า แน่ะนางงามผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย
ทำไมเจ้า จึงมาหัวเราะอยู่ในเวลาที่ควรร้องไห้?
[๘๒๑] แน่ะสุนัขจิ้งจอกพาลผู้โง่เขลา
ชาติชัมพุกะ เจ้าเป็นสัตว์มีปัญญาน้อย เสื่อมจากปลาและชิ้นเนื้อ ซบเซาอยู่ เหมือนคนกำพร้า.
[๘๒๒] โทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เจ้านั่นแหละ เสื่อมจากผัว
และชายชู้แล้ว ซบเซาแม้กว่าเราเสียอีก.
[๘๒๓] แน่ะพระยาเนื้อชาติชัมพุกะ ท่านกล่าวอย่างใด
ข้อนี้ก็เป็นอย่างนั้น ฉัน ไปจากที่นี้แล้ว จักเป็นหญิงอยู่ในอำนาจของผัว.
[๘๒๔]
ผู้ใด นำภาชนะเดินไป ถึงผู้นั้นจะพึงนำภาชนะสำริดไป บาปที่เจ้าทำไว้ แล้วนั่นแหละ
เจ้าจะทำอย่างนั้นอีก.
จบ จุลลธนุคคหชาดกที่ ๔.
๕. กโปตกชาดก ว่าด้วยโภคะของมนุษย์
[๘๒๕]
บัดนี้ เราเป็นสุข ไม่มีโรค นกพิราบผู้เหมือนหนามในหทัยบินไปแล้ว บัดนี้ เราจักกระทำความยินดีแห่งหทัย
เพราะเหตุว่า ชิ้นเนื้อและแกง จะทำให้เราเกิดกำลัง.
[๘๒๖] นกกระยางอะไรนี่ มีหงอน
ขี้ขโมย เป็นปู่นก โลดเต้นอยู่ แน่ะนก กระยาง ท่านจงออกมาข้างนอกเสีย กาผู้เป็นสหายของเราดุร้าย.
[๘๒๗] ท่านได้เห็นเรามีขนปีก อันพ่อครัวถอนแล้วทาด้วยน้ำข้าวเช่นนี้ ไม่ ควรจะมาหัวเราะเยาะเลย.
[๘๒๘] ท่านอาบดีแล้ว ลูบไล้ดีแล้ว เอิบอิ่มไปด้วยข้าวและน้ำ และมีแก้ว ไพฑูรย์อยู่ที่คอ
ได้ไปกชังคลประเทศมาหรือ?
[๘๒๙] เราจะเป็นมิตร หรือมิใช่มิตรของท่านก็ตาม ท่านอย่าได้กล่าวว่า
ท่าน ได้ไปยังกชังคลประเทศมาหรือ เพราะว่า ในกชังคลประเทศนั้น ชน ทั้งหลายถอนขนของเราออกแล้ว
ผูกชิ้นกระเบื้องไว้ที่คอ.
[๘๓๐] แน่ะสหาย ท่านจะประสบสภาพเห็นปานนี้อีก เพราะปกติของท่าน
เป็นเช่นนั้น อันโภคะของพวกมนุษย์ไม่ใช่เป็นของที่นกจะกินได้ง่ายเลย.
จบ กโปตกชาดกที่ ๕.
จบ อัฑฒวรรคที่ ๓. _________________ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. ทีฆีติโกสลชาดก ๒. มิคโปตกชาดก ๓. มูสิกชาดก ๔. จุลลธนุคคหชาดก ๕. กโปตกชาดก. _________________ รวมวรรคที่มีในปัญจกนิบาตนี้ คือ ๑. มณิกุณฑลวรรค ๒. วรรณาโรหวรรค ๓. อัฑฒวรรค. จบ ปัญจกนิบาตชาดก _________________
ฉักกนิบาตชาดก
๑. อาวาริยวรรค
๑. อาวาริยชาดก การกระทำที่ไม่เจริญด้วยโภคะ
[๘๓๑]
ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นจอมภูมิดล จอมพลรถ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระ พิโรธ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระพิโรธ
พระราชาไม่ทรงพระพิโรธต่อ บุคคลที่โกรธ อันชาวแว่นแคว้นบูชาแล้วในบ้านหรือในป่า
ในที่ลุ่ม หรือในที่ดอนก็ตาม อาตมภาพย่อมตามสอนอรรถทุกอย่าง อย่าทรง พระพิโรธเลย.
[๘๓๒] ณ แม่น้ำแห่งหนึ่ง มีนายเรือจ้างชื่อว่าอาวาริยบิดา ข้ามส่งคนเสีย ก่อน แล้วจึงเรียกค่าจ้างเมื่อภายหลัง
เพราะเหตุนั้น นายเรือจ้างนั้น จึงเกิดทะเลาะกัน และไม่เจริญด้วยโภคสมบัติทั้งหลาย.
[๘๓๓] ดูกรพ่อนายเรือจ้าง ท่านจงขอเรียกค่าจ้างคนที่ยังไม่ข้ามถึงฝั่งเสียให้ เสร็จทีเดียว
เพราะว่า คนที่ข้ามถึงฝั่งแล้วมีใจเป็นอย่างหนึ่ง คนที่ ปรารถนาจะข้ามไปฝั่งโน้น
ก็มีใจเป็นอย่างหนึ่ง.
[๘๓๔] ดูกรนายเรือจ้าง จะเป็นที่บ้านหรือที่ป่า ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม
ฉัน พร่ำสอนทุกอย่าง ท่านอย่าโกรธเลย.
[๘๓๕] พระราชาพระราชทานบ้านส่วย เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนใด
นาย เรือจ้างได้ตบปากดาบส เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนนั้นนั่นแหละ.
[๘๓๖] นายเรือจ้างทุบสำรับ
ถีบภรรยา ลูกไหลตกลงยังแผ่นดิน เขาไม่อาจ ทำประโยชน์ให้เจริญขึ้นได้ เหมือนกับเนื้อไม่อาจทำประโยชน์ให้เจริญ
ได้ถ้วยทองคำ ฉะนั้น.
จบ อาวาริยชาดกที่ ๑.
๒. เสตเกตุชาดก ว่าด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทิศ
[๘๓๗]
พ่อเอ๋ย อย่าโกรธเลย เพราะความโกรธไม่ดี ทิศที่เจ้าไม่ได้ยินได้ฟังมี เป็นอันมาก
พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดาบิดาชื่อว่า เป็นทิศ พระอริยเจ้า ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญอาจารย์ว่า
เป็นทิศ.
[๘๓๘] คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ให้ข้าว น้ำ และผ้า ผู้ให้มารับ ท่านก็กล่าวว่า
เป็นทิศ เสตเกตุเอ๋ย บุคคลผู้มีความทุกข์ถึงทิศใดแล้วกลับเป็นผู้มีความสุข ทิศ
นั้นชื่อว่า เป็นทิศสูงสุด.
[๘๓๙] ชฎิลเหล่าใด นุ่งหนังเสือเหลืองทั้งเล็บ มีฟันเขรอะ
รูปร่างมอมแมม สาธยายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้น ตั้งอยู่ในความเพียรที่มนุษย์ควรทำ
เจน จัดโลกนี้ จะพ้นจากอบายได้ละหรือ?
[๘๔๐] ข้าแต่พระราชา บุคคลแม้จะมีเวทมนต์ตั้งพัน
เป็นพหูสูต กระทำแต่ กรรมอันลามกทั้งหลาย ไม่พึงประพฤติธรรม ผู้นั้น อาศัยความเป็น
พหูสูตนั้น ไม่ประพฤติจรณธรรม จะพึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้.
[๘๔๑] บุคคลแม้มีเวทมนต์ตั้งพัน
อาศัยความเป็นพหูสูตนั้น แต่ไม่ประพฤติ จรณธรรม พึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
เราย่อมสำคัญว่า เวททั้งหลาย ย่อมไม่มีผล การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล เป็นความ
จริงแท้.
[๘๔๒] เวททั้งหลายจะไม่มีผลเลยนั้นหามิได้ การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล
เป็นความจริงแท้ บุคคลเรียนเวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติ บุคคล ฝึกฝนตนด้วยจรณธรรม
ย่อมถึงสันติ.
จบ เสตเกตุชาดกที่ ๒.
๓. ทรีมุขชาดก ว่าด้วยโทษของกาม
[๘๔๓]
ดูกรมหาบพิตร กามทั้งหลายเหมือนสวะ กามทั้งหลายเหมือนหล่ม อนึ่ง กามนี้ นักปราชญ์กล่าวว่า
เป็นภัยใหญ่หลวง มั่นคง ไม่หวั่นไหว อาตมภาพขอถวายพระพรว่า กามเป็นธุลี และเป็นควัน
ขอพระองค์ จงทรงละกาม เสด็จออกทรงผนวชเสียเถิด.
[๘๔๔] ดูกรพราหมณ์ ข้าพเจ้ายังกำหนัดยินดีลุ่มหลงในกามทั้งหลายอยู่
ยังมี ความต้องการความเป็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่สามารถจะละกามอันน่ากลัวนั้น ได้
แต่ข้าพเจ้าจะกระทำบุญเป็นอันมาก.
[๘๔๕] ผู้ใด อันบุคคลผู้หวังความเจริญรุ่งเรือง
อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ กล่าว ตักเตือนอยู่ ก็ไม่ทำตามคำสอน ยังสำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ
ผู้ นั้น เป็นคนเขลา จะต้องเกิดอยู่ร่ำไป.
[๘๔๖] ผู้นั้นเมื่อเข้าถึงท้องมารดา
ชื่อว่า เข้าถึงนรกอันร้ายกาจ เป็นของไม่งาม ของท่านผู้งดงาม เต็มไปด้วยมูตรและกรีส
สัตว์เหล่าใด ยังกำหนัด ยัง ไม่ปราศจากความรักใคร่ในกามทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้น
ก็ละกายของตน ไปไม่ได้.
[๘๔๗] สัตว์เหล่านี้ ย่อมแปดเปื้อนด้วยมูตร คูถ เลือด และเศลษคลอดออก
มา ในเวลานั้น ย่อมจะถูกต้องส่วนใดส่วนหนึ่งด้วยกาย ส่วนนั้น ล้วนไม่น่ายินดี มีแต่ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น.
[๘๔๘] อาตมภาพกล่าวมาประมาณเท่านี้ ไม่ใช่ว่าได้ยินได้ฟังมาจากสมณะหรือ หรือพราหมณ์อื่น
กล่าวเพราะได้เห็นมาเอง อาตมภาพระลึกชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อทรีมุข
ยังพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้มี พระปรีชาเฉลียวฉลาดให้ทรงเชื่อถือ ด้วยคาถาเป็นสุภาษิตมีเนื้อความ
อันวิจิตร.
จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓.
๔. เนรุชาดก อานุภาพของเนรุบรรพต
[๘๔๙]
กาป่า กาบ้าน และพวกเราที่ประเสริฐกว่านกทั้งหลาย มาจับที่ภูเขาลูก นี้แล้ว ย่อมเหมือนกันทั้งหมดทีเดียว.
[๘๕๐] ราชสีห์ เสือโคร่ง นก และเนื้อทั้งหลายซึ่งอยู่ที่ภูเขานี้ ย่อมมีสีกาย เหมือนกันทั้งหมด
ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าอะไร?
[๘๕๑] มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรู้จักภูเขาอันอุดมนี้ว่า เนรุบรรพต
สัตว์ทุกชนิดอยู่ ที่เนรุบรรพตนี้ ย่อมมีสีกายเหมือนทอง.
[๘๕๒] การไม่นับถือก็ดี
การดูหมิ่นก็ดี การเสมอกันกับคนเลวก็ดี จะพึงมี แก่บัณฑิตทั้งหลายในที่ใด บัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่พอใจอยู่ในที่นั้น.
[๘๕๓] คนเกียจคร้านกับคนขยัน คนกล้าหาญกับคนขลาด มีผู้บูชาเสมอกันในที่
ใด สัตบุรุษ ย่อมไม่อยู่ในที่นั้น ซึ่งเป็นภูเขาที่ไม่สามารถจะแบ่งคนให้ แปลกกันได้.
[๘๕๔] เนรุบรรพตนี้ ย่อมไม่จำแนกคนชั้นเลว คนชั้นกลาง และคนชั้นสูง ทำให้เหมือนกันไปเสียหมด
มิฉะนั้น เราจะละเนรุบรรพตนี้ไปเสีย.
จบ เนรุชาดกที่ ๔.
๕. อาสังกชาดก ว่าด้วยความหวัง
[๘๕๕]
เถาวัลย์ชื่อว่าอาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดา เถาวัลย์อาสาวดีนั้น นับได้ ๑,๐๐๐ ปี
จึงเกิดผลสักครั้งหนึ่ง.
[๘๕๖] เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น พวกเทวดาก็ยังหมั่นเข้าไปดูเถาวัลย์นั้น
เสมอ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังย่อม มีผลเป็นความสุข.
[๘๕๗]
นกยังหวังสำเร็จได้เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ความหวังของนกนี้ ยังสำเร็จได้
ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังมี ผลเป็นความสุข.
[๘๕๘] เจ้ายังให้เราเอิบอิ่มด้วยถ้อยคำ
แต่ไม่ยังเราให้เอิบอิ่มไปด้วยการกระทำ เปรียบเหมือนดอกหงอนไก่ มีแต่สี ไม่มีกลิ่น
ฉะนั้น.
[๘๕๙] บุคคลใด ไม่ให้ ไม่แบ่งปันโภคสมบัติลงได้ ย่อมพูดวาจาที่อ่อนหวาน
แต่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความสนิทสนมกับบุคคลนั้น ย่อมไม่ยืดยาว.
[๘๖๐] บุคคลทำสิ่งใด
พึงพูดถึงสิ่งนั้น ไม่พึงทำสิ่งใด ไม่พึงกล่าวถึงสิ่งนั้น บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมติเตียนคนดีแต่พูดแต่ไม่ทำ
[๘๖๑] เมื่อเราจะอยู่ในที่นี้อีกต่อไป พลนิกายของเราก็ร่อยหรอลงไป ทั้งสะเบียง
อาหารก็จะไม่มี เรารังเกียจถึงชีวิตของตนเองจะไม่ยั่งยืน ผิฉะนั้น เรา ขอลาไปเดี๋ยวนี้.
[๘๖๒] ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนี้แล เป็นชื่อ ชื่อของหม่อมฉัน
ขอพระองค์เสด็จไปตรัสบอกชื่อของหม่อมฉันกับ บิดาเถิด.
จบ อาสังกชาดกที่ ๕.
๖. มิคาโลปชาดก ว่าด้วยโทษของคนหัวดื้อ
[๘๖๓]
ลูกมิคาโลปะเอ๋ย ฉันไม่ชอบใจการที่เจ้าบินไปไกลเช่นนั้นเลย เจ้าบิน ไกลเกินไป ไปซ่องเสพภูมิสถานอันไม่สมควร.
[๘๖๔] ลูกเอ๋ย แผ่นดินพึงปรากฏแก่เจ้าเหมือนคันนา ๔ มุม เจ้าจงกลับจากที่ นั้นเสีย
อย่าบินเลยจากที่นั้นไปเป็นอันขาด.
[๘๖๕] แม้แร้งตัวอื่นๆ ที่มีปีกบินไปในอากาศมีอยู่มาก
แร้งเหล่านั้นมาสำคัญ เสมอด้วยแผ่นดินและภูเขา ถูกกำลังลมพัดคร่าไป พากันพินาศ
หมดแล้ว.
[๘๖๖] แร้งชื่อมิคาโลปะ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของแร้งชื่ออปรัณณะผู้บิดา
ซึ่ง เป็นผู้เจริญด้วยคุณสมบัติ บินผ่านลมกาลวาตขึ้นไปตกอยู่ในอำนาจของ ลมเวรัมภวาต.
[๘๖๗] บุตรและภรรยาของแร้งมิคาโลปะนั้น และแร้งอื่นที่อาศัยแร้งนั้นอยู่ พา กันถึงความพินาศสิ้น
เพราะแร้งมิคาโลปะ ไม่กระทำตามโอวาทของบิดา.
[๘๖๘] ผู้ใด ในโลกนี้ ไม่เชื่อฟังคำของผู้เจริญ
ผู้นั้น ย่อมถึงความพินาศ เพราะ ไม่ทำตามคำสอนของท่านผู้รู้ ดุจแร้งละเมิดคำสั่งสอน
บินเลยเขตแดน ถึงความพินาศหมด ฉะนั้น.
จบ มิคาโลปชาดกที่ ๖.
๗. สิริกาฬกัณณิชาดก ว่าด้วยสิริกับกาฬกรรณี
[๘๖๙]
ท่านเป็นใครหนอ มีผิวพรรณดำ ไม่น่ารักน่าดูเลย ท่านเป็นใคร หรือ เป็นธิดาของใคร
จะรู้จักท่านได้อย่างไร?
[๘๗๐] ฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าวิรูปักษ์ เป็นหญิงดุร้าย
เป็นหญิงกาฬี ไม่มีบุญ ทวยเทพรู้จักเราว่า เป็นหญิงกาฬกรรณี ฉันขอพักอาศัยอยู่
ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.
[๘๗๑] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล
มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางกาฬี เราถาม ท่าน ท่านจงบอกเรา เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร?
[๘๗๒] บุรุษใด ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอท่าน แข่งดี ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด และได้ทรัพย์มาแล้ว
ย่อมพินาศหมดไป บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของเรา.
[๘๗๓] บุรุษใด เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธไว้
ส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน มีวาจา กระด้าง หยาบคาย บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉันยิ่งกว่าบุรุษคนก่อน
นั้นอีก.
[๘๗๔] บุรุษไม่รู้จักประโยชน์ของตนว่า กรรมนี้ควรทำวันนี้ กรรมนี้ควรทำ
พรุ่งนี้ เป็นคนสำคัญตนว่า ดีกว่าเขา เมื่อถูกตักเตือนก็โกรธเคือง.
[๘๗๕] บุรุษผู้อันความคะนองในกามคุณครอบงำเป็นนิตย์
ย่อมเสื่อมจากมิตร ทุกคน บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉัน ถ้าฉันได้บุรุษเช่นนั้นแล้ว
จะไม่ เกี่ยวข้องในบุรุษอื่นเลย.
[๘๗๖] แน่ะนางกาฬี เจ้าจงหลีกไปเสียจากที่นี้
อุปกิเลสมีความลบหลู่เป็นต้น ที่กระทำความรักใคร่ของเจ้านั้น ไม่มีในเรา เจ้าจงไปยังชนบท
นิคม และราชธานีอื่นเสียเถิด.
[๘๗๗] แม้ฉันก็รู้จักสิ่งที่ทำความพอใจให้แก่ฉัน
มีความลบหลู่คุณท่านเป็นตน นี้ว่า ไม่มีอยู่ในท่าน คนไร้ปัญญามีอยู่ในโลก ย่อมรวบรวมเอาทรัพย์
ไว้มากมาย ฉัน และพี่ของฉัน ผู้เป็นเทพบุตร ทั้งสองคนจะช่วยกัน กำจัดทรัพย์ที่คนไม่มีปัญญารวบรวมไว้เสียก็ได้.
[๘๗๘] ท่านเป็นใครหนอ มีรัศมีเป็นทิพย์ ยืนอยู่ที่แผ่นดินอย่างเรียบร้อย ท่าน เป็นใคร
หรือเป็นธิดาของใคร เราจะรู้จักท่านอย่างไร.
[๘๗๙] ดิฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าธตรฐ
ผู้มีสิริ ข้าพเจ้ามีสิริด้วย มี บุญด้วย ทวยเทพรู้จักข้าพเจ้าว่า มีปัญญาดุจแผ่นดิน
ดิฉันขอพัก อาศัยอยู่ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.
[๘๘๐]
ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางลักขี ข้าพเจ้า ถามท่าน
ท่านจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร?
[๘๘๑] บุรุษใด เมื่อหนาว ร้อน
ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีอยู่ ก็ครอบงำความหิวความกระหายทั้งหมด
ประกอบการงานทั้งหลาย มิได้ขาด ทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสื่อม
เสียไป บุรุษนั้น เป็นที่พอใจของดิฉัน ดิฉันตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษนั้น.
[๘๘๒] อนึ่ง
บุรุษใด เป็นคนไม่โกรธ มีมิตรดี ชอบบริจาคทาน มีศีล ไม่ โอ้อวด เป็นคนตรง สงเคราะห์มิตร
มีวาจาอ่อนหวานไพเราะ แม้ได้ รับแต่งตั้งเป็นใหญ่โต ก็ยังประพฤติถ่อมตนอยู่ ดิฉันพอใจในบุรุษนั้น
เป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเลปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเลเหมือนมีมาก ฉะนั้น.
[๘๘๓]
อนึ่ง บุรุษใด ประพฤติสังคหธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในมิตร หรือผู้ที่มิใช่มิตร
ในคนที่ประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลว กว่า คนที่ประพฤติประโยชน์ หรือคนที่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
ไม่กล่าววาจาหยาบคายในกาลไหนๆ ดิฉันจะขอคบบุรุษนั้น ทั้งเมื่อ เขาตายแล้วและเป็นอยู่.
[๘๘๔] บุรุษใด เป็นคนไม่มีปัญญา ปรารถนาสิริที่คนพอใจ ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณตามที่กล่าวมาแล้วนี้
แล้วลืมเสีย ดิฉันขอเว้นบุรุษนั้น ผู้ประพฤติลุ่มๆ ดอนๆ เป็นเหตุเดือดร้อน เหมือนบุคคลเว้นหลุ่มคูถ
ห่างไกล ฉะนั้น.
[๘๘๕] บุคคลย่อมทำความดี และความชั่วด้วยตนเอง คนอื่นจะทำความดี
หรือ ความชั่วให้แก่คนอื่นไม่ได้เลย.
จบ สิริกาฬกัณณิชาดกที่ ๗.
๘. กุกกุฏชาดก ผลของการไม่เชื่อง่าย
[๘๘๖]
ข้าแต่ท่านผู้มีขนปีกอันวิจิตรตระการตา มีหงอนงามสง่า อาจจะไปใน อากาศได้โดยฉับพลัน
เชิญท่านลงมากจากกิ่งไม้เสียเถิด ฉันจะยอม เป็นภรรยาของท่านโดยไม่รับมูลค่าอันใดเลย.
[๘๘๗] ดูกรนางแมวรูปงามน่ารื่นรมย์ใจ เจ้ามีสี่เท้า เรามีสองเท้า เจ้าเป็นแมว เราเป็นไก่
ไม่สมควรกันเลย เชิญเจ้าไปแสวงหาสามีอื่นเถิด.
[๘๘๘] ฉันจะเป็นนางกุมาริกาของท่าน
มีวาจาอ่อนหวาน พูดน่ารัก ของท่าน จงรับฉันผู้มีความงาม ประพฤติธรรมอันประเสริฐ
ไว้ด้วยการได้อันดี งามเถิด.
[๘๘๙] แน่ะนางขโมย เลอะเทอะไปด้วยเลือดเหมือนซากศพ
ชอบกัดกินไข่ เจ้าไม่ได้ปรารถนาเราเป็นสามีโดยการได้อย่างดีดอก.
[๘๙๐] หญิงทั้งหลายประกอบด้วยวาจามีองค์
๔ เห็นชายดีเข้าแล้ว ย่อมชักนำ ไปด้วยวาจาอ่อนหวาน เหมือนนางแมวชักชวนพระยาไก่
ฉะนั้น.
[๘๙๑] ก็ผู้ใด ไม่รู้ประโยชน์อันเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมตกไปสู่อำนาจ
ศัตรู และจะต้องเดือดร้อนในภายหลัง.
[๘๙๒] ส่วนผู้ใด รู้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ผู้นั้น ย่อมพ้นจากความ เบียดเบียนของศัตรู เหมือนพระยาไก่หลุดพ้นจากนางแมว ฉะนั้น.
จบ กุกกุฏชาดกที่ ๘.
๙. ธัมมัทธชชาดก พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
[๘๙๓]
ดูกรญาติทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงประพฤติธรรม ท่านทั้งหลายจง ประพฤติธรรมอยู่เสมอๆ
เถิด ความเจริญจะมีแก่ท่านทั้งหลาย ผู้ ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.
[๘๙๔] กาตัวนี้เจริญดีจริงหนอ ประพฤติธรรมอย่างสูง ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว ย่อมพร่ำสอนแต่ธรรมเท่านั้นแก่พวกเรา.
[๘๙๕] ท่านทั้งหลายไม่รู้จักปกติของมัน จึงพากันสรรเสริญเพราะความไม่รู้ เท่าทัน
มันกินไข่และลูกนกแล้วก็ร้องว่า ธัมโม ธัมโม.
[๘๙๖] กาตัวนี้พูดด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง
กระทำด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ประพฤติ ธรรมเพียงวาจา แต่ไม่กระทำด้วยกาย เพราะฉะนั้น
มันไม่ได้ตั้งอยู่ใน ธรรมเลย.
[๘๙๗] กานี้เป็นสัตว์มีถ้อยคำอ่อนหวาน มีใจรู้ได้ยาก
เปรียบเหมือนงูเห่าปกปิด ร่างกายด้วยปล่อง หรือเปรียบเหมือนคนผู้เอาธรรมบังหน้า
คนโง่ไม่รู้ จริงพากันยกย่องว่า เป็นคนดีในหมู่บ้านและในนิคม ฉะนั้น.
[๘๙๘] ท่านทั้งหลายจงช่วยกันประหารกาลามกตัวนี้
ด้วยจะงอยปาก ด้วยปีก และด้วยเท้าให้มันพินาศไป กาตัวนี้ไม่ควรจะอยู่ร่วมกับพวกเรา.
จบ ธัมมัทธชชาดกที่ ๙.
๑๐. นันทิยมิคราชชาดก ว่าด้วยพระยาเนื้อนันทิยะ
[๘๙๙]
ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าท่านจะไปยังเมืองสาเกตุ โปรดช่วยส่งข่าวบุตรของ ข้าพเจ้าชื่อนันทิยะ
ผู้อยู่ในพระราชอุทยานชื่ออัญญชนวันว่า มารดา บิดาของท่านแก่แล้ว ปรารถนาจะได้เห็นท่าน.
[๙๐๐] ดูกรพราหมณ์ เหยื่อ คือ น้ำและหญ้าของพระราชา ข้าพเจ้าบริโภค แล้ว เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ทำกิจของพระราชาให้เป็นผลสำเร็จ
ก็ไม่สามารถ บริโภคราชทรัพย์ให้เป็นการบริโภคชั่วได้.
[๙๐๑] ข้าพเจ้าจะยืนหันข้างให้พระราชาผู้ทรงพระแสงธนู
เมื่อใด เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็จะพ้นจากมรณภัย มีความสุข ได้พบเห็นมารดา.
[๙๐๒] เมื่อก่อน
เราเป็นพระยาเนื้อชื่อว่านันทิยะ มีรูปงาม อาศัยพระราช อุทยานของพระเจ้าโกศล.
[๙๐๓]
พระเจ้าโกศลเสด็จมาที่พระราชอุทยานชื่ออัญชนวันนั้น ทรงโก่งธนูสอด ลูกศร หมายจะทรงยิงเรา.
[๙๐๔] เรายืนหันข้างให้พระเจ้าโกศลผู้ทรงพระแสงธนู เมื่อใด เมื่อนั้น เรา พ้นจากมรณภัย
มีความสุข กลับมาหามารดา.
จบ นันทิยมิคราชชาดกที่ ๑๐.
จบ อาวาริยวรรคที่ ๑. _________________ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. อาวาริยชาดก ๒. เสตเกตุชาดก ๓. ทรีมุขชาดก ๔. เนรุชาดก ๕. อาสังกชาดก ๖. มิคาโลปชาดก ๗. สิริกาฬกัณณิชาดก ๘. กุกกุฏชาดก ๙. ธัมมัทธชชาดก ๑๐. นันทิยมิคราชชาดก. _________________
๒.ขุรปุตตวรรค
๑. ขุรปุตตชาดก ว่าด้วยทำตนให้ไร้ประโยชน์
[๙๐๕]
เป็นความจริงทีเดียว ที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า แพะเป็นสัตว์โง่เขลา ดูเถิด แพะโง่เขลา
มิได้รู้จักกรรมที่ควรทำในที่ลับและที่แจ้ง.
[๙๐๖] แน่ะม้าผู้เป็นสหาย ท่านจงรู้เถิดว่า
ท่านเป็นสัตว์โง่เขลา เพราะท่าน นั่นแหละถูกเขาผูกด้วยเชือก มีปากคดถูกปิดหน้า.
[๙๐๗] แน่ะสหาย ความโง่ของเจ้ายังมีอยู่อีก เจ้าเขาแก้ออกแล้วไม่หนีไปเสีย นั่นและชื่อว่า
เจ้ายังมีโง่อยู่อีก แน่ะสหาย พระเจ้าเสนกะที่เจ้าพา ไปนั้นยังโง่ไปกว่าเจ้าเสียอีก.
[๙๐๘] ดูกรพระยาแพะผู้สหาย ได้ยินว่า ท่านรู้ว่า เราเป็นสัตว์โง่เขลา แต่ พระเจ้าเสนกะ
โง่เขลากว่า เพราะเหตุไรเล่า ขอเจ้าจงบอกเหตุที่เราถาม นั้นเถิด?
[๙๐๙] พระเจ้าเสนกะได้มนต์วิเศษชื่อว่า
สัพพรุทชานนมนต์ แล้วประทาน มนต์นั้นแก่พระอัครมเหสี ทรงยอมสละพระองค์ ด้วยเหตุนั้น
พระ อัครมเหสีนั้น จักไม่เป็นพระเทวีของพระเจ้าเสนกะ เพราะฉะนั้น พระเจ้าเสนกะจึงทรงโง่เขลากว่าท่าน.
[๙๑๐] ข้าแต่จอมประชาชน บุคคลผู้เช่นกับพระองค์ ทำตนให้ไร้ประโยชน์ ด้วยคิดว่า
สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ชื่อว่า ไม่ซ่องเสพสิ่งที่เป็นที่รัก ทั้งหลาย ตนเท่านั้น
ประเสริฐกว่าสิ่งที่ประเสริฐอย่างอื่น ภรรยาผู้เป็นที่ รักอันบุรุษผู้มีตนอันเจริญแล้วอาจจะได้ในภายหลัง.
จบ ขุรปุตตชาดกที่ ๑.
๒. สูจิชาดก ว่าด้วยเข็ม
[๙๑๑]
ใครต้องการจะซื้อเข็มอันไม่ขรุขระ ไม่หยาบ ชุบแก่กล้า มีรูอันเรียบร้อย ละเอียด
มีปลายคมบ้าง?
[๙๑๒] ใครต้องการจะซื้อเข็มอันเกลี้ยงเกลา เจาะรูเรียบร้อย สนได้คล่อง
แข็งแกร่ง อาจแทงทั่งให้ทะลุได้บ้าง?
[๙๑๓] เวลานี้ เข็มและเบ็ดทั้งหลาย ย่อมแพร่หลายออกไปจากบ้านช่างทองนี้
ทั้งนั้น ใครเล่าจะปรารถนามาขายเข็มในบ้านช่างทอง?
[๙๑๔] ศาตราทั้งหลายก็แพร่หลายออกมาจากบ้านช่างทองนี้
แม้การงานเป็น อันมาก ย่อมดำเนินไปด้วยเครื่องอุปกรณ์ที่ได้มาจากบ้านช่างทองนี้ทั้งนั้น
ใครเล่าจะปรารถนามาขายเข็มในบ้านช่างทอง?
[๙๑๕] คนฉลาดควรจะขายเข็มในบ้านช่างทอง
อาจารย์ทั้งหลาย ย่อมรู้กรรมที่ บุคคลทำดี และทำชั่วได้ดี.
[๙๑๖] ดูกรนางผู้เจริญ
ถ้าบิดาของท่าน จะพึงรู้เข็มที่ข้าพเจ้าทำนี้ จะต้องยกท่าน ให้ข้าพเจ้า พร้อมด้วยทรัพย์อย่างอื่นที่มีอยู่ในเรือน.
จบ สูจิชาดกที่ ๒.
๓. ตุณฑิลชาดก ธรรมเหมือนน้ำ บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล
[๙๑๗]
วันนี้ มารดาให้ข้าวที่เทลงใหม่ๆ รางข้าวก็เต็ม มารดาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ รางข้าวนั้น
ใช่แต่เท่านั้น ยังมีคนเป็นอันมากยืนถือบ่วงอยู่ ฉันไม่พอใจ จะบริโภคข้าวนั้นเลย.
[๙๑๘] เจ้าสะดุ้งกลัวภัย หมุนไปมา ปรารถนาที่ซ่อนเร้น เป็นผู้ไร้ที่พึ่ง จะไป ไหนเล่า
ดูกรน้องตุณฑิละ เจ้าจงมีความขวนขวายน้อยบริโภคอาหาร เสียเถิด เราทั้งสองมารดาเลี้ยงไว้
ก็เพื่อจะต้องการเนื้อ.
[๙๑๙] เจ้าจงหยั่งลงยังห้วงน้ำที่ไม่มีเปือกตม แล้วชำระเหงื่อและมลทินทั้งปวง
เสีย จงถือเอาเครื่องลูบไล้ใหม่ๆ ที่มีกลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาล ไหนๆ เถิด.
[๙๒๐]
อะไรหนอ ที่ท่านกล่าวว่า ห้วงน้ำไม่มีเปือกตม อะไรเล่า ท่านกล่าวว่า เหงื่อไคลและมลทิน
และอะไรเล่า ท่านกล่าวว่า เครื่องลูบไล้ใหม่ๆ ที่มีกลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาลไหนๆ?
[๙๒๑] ธรรมบัณฑิตกล่าวว่า เป็นห้วงน้ำไม่มีเปือกตม บาปธรรมบัณฑิตกล่าวว่า เหงื่อไคลและมลทิน
และศีลบัณฑิตกล่าวว่า เป็นเครื่องลูบไล้ใหม่ที่มี กลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาลไหนๆ.
[๙๒๒] มนุษย์ทั้งหลาย ผู้โง่เขลา ฆ่าตัวเอง ย่อมพอใจทำบาป ส่วนสัตว์ผู้รักษาตัวเอง
ย่อมไม่พอใจทำบาป สัตว์ทั้งหลาย รื่นเริงในเดือนมีพระจันทร์เต็มดวง ย่อมสละชีวิตได้.
จบ ตุณฑิลชาดกที่ ๓.
๔. สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วยปูตัวฉลาด
[๙๒๓]
ปูมีก้ามเหมือนเขาแห่งมฤค ตายาว มีกระดูกเป็นหนัง อาศัยอยู่ในน้ำ ไม่มีขน เราถูกมันหนีบร้องไห้อยู่เหมือนคนกำพร้า
ดูกรสหายผู้เจริญ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงละทิ้งเราไปเสีย?
[๙๒๔] งูเห่า เมื่อจะปลอบกาให้เบาใจ
จึงแผ่แม่เบี้ยใหญ่เลื้อยไปใกล้ปู จะช่วยเหลือสหายของตนไว้ ปูจึงเอาก้ามอีกข้างหนีบคอไว้.
[๙๒๕] ก็ปูเป็นสัตว์ต้องการอาหารแต่ไม่กินกา ไม่กินงู ดูกรท่านผู้มีตายาว เราขอถามท่าน
เพราะเหตุไร ท่านจึงหนีบเราทั้งสองไว้?
[๙๒๖] บุรุษใดปรารถนาประโยชน์แก่เรา จับเราไปปล่อยในน้ำ
บุรุษนั้น เมื่อเขาตาย ความทุกข์จักมีแก่เราไม่น้อย เรากับบุรุษนั้นเป็นคนๆ เดียวกัน
[๙๒๗] อนึ่ง คนทั้งปวงได้เห็นเราผู้มีกายอันเติบโตขึ้น ก็ปรารถนาจะเบียดเบียน เราผู้มีเนื้อดีและอ่อนนุ่ม
แม้กาทั้งหลายเห็นเราแล้วก็พึงเบียดเบียนเรา.
[๙๒๘] ถ้าท่านหนีบเราทั้งสองไว้ เพราะเหตุบุรุษนั้น
ก็ขอให้บุรุษจงลุกขึ้นเถิด เราจะดูดพิษออกเสียให้หมด ขอท่านจงรีบปล่อยเรา และกาโดยเร็วเถิด
ก่อนที่พิษจะแล่นเข้าไปสู่บุรุษรุนแรง ทำให้ตายเสีย.
[๙๒๙] เราจะปล่อยงูไป แต่กาเรายังไม่ปล่อยก่อน
เพราะว่า เราจะเอากาไว้เป็น ประกันก่อน เราเห็นบุรุษมีความสุข ปราศจากโรคแล้ว จึงจะปล่อย
กาไป เหมือนกับงู.
[๙๓๐] พระเทวทัตต์ในครั้งนั้น ได้เกิดเป็นกา ส่วนช้างเกิดเป็นงูเห่า
พระอานนท์ ผู้เจริญเกิดเป็นปู เราผู้เป็นศาสดาในครั้งนั้น เกิดเป็นพราหมณ์.
จบ สุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๔.
๕. มัยหสกุณชาดก ว่าด้วยการใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์
[๙๓๑]
นกชื่อว่ามัยหกะ เที่ยวไปตามไหล่เขาและซอกเขา บินไปสู่ต้นเลียบ อันมีผลสุก แล้วร้องว่า
ของเราๆ.
[๙๓๒] เมื่อนกมัยหกะนั้น รำพันเพ้ออยู่อย่างนั้น ฝูงนกทั้งหลายก็พากันบินมา
จิกกินผลเลียบแล้วพากันบินไปต้นอื่น ส่วนนกมัยหกะนั้น ก็ร้องเพ้ออยู่ นั่นเอง.
[๙๓๓] บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รวบรวมทรัพย์ไว้มากมายแล้ว ตนเองก็ไม่ได้ใช้สอย
ทั้งไม่แบ่งปันให้ญาติทั้งหลายตามส่วน.
[๙๓๔] บุคคลนั้น ไม่ใช้เป็นค่าเครื่องนุ่งห่ม
อาหาร ดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ อะไรๆ สักครั้งเดียวเลย ไม่สงเคราะห์ญาติทั้งหลาย.
[๙๓๕] เมื่อบุคคลนั้นเฝ้ารำพันอยู่อย่างนี้ว่า ของเราๆ พระราชา โจร หรือ ทายาทที่ไม่ชอบพอกันย่อมมาถือเอาทรัพย์ไป
บุคคลนั้น ก็รำพันเพ้ออยู่ นั่นเอง.
[๙๓๖] นักปราชญ์อาศัยทรัพย์สมบัติแล้ว ย่อมสงเคราะห์ญาติ
ย่อมได้เกียรติคุณ เพราะทรัพย์นั้น ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์.
จบ มัยหสกุณชาดกที่ ๕.
๖. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก ว่าด้วยกราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้
[๙๓๗]
ท่านมีรูปงาม ประนมมือนอบน้อมสมณะผู้มีรูปร่างไม่น่าดู สมณะนั้น ประเสริฐกว่าท่าน
หรือว่าเสมอกับท่าน ท่านจงบอกชื่อสมณะนั้นและ ชื่อของตนแก่เรา.
[๙๓๘] ข้าแต่พระราชา
เทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่ถือเอานามและโคตรของ พระขีณาสพผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติตรงๆ
ก็แต่ว่า หม่อมฉันจะบอก ชื่อของหม่อมฉันแก่พระองค์ หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมเทพชาว
ไตรทศทั้งหลาย.
[๙๓๙] ข้าแต่เทวราช หม่อมฉันขอถามเนื้อความนี้กะพระองค์ ผู้ใด เห็นภิกษุ
ผู้ประกอบด้วยจรณะแล้วประนมมือนอบน้อม ผู้นั้น จุติจากมนุษยโลกนี้ ไปแล้ว จะได้ความสุขอะไร?
[๙๔๐] ผู้ใด เห็นภิกษุผู้ประกอบด้วยจรณะแล้ว ประนมมือนอบน้อม ผู้นั้น ย่อมได้ความสรรเสริญในปัจจุบัน
และเมื่อตายไปแล้ว ย่อม ไปสวรรค์.
[๙๔๑] ปัญญารู้ผลแห่งกุศล และอกุศลเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันในวันนี้
หม่อมฉัน ได้เห็นท้าววาสวะผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่สัตว์ ข้าแต่ท้าวสักกะ หม่อมฉันได้
เห็นภิกษุและพระองค์แล้ว จักกระทำบุญไม่น้อย.
[๙๔๒] บุคคลเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต
สามารถคิดเหตุการณ์ได้มาก บุคคลเหล่านั้น ควรคบหาโดยแท้เทียว ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรง
เห็นภิกษุและหม่อมฉันแล้ว จงทรงกระทำบุญให้มากเถิด.
[๙๔๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ
หม่อมฉันจักเป็นผู้ไม่โกรธ มีจิตเลื่อมใส เป็นนิตย์ จักเป็นผู้ควรแก่การขอของแขกผู้มาทุกประเภท
จักกำจัด มานะเสีย แล้วกราบไหว้ท่านผู้ควรกราบไหว้ เพราะได้ฟังคำที่พระองค์ ตรัสดีแล้ว.
จบ ปัพพชิตวิเหฐกชาดกที่ ๖.
๗. อุปสิงฆปุปผกชาดก ว่าด้วยคนดีไม่ควรทำชั่วแม้นิดหน่อย
[๙๔๔]
การที่ท่านเข้าไปสูดดมกลิ่นดอกบัวที่เขายังมิได้ให้ นี้เป็นส่วนแห่งการ ขโมยอย่างหนึ่ง
ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านชื่อว่า เป็นผู้ขโมยกลิ่น.
[๙๔๕] เราไม่ได้นำเอาไป ไม่ได้บริโภค
เรายืนดมดอกบัวอยู่ในที่ไกล เมื่อเป็น เช่นนั้น เหตุไฉน ท่านจึงกล่าวว่า เราเป็นผู้ขโมยกลิ่นดอกบัวเล่า?
[๙๔๖] บุรุษใด มาขุดเหง้าบัวทั้งหลาย เด็ดเอาดอกบัวไป เพราะเหตุไร ท่านจึง ไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น
ผู้ทำกรรมหยาบช้าอย่างนี้เล่า?
[๙๔๗] บุรุษผู้หยาบช้า โหดร้าย แปดเปื้อนไปด้วยบาป
เหมือนผ้านุ่งของ แม่นม ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น
แต่ข้าพเจ้า ปรารถนาจะว่ากล่าวท่าน ผู้ทำกรรมไม่สมควร.
[๙๔๘] บาปเพียงเท่าปลายขนทราย
ย่อมปรากฏแก่บุรุษผู้ไม่มีโทษเหมือนท่าน แสวงหาความสะอาดอยู่เป็นนิตย์ เหมือนเท่ามหาเมฆ
ฉะนั้น.
[๙๔๙] ดูกรเทวดา ท่านรู้จักเรา และอนุเคราะห์เราโดยแท้ ท่านเห็นโทษเช่นนี้
ของเรา เมื่อใด ขอท่านจงตักเตือนเราแม้อีก เมื่อนั้น.
[๙๕๐] ข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยท่านเลี้ยงชีพ
และไม่เป็นลูกจ้างของท่าน ดูกรภิกษุ ท่านนั้นแล พึงรู้การกระทำอันเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ
จบ อุปสิงฆปุปผกชาดกที่ ๗.
๘. วิฆาสาทชาดก ว่าด้วยการกินของที่เป็นเดน
[๙๕๑]
ชนเหล่าใด บริโภคอาหารที่เป็นเดน ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นอยู่ สบายดีหนอ เป็นผู้ได้รับความสรรเสริญในปัจจุบัน
และมีสุคติใน โลกหน้า.
[๙๕๒] เมื่อนกแขกเต้าพูดอยู่ ท่านทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิต
ไม่ได้ฟังท่านทั้งหลาย ผู้ร่วมอุทรกันมา จงฟังคำของนกนั้น นกแขกเต้าตัวนี้กำลังสรรเสริญ
พวกเราอยู่เป็นแน่.
[๙๕๓] ข้าพเจ้าไม่ได้สรรเสริญท่านทั้งหลาย ดูกรท่านทั้งหลาย
ผู้กินซากศพ ท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายกินของเดนทิ้ง ไม่ใช่ผู้กิน
เดนเหลือ.
[๙๕๔] เราออกบวช กระหมวดมวยผม เลี้ยงชีพด้วยของเป็นเดนเหลืออยู่ กลางป่า
ตลอด ๗ ปี ผิว่า ท่านผู้เจริญ พึงติเตียนเราทั้งหลาย ก็ใคร เล่าที่ท่านผู้เจริญจะพึงสรรเสริญ?
[๙๕๕] ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยของเป็นเดนทิ้ง ของราชสีห์ เสือและเนื้อ ทั้งหลาย
ยังสำคัญว่า เป็นผู้กินเดนเหลือ.
[๙๕๖] ชนเหล่าใด บริโภคอาหารซึ่งเหลือจากที่เขาให้แก่สมณะ
พราหมณ์ และ วณิพกอื่น ชนเหล่านั้นชื่อว่า เป็นคนกินเดนเหลือ.
จบ วิฆาสาทชาดกที่ ๘.
๙. วัฏฏกชาดก ว่าด้วยการทำให้เกิดความสุข
[๙๕๗]
พ่อลุงกา ท่านบริโภคอาหารของมนุษย์อย่างประณีต คือ เนยใส และ น้ำมัน เมื่อเป็นเช่นนั้น
เพราะเหตุไร ท่านจึงซูบผอม.
[๙๕๘] เมื่อกาอยู่ในท่ามกลางศัตรู แสวงหาเหยื่ออยู่ในที่นั้นๆ
มีใจหวาด สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ที่ไหนจะอ้วนเล่า.
[๙๕๙] พวกกามีใจหวาดสะดุ้งอยู่เป็นนิตย์
ได้อาหารมาด้วยกรรมเป็นบาปจึง ไม่อิ่ม ดูกรนกกระจาบ เราซูบผอม เพราะเหตุนั้น.
[๙๖๐]
ดูกรนกกระจาบ ท่านกินพืชหญ้าหยาบๆ มีโอชาน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงอ้วนพีหนอ.
[๙๖๑] ดูกรกา เราเลี้ยงชีพด้วยความปรารถนาน้อยในอาหาร ๑ ด้วยความคิด แต่น้อย ๑
ด้วยไม่แสวงหาในที่ไกล ๑ ด้วยอาหารตามมีตามได้ ๑ เราเป็นผู้อ้วนพี เพราะเหตุ ๔
อย่างนั้น.
[๙๖๒] เป็นความจริง ความเป็นไปของบุรุษผู้มีความปรารถนาน้อย คิดถึง
ความสุขแต่น้อย และถือเอาประมาณในอาหารพอดี สามารถจะให้เกิด ความสุขได้.
จบ วัฏฏกชาดกที่ ๙.
๑๐. มณิชาดก ว่าด้วยแก้วมณี
[๙๖๓]
นานมาแล้วหนอ เราเพิ่งเห็นสหายประดับแก้วมณี เพื่อนของเราแต่ง หนวดเสียเรียบร้อยงดงามจริงหนอ.
[๙๖๔] เรามัวยุ่งอยู่ในราชการ หาโอกาสไม่ได้ จึงมีเล็บและขนปีกยาวรุงรัง เป็นเวลานานแล้ว
เราเพิ่งได้ช่างกัลบกในวันนี้ จึงให้ถอนขนออก จนหมด.
[๙๖๕] ท่านได้ช่างกัลบกที่หาได้ยาก
แล้วให้ถอนขนออกเช่นนี้ ท่านชอบใจ เราจะให้เขาทำให้บ้าง ดูกรสหาย เออก็อะไรเล่า
แขวนอยู่ที่คอของท่าน.
[๙๖๖] แก้วมณีของมนุษย์ผู้สุขุมาลชาติห้อยอยู่ที่คอเรา เราสำเหนียกตามอย่าง
ของมนุษย์ผู้สุขุมาลชาติเหล่านั้น ท่านอย่าสำคัญว่า เราทำเล่น.
[๙๖๗] ดูกรสหาย
ถ้าแม้ท่านปรารถนาจะให้แต่งหนวดให้เรียบร้อยเหมือน อย่างเรา เราก็จะให้เขาทำให้แก่ท่าน
แก้วมณีเราก็จะให้แก่ท่านด้วย.
[๙๖๘] ท่านผู้เดียวเท่านั้น สมควรแก่แก้วมณีและหนวดที่เขาแต่งดีแล้วด้วย
การที่ได้พบเห็นท่านเป็นที่พอใจของเรา เพราะฉะนั้น เราขอลาท่าน ไปก่อน.
จบ มณิชาดกที่ ๑๐.
จบ ขุรปุตตวรรคที่ ๒. _________________ รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. ขุรปุตตชาดก ๒. สูจิชาดก ๓. ตุณฑิลชาดก ๔. สุวรรณกักกฏชาดก ๕. มัยหกสกุณชาดก ๖. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก ๗. อุปสิงฆปุปผกชาดก ๘. วิฆาสาทชาดก ๙. วัฏฏกชาดก ๑๐. มณิชาดก. รวมวรรคในฉักกนิบาตนี้มี ๒ วรรค คือ ๑. อาวาริยวรรค ๒. ขุรปุตตวรรค. จบ ฉักกนิบาตชาดก. _________________