มหานิบาตชาดก

๑. เตมิยชาดก พระเจ้าเตมีย์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี


[๓๙๔] ท่านจงอย่าแสดงตนเป็นคนฉลาด จงให้คนทั้งปวงรู้ว่าตนเป็นคนโง่ คนทั้งหมดนั้นจะได้ดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนกาฬกัณณี ความประสงค์ของ ท่านจะสำเร็จด้วยอาการอย่างนี้.
[๓๙๕] ดูกรแม่เทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าว ท่านเป็นผู้ปรารถนา ประโยชน์ ปรารถนาจะเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า.
[๓๙๖] ดูกรนายสารถี ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไม เราถามแล้ว ขอท่านจงบอก ท่านจักทำประโยชน์อะไรด้วยหลุม.
[๓๙๗] พระราชโอรสของพระราชาเป็นใบ้ เป็นง่อยเปลี้ย ไม่มีจิตใจ พระราชา ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า พึงฝังลูกเราเสียในป่า.
[๓๙๘] ดูกรนายสารถี เรามิได้เป็นคนหนวก มิได้เป็นคนใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย มิได้มีอินทรีย์วิกลการ ถ้าท่านพึงฝังเราในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่ ไม่เป็นธรรม เชิญท่านดูขาและแขนของเรา และเชิญฟังคำภาษิตของเรา ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
[๓๙๙] ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ ท่านเป็นใคร หรือว่าเป็นบุตรของใคร เราทั้งหลายจะรู้จักท่านอย่างไร.
[๔๐๐] เราไม่ใช่เป็นเทวดา ไม่ใช่เป็นคนธรรพ์ ไม่ใช่เป็นท้าวสักกปุรินททะ เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสีผู้ที่ท่านอาศัยบารมีเลี้ยงชีพอยู่ ดูกรนายสารถี ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม บุคคล พึงนั่งหรือนอนที่ร่มเงาต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งต้นไม้นั้น เพราะว่า ผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็น เหมือนกิ่งไม้ ท่านสารถีเป็นเหมือนคนอาศัยร่มเงา ดูกรนายสารถี ถ้าท่านพึงฝังเราเสียในป่า ท่านก็ชื่อว่าพึงกระทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
[๔๐๑] ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ออกจากเรือนของตน ไปในที่ไหนๆ ย่อมมี อาหารมากมาย คนเป็นอันมากย่อมอาศัยผู้นั้นเป็นอยู่ ผู้ใดไม่ประทุษร้าย มิตร ผู้นั้นไปยังชนบท นิคม ราชธานีใดๆ ย่อมเป็นผู้อันชนทั้งหลาย ในชนบท นิคม ราชธานีนั้นๆ บูชา ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นโจร ทั้งหลายไม่ข่มเหง พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ทรงดูหมิ่น และผู้นั้นย่อมข้าม พ้นศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นไม่ได้โกรธเคืองใครๆ มายังเรือนของตน ย่อมเป็นผู้อันมหาชนยินดีต้อนรับในสภา ทั้งเป็น ผู้สูงสุดในหมู่ญาติ ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นสักการะคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตอบ เคารพคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้อันคนอื่น เคารพตอบ ทั้งเป็นผู้อันบุคคลกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณ ผู้ใดไม่ประทุษ ร้ายมิตร บูชาผู้อื่น ย่อมได้บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ย่อมได้ไหว้ตอบ ทั้งย่อมถึงอิสริยยศและเกียรติยศ ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นย่อม รุ่งเรืองเหมือนกองไฟ ย่อมไพโรจน์เหมือนเทวดา เป็นผู้อันสิริไม่ละแล้ว ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร โคของผู้นั้นย่อมเกิดมากมูล พืชในนาย่อม งอกงาม ผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลที่หว่านลงแล้ว นรชนใดไม่ประทุษร้าย มิตร นรชนนั้น พลาดจากภูเขา หรือพลาดตกจากต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่ง ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ข่มขี่ผู้นั้น เหมือนต้นไทร ที่มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว ลมประทุษร้ายไม่ได้ฉะนั้น.
[๔๐๒] ข้าแต่พระราชโอรส เชิญเสด็จเถิด เกล้ากระหม่อม จักนำพระองค์ เสด็จกลับยังพระราชมณเฑียร เชิญพระองค์เสวยราชสมบัติ พระองค์ จงทรงพระเจริญ จะทรงหาประโยชน์อะไรอยู่ในป่าเล่า.
[๔๐๓] ดูกรนายสารถี เราไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ พระประยูรญาติ หรือทรัพย์ สมบัติ ที่เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติธรรม.
[๔๐๔] ข้าแต่พระราชโอรส พระองค์เสด็จกลับจากที่นี้แล้ว จะทำให้เกล้า กระหม่อมได้รางวัลที่น่ายินดี เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว พระชนกและ พระชนนีพึงพระราชทานรางวัลแก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว นางสนม พวกกุมาร พ่อค้า และพวก พราหมณ์ จะพึงดีใจ ให้รางวัลแก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และ กองพลราบ จะพึงดีใจให้รางวัล แก่เกล้ากระหม่อม ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับแล้ว ชาวชนบท และชาวนิคม ผู้มีธัญญาหาร มากมาย จะมาประชุมกันให้เครื่องบรรณาการแก่เกล้ากระหม่อม.
[๔๐๕] เราเป็นผู้อันพระชนกและพระชนนี ชาวแว่นแคว้น ชาวนิคม และ กุมารทั้งปวงสละแล้ว เราไม่มีเรือนของตน เราอันพระชนนีทรงอนุญาต แล้ว และพระชนกก็ทรงยินดี สละอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ไม่พึงปรารถนา กามทั้งหลาย เราจะบวช.
[๔๐๖] ความปรารถนาผลของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เราเป็น ผู้มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว ดูกรนายสารถี ท่านจงรู้อย่างนี้ ประโยชน์ โดยชอบของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จโดยแท้ เราเป็นผู้มีพรหมจรรย์ อันสำเร็จแล้ว เราออกบวชแล้ว เป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
[๔๐๗] พระองค์เป็นผู้มีพระวาจาอันไพเราะ สละสลวยอย่างนี้ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ตรัสในสำนักพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น.
[๔๐๘] เราเป็นคนง่อยเปลี้ยเพราะไม่มีเครื่องต่อก็หาไม่ เป็นคนหนวกเพราะ ไม่มีช่องหูก็หาไม่ เป็นคนใบ้เพราะไม่มีลิ้นก็หาไม่ ท่านอย่าเข้าใจว่า เราเป็นใบ้ เราระลึกชาติก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้เสวย ราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันกล้าแข็ง เราได้เสวย ราชสมบัติในกาลนั้นยี่สิบปีแล้วต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐,๐๐๐ ปี เรา กลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลาย อย่าได้อภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่พูดในสำนัก ของพระชนก และพระชนนีในกาลนั้น พระชนกทรงอุ้มเรา ให้นั่ง บนพระเพลา แล้วตรัสสั่งข้อความว่า จงฆ่าโจรคนหนึ่ง จงขังโจร คนหนึ่งไว้ในเรือนจำ จงเอาหอกแทงโจรคนหนึ่ง แล้วราดด้วยน้ำแสบ ที่แผล จงเสียบโจรคนหนึ่งบนหลาว พระชนกตรัสสั่งข้อความแก่มหาชน ด้วยประการดังนี้ เราได้ฟังพระวาจาอันหยาบคาย ที่พระชนกตรัสนั้น จึง กลัวต่อการเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นใบ้ ก็ทำเหมือนเป็นใบ้ มิได้เป็น คนง่อยเปลี้ย ก็ทำเหมือนเป็นคนง่อยเปลี้ย เราแกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยู่ ในอุจจาระปัสสาวะของตน ชีวิตเป็นของฝืดเคือง เป็นของน้อย ทั้งประกอบไปด้วยทุกข์ ใครเล่าอาศัยชีวิตนี้แล้ว พึงก่อเวรกับใครๆ ใคร เล่าได้อาศัยชีวิตนี้แล้ว พึงก่อเวรกับใครๆ เพราะไม่ได้ปัญญา และเพราะ ไม่เห็นธรรม ความหวังผลของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เราเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว ดูกรนายสารถี ท่านจงรู้อย่างนี้ ประโยชน์โดยชอบของบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จโดยแท้ เราเป็นผู้ มีพรหมจรรย์อันสำเร็จแล้ว เราออกบวชแล้วเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
[๔๐๙] ข้าแต่พระราชโอรส แม้เกล้ากระหม่อม ก็จักบวชในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสอนุญาตให้เกล้ากระหม่อมบวชด้วยเถิด ขอพระ องค์จงทรงพระเจริญ เกล้ากระหม่อมก็ชอบบวช.
[๔๑๐] ดูกรนายสารถี เรามอบรถให้ท่านไว้ ท่านจงเป็นผู้ไม่มีหนี้มา จริงอยู่ การบรรพชา ของบุคคลผู้ไม่มีหนี้ ท่านผู้แสวงหาทั้งหลายสรรเสริญ.
[๔๑๑] ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ เมื่อใด เกล้ากระหม่อมได้ทำตามพระดำรัส ของพระองค์แล้ว เมื่อนั้น เกล้ากระหม่อมทูลวิงวอนแล้ว ขอพระองค์ ได้ทรงโปรดกระทำตามคำของเกล้ากระหม่อม ขอพระองค์จงประทับรอ อยู่ ณ ที่นี้จนกว่าเกล้ากระหม่อมจะเชิญเสด็จพระราชามา เมื่อพระชนก ของพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นแล้ว จะพึงทรงมีพระปีติโสมนัสเป็นแน่.
[๔๑๒] ดูกรนายสารถี เราจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกะเรา แม้เราก็ปรารถนาจะได้ เห็นพระชนกของเราเสด็จมา ณ ที่นี้ เชิญท่านกลับไปเถิด ท่านได้ทูล พระประยูรญาติด้วยก็เป็นความดี ท่านเป็นผู้อันเราสั่งแล้ว พึงกราบทูล ถวายบังคมพระชนนีและพระชนกของเรา.
[๔๑๓] นายสารถีจับพระบาทของพระโพธิสัตว์ และกระทำประทักษิณแล้ว ขึ้น รถบ่ายหน้าเข้าไป ยังพระทวารพระราชวัง.
[๔๑๔] พระราชชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ทรงกรรแสง มีพระเนตรชุ่มด้วยน้ำอัสสุชล ทอดพระเนตรดูนายสารถี นั้นอยู่ ทรงเข้าพระทัยว่านายสารถีฝังลูกของเราเสร็จแล้วกลับมา ลูก ของเราอันนายสารถีฝังในแผ่นดิน ถมแผ่นดินแล้วเป็นแน่ ศัตรูทั้งหลาย ย่อมพากันยินดี คนมีเวรทั้งหลายย่อมพากันอิ่มใจแน่แท้ เพราะเห็นนาย สารถีกลับมา เพราะนายสารถีฝังลูกของเรา พระราชชนนีทอดพระเนตร เห็นรถเปล่า และนายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว จึงทรงกรรแสง มีพระเนตร ชุ่มด้วยน้ำอัสสุชล ตรัสถามนายสารถีระร่ำระรักว่า ลูกของเราเป็นใบ้ หรือ เป็นง่อยเปลี้ยจริงหรือ ลูกของเราขณะเมื่อท่านจะฝังในแผ่นดิน พูด อะไรบ้างหรือเปล่า ดูกรนายสารถี ขอได้บอกเนื้อความนั้นแก่เราเถิด ลูก ของเราเป็นใบ้ ง่อยเปลี้ย เมื่อท่านจะฝังลงแผ่นดิน กระดิกมือและเท้า อย่างไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา.
[๔๑๕] ขอเดชะพระแม่เจ้า ขอได้โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้า พระพุทธเจ้าขอกราบทูลตามที่ได้ยินและได้เห็นมา ในสำนักพระราชโอรส.
[๔๑๖] ดูกรนายสารถีผู้สหาย เราให้อภัยแก่ท่าน อย่ากลัวเลย จงพูดไปเถิด ตามที่ท่านได้ฟัง หรือได้เห็นมาในสำนักพระราชโอรส.
[๔๑๗] พระราชโอรสนั้น มิได้ทรงเป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย มีพระวาจาสละ สลวย ทราบว่า พระองค์ทรงกลัวต่อการครองราชสมบัติ จึงได้ทรง กระทำการลวงเป็นอันมาก พระองค์ทรงระลึกถึงชาติก่อนที่พระองค์ได้ เสวยราชสมบัติได้ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไป ตกนรกอันกล้าแข็ง พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้น ๒๐ ปี แล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐๐๐๐ ปี พระองค์ทรงกลัวจะต้องเสวยราช สมบัตินั้น จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลายอย่าอภิเษกเราใน ราชสมบัติเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสในราชสำนัก ของ พระชนกและพระชนนีในกาลนั้น พระราชโอรสทรงสมบูรณ์ด้วยอังคา พยพ มีพระรูปสมบัติงดงามสมส่วน มีพระวาจาสละสลวย มีพระ ปัญญาเฉียบแหลม ทรงสถิตอยู่ในทางสวรรค์ ถ้าพระแม่เจ้าทรงปรารถนา พระราชโอรสของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลเชิญเสด็จพระแม่เจ้า เสด็จไปให้ถึงสถานที่ ซึ่งพระเตมีย์ราชโอรสประทับอยู่เถิด พระพุทธ เจ้าข้า.
[๔๑๘] เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมรถ จงเทียมม้า จงผูกเครื่องประดับช้าง จง กระทั่งสังข์และบัณเฑาะว์ จงตีกลองหน้าเดียว จงตีกลองสองหน้า และรำมะนาอันไพเราะ ขอชาวนิคม จงตามเรามา เราจักไปให้โอวาท พระราชโอรส นางสนม พวกกุมาร พวกพ่อค้า และพวกพราหมณ์ จงรีบตระเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทพระราชโอรส พวกกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถและกองพลราบ จงรีบเทียมยาน เราจักไปให้ โอวาทพระราชโอรส ชาวชนบท และชาวนิคม จงมาพร้อมกัน จงรีบ ตระเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทพระราชโอรส.
[๔๑๙] พวกสารถี จูงม้าที่เทียมรถและม้าสินธพ ซึ่งเป็นพาหนะว่องไว มายัง ประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลว่า ม้าทั้งสองนี้เทียมไว้เสร็จแล้วพระเจ้าข้า.
[๔๒๐] ม้าอ้วนไม่มีความว่องไว ม้าผอมไม่มีเรี่ยวแรง จงเว้นม้าผอมและม้า อ้วนเสีย เลือกเทียมแต่ม้าที่สมบูรณ์.
[๔๒๑] ลำดับนั้น พระราชารีบเสด็จขึ้นประทับสินธพ อันเทียมแล้ว ได้ตรัส กับนางชาววังว่า จงตามเรามาทุกคน พระราชาตรัสสั่งว่า จงตระเตรียม เครื่องปัญจราชกกุธภัณฑ์ คือ พัดวาลวีชนี อุณหิส พระขรรค์ เศวต ฉัตร และฉลองพระบาททอง ให้ขนขึ้นรถไปด้วย ลำดับนั้นแล พระ ราชาตรัสสั่งให้นายสารถีนำทางเสด็จเคลื่อนขบวนเข้าไปถึงสถานที่ ที่ พระเตมีย์ ราชฤาษีประทับอยู่โดยพลัน.
[๔๒๒] ส่วนพระเตมีย์ราชฤาษี ทอดพระเนตรเห็นพระชนกนาถกำลังเสด็จมา ทรงรุ่งเรืองด้วยพระเดชานุภาพ ทรงแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ จึงถวาย พระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ทรงปราศจากพระโรคาพาธหรือ ทรง พระสำราญดีหรือ ราชกัญญาทั้งปวง และโยมพระมารดาของอาตมภาพ ไม่มีพระโรคพาธหรือ.
[๔๒๓] ดูกรพระลูกรัก ดิฉันไม่มีโรคาพาธ สุขสำราญดี พระราชกัญญาทั้งปวง และโยมพระมารดาของพระลูกรักไม่มีโรคาพาธ.
[๔๒๔] ขอถวายพระพร มหาบพิตรไม่เสวยน้ำจัณฑ์ หรือ ไม่ทรงโปรดปราน น้ำจัณฑ์หรือ พระหฤทัยของมหาบพิตรทรงยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทานหรือ.
[๔๒๕] ดูกรพระลูกรัก ดิฉันไม่ดื่มน้ำจัณฑ์ ไม่โปรดปรานน้ำจัณฑ์ ใจของดิฉัน ยินดีในสัจจะ ในธรรมและในทาน.
[๔๒๖] ขอถวายพระพร พาหนะมีม้าเป็นต้นของมหาบพิตรที่เขาเทียมแล้วไม่มี โรคหรือ นำอะไรๆ ไปได้หรือ มหาบพิตรไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาพระ สรีระแลหรือ.
[๔๒๗] ดูกรพระลูกรัก พาหนะมีม้าเป็นต้นของดิฉันที่เทียมแล้ว ไม่มีโรค นำ อะไรๆ ไปได้ ดิฉันไม่มีพยาธิเข้าไปแผดเผาสรีระ.
[๔๒๘] ขอถวายพระพร ปัจจันตชนบทของมหาบพิตรยังเจริญดีอยู่หรือ คาม นิคมในท่ามกลางรัฐสีมาของมหาบพิตรยังแน่นหนาดีหรือ ฉางหลวง และท้องพระคลังของมหาบพิตรยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือ.
[๔๒๙] ดูกรพระลูกรัก ปัจจันตชนบทของดิฉันยังเจริญดีอยู่ คามนิคมในท่าม กลางรัฐสีมาของดิฉันยังแน่นหนาดี ฉางหลวงและท้องพระคลังของ ดิฉันทั้งหมดยังบริบูรณ์ดี.
[๔๓๐] ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จมาดีแล้ว มหาบพิตรเสด็จไม่ร้าย ขอ ราชบุรุษทั้งหลายจงจัดตั้งบัลลังก์ถวายให้พระราชาประทับเถิด.
[๔๓๑] ขอเชิญประทับนั่ง ณ เครื่องลาดใบไม้ที่เขาปูลาดไว้ถวายมหาบพิตร ณ ที่นี้ จงทรงตักน้ำจากภาชนะนี้ล้างพระบาทของมหาบพิตรเถิด.
[๔๓๒] ขอถวายพระพร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้เป็นของสุก (นึ่งแล้ว) ไม่ มีรสเค็ม มหาบพิตรผู้เป็นแขกของอาตมภาพเสด็จมาถึงแล้วเชิญเสวย เถิด ขอถวายพระพร.
[๔๓๓] ดิฉันไม่บริโภคใบหมากเม่า ใบหมากเม่านี้ไม่ใช่อาหารสำหรับดิฉัน ดิฉัน บริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ซึ่งปรุงด้วยมังสะอันสะอาด.
[๔๓๔] ความอัศจรรย์ย่อมแจ่มแจ้งกะดิฉัน เพราะได้เห็นพระลูกรักอยู่ในที่ลับแต่ ผู้เดียว บริโภคอาหารเช่นนี้ เหตุไรผิวพรรณ (ของผู้บริโภคอาหารเช่นนี้) จึงผ่องใส.
[๔๓๕] ขอถวายพระพร อาตมภาพนอนผู้เดียวบนเครื่องลาดใบไม้ที่ปูลาดไว้แล้ว เพราะการนอนผู้เดียวนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส ใครๆ มิได้ ตั้งการรักษาทางราชการที่ต้องผูกเหน็บดาบสำหรับอาตมภาพ เพราะการ นอนผู้เดียวนั้นผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส ขอถวายพระพร อาตม ภาพไม่ได้เศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ไม่ปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มา ถึง ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น ผิว พรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส คนพาลทั้งหลายย่อมเหือดแห้ง เพราะ ปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง เพราะเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว เปรียบเหมือนไม้อ้ออันเขียวสด ถูกถอนขึ้นทิ้งไว้ที่แดด ฉะนั้น.
[๔๓๖] ดูกรพระลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กอง พลราบ กองโล่ห์และพระราชนิเวศน์อันเป็นสถานที่รื่นรมย์แก่พระลูกรัก ดิฉันขอมอบนางสนมกำนัลผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง ขอ พระลูกรักจงปกครองนางสนมกำนัลเหล่านั้น จงเป็นพระราชาของดิฉัน ทั้งหลาย หญิง ๔ คน เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษา ดีแล้วในหน้าที่ของหญิง จักยังพระลูกรักให้รื่นรมย์ในกาม พระลูกรัก จักทำประโยชน์อะไรในป่า ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่นผู้ ประดับประดาดีแล้ว พระลูกรักให้พระโอรสเกิดในหญิงเหล่านั้นหลาย คนแล้วภายหลังจึงบวชเถิด พระลูกเจ้ายังทรงพระเยาว์หนุ่มแน่น ตั้งอยู่ ในปฐมวัย พระเกศายังดำสนิท จงเสวยราชสมบัติก่อนเถิด พระลูก เจ้าจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า.
[๔๓๗] ขอถวายพระพร คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ควรจะเป็นคนหนุ่ม เพราะว่าการบวชของคนหนุ่ม ท่านผู้แสวงหาคุณ ธรรมมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญคนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ควรจะเป็นคนหนุ่ม อาตมภาพจักประพฤติพรหม จรรย์ อาตมภาพไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ อาตมภาพเห็นเด็กชายของ ท่านทั้งหลาย ผู้เรียกมารดาบิดา ซึ่งเป็นบุตรที่รักอันได้มาด้วยยากยิ่งนัก ยังไม่ทันถึงแก่ก็ตายเสียแล้ว อาตมภาพเห็นเด็กหญิงของท่านทั้งหลาย ซึ่งสวยสดงดงามน่าดูน่าชม มีอันสิ้นไปแห่งชีวิตเหมือนหน่อไม้ไผ่ที่ถูก ถอน ฉะนั้น จริงอยู่ จะเป็นชายหรือหญิงก็ตามแม้จะยังหนุ่มสาวก็ตาย เพราะเหตุนั้น ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิตนั้นว่า เรายังเป็นหนุ่มสาว อายุของคนเป็นของน้อยนัก เพราะวันคืนล่วงไปๆ เปรียบเหมือนอายุ ของฝูงปลาในน้ำน้อย ความเป็นหนุ่มสาวในวัยนั้นจักทำอะไรได้ สัตว์โลกถูกครอบงำและถูกห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อสิ่งที่ไม่เป็น ประโยชน์เป็นไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพในราชสมบัติทำไม.
[๔๓๘] สัตว์โลกอันอะไรครอบงำไว้ และอันอะไรห้อมล้อมไว้ อะไรชื่อว่าสิ่ง ไม่เป็นประโยชน์เป็นไปอยู่ ดิฉันถามแล้ว ขอพระลูกเจ้าจงบอกข้อนั้น แก่ดิฉัน.
[๔๓๙] สัตว์โลกอันความตายครอบงำไว้ อันความแก่ห้อมล้อมไว้ วันคืนชื่อว่าสิ่ง ไม่เป็นประโยชน์เป็นไป มหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้ ขอถวายพระพร เมื่อด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่จะต้องทอก็ยัง เหลืออยู่น้อยเท่านั้น แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น แม้น้ำ ที่เต็มฝั่งย่อมไม่ไหลไปสู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่ กลับมาสู่ความเป็นเด็กอีก ฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมพัดพาเอาต้นไม้ ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไป ฉันใด สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัด พาไป ฉันนั้น.
[๔๔๐] ดูกรพระลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กอง พลราบ กองพลโล่ห์ และพระราชนิเวศน์อันเป็นสถานที่รื่นรมย์แก่พระ ลูกรัก ดิฉันขอมอบนางสนมกำนัลผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง ขอพระลูกจงปกครองนางสนมกำนัลเหล่านั้น จงเป็นพระราชาของดิฉัน ทั้งหลาย หญิง ๔ คน เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษา ดีแล้วในหน้าที่ของหญิง จักยังพระลูกรักให้รื่นรมย์ในกาม พระลูกรัก จักทำประโยชน์อะไรในป่า ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่น ผู้ ประดับประดาดีแล้ว มาให้แก่พระลูก พระลูกรักให้พระโอรสเกิดใน หญิงเหล่านั้นหลายคนแล้ว ภายหลังจึงบวชเถิด พระลูกเจ้ายังทรงพระ เยาว์หนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัยพระเกศายังดำสนิท จงเสวยราชสมบัติ ก่อนเถิด พระลูกเจ้าจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า ดูกร พระลูกรัก ดิฉันขอมอบฉางหลวง พระคลัง พาหนะ พลนิกายและนิเวศน์ อันน่ารื่นรมย์ แก่พระลูกรัก พระลูกรักจงแวดล้อมด้วยราชกัญญาอันงด งามเป็นมณฑล จงห้อมล้อมด้วยหมู่นางทาสี เสวยราชสมบัติก่อนเถิด พระลูกรักจงทรงพระเจริญ จักกระทำประโยชน์อะไรในป่า.
[๔๔๑] มหาบพิตรจะให้อาตมภาพเสื่อมไปเพราะทรัพย์ทำไม บุคคลจักตายเพราะ ภรรยาทำไม ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นหนุ่มสาวซึ่งต้องแก่ ทำไมจะ ต้องให้ชราครอบงำในโลกพิศวาสอันมีชราและมรณะเป็นธรรมดานั้น จัก เพลิดเพลินไปทำไม จะเล่นหัวไปทำไม จะยินดีไปทำไม จะมีประโยชน์ อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยลูกและเมียแก่ อาตมภาพ อาตมภาพหลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร มัจจุราช ย่อมไม่ย่ำยีอาตมภาพซึ่งรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว จะยินดีไปทำไม จะประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ ผลไม้ที่สุก แล้ว ย่อมเกิดภัยแก่การหล่นเป็นนิตย์ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้ว ย่อมมีภัยแต่ความตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น คนเป็นอันมากได้พบกันในเวลา เช้าพอเวลาเย็นก็ไม่เห็นกัน คนเป็นอันมากได้พบกันในเวลาเย็น พอ ถึงเวลาเช้าก็ไม่ได้เห็นกัน ควรรีบทำความเพียรเสียแต่ในวันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะพึงรู้ความตายว่าจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะความผัดเพี้ยนกับ มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นไม่มีเลย โจรทั้งหลายย่อมปรารถนาทรัพย์ อาตมภาพเป็นผู้พ้นจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร เชิญมหาบพิตรเสด็จ กลับเถิด อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ.

จบ เตมิยชาดกที่ ๑

๒. มหาชนกชาดก พระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยบารมี


[๔๔๒] ใครนี่ เมื่อมองไม่เห็นฝั่ง ก็ยังกระทำความเพียรว่ายอยู่ในท่ามกลางมหา สมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นัก.
[๔๔๓] ดูกรเทวดา เราพิจารณาเห็นวัตรของโลกและอานิสงส์แห่งความพยายาม เพราะฉะนั้น ถึงจะไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ในท่ามกลาง มหาสมุทร.
[๔๔๔] ฝั่งมหาสมุทรอันลึกประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏ ความพยายามอย่าง ลูกผู้ชายของท่านย่อมเปล่าประโยชน์ ท่านยังไม่ทันจะถึงฝั่งก็จักต้องตาย เป็นแน่.
[๔๔๕] บุคคลผู้กระทำความเพียรอยู่ แม้จะตาย ก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ คือ ไม่ถูก ติเตียนในระหว่างหมู่ญาติ เทวดาและพรหมทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลเมื่อ กระทำกิจของบุรุษอยู่ ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง.
[๔๔๖] การงานอันใดยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มี ความลำบากเกิดขึ้น ความปรากฏแก่บุคคลผู้กระทำความพยายามในอัน มิใช่ฐานะใด จะมีประโยชน์อะไรด้วยความพยายามในอันมิใช่ฐานะนั้น.
[๔๔๗] ดูกรเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่า การงานนี้ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายามแล้ว ไม่ป้องกันอันตราย ชื่อว่าไม่พึงรักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นพึงละความ เพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้านนั้น ดูกร เทวดา คนบางพวกในโลกนี้ เห็นอยู่ซึ่งผลแห่งความประสงค์ จึง ประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จก็ตาม ไม่สำเร็จก็ตาม ดูกรเทวดา ท่านย่อมเห็นผลแห่งการงานอันประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ พากันจมลงในมหาสมุทร เราคนเดียวเท่านั้นพยายามว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้เรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลังจักทำ ความเพียรที่บุรุษพึงกระทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร.
[๔๔๘] ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ทั้งลึก ทั้งกว้างเห็นปานนี้ ด้วยการกระทำความเพียรของบุรุษ ท่านนั้น จงไปในสถานที่ซึ่งใจของท่านยินดีเถิด.
[๔๔๙] ขุมทรัพย์ใหญ่ ๑๖ ขุมนี้ คือ ขุมทรัพย์ที่อาทิตย์ขึ้น ๑ ขุมทรัพย์ที่ อาทิตย์ตก ๑ ขุมทรัพย์ภายใน ๑ ขุมทรัพย์ภายนอก ๑ ขุมทรัพย์ไม่ใช่ ภายในไม่ใช่ภายนอก ๑ ขุมทรัพย์ขาขึ้น ๑ ขุมทรัพย์ขาลง ๑ ขุมทรัพย์ ที่ไม้รังทั้งสี่ ๑ ขุมทรัพย์ในที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ ๑ ขุมทรัพย์ที่ปลายงา ทั้งสอง ๑ ขุมทรัพย์ที่ปลายทาง ๑ ขุมทรัพย์ที่น้ำ ๑ ขุมทรัพย์ที่ยอด ต้นไม้ ๑ ธนูหนักพันแรงคน ๑ บัลลังก์สี่เหลี่ยมหัวนอนอยู่เหลี่ยม ไหน ๑ คนผู้ยังเจ้าหญิงสีวลีให้ยินดี ๑.
[๔๕๐] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนได้เป็นพระ ราชาตามที่เราปรารถนา บุรุษเป็นบัณฑิต พึงหวังร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอันน้ำพัดไปสู่บก บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามร่ำไป ไม่พึง เบื่อหน่าย เราเห็นตนได้เป็นพระราชาตามที่เราปรารถนา บุรุษผู้เป็น บัณฑิตพึงพยายามร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอันน้ำพัดไปสู่บก นรชนผู้มีปัญญาแม้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว ไม่พึงตัดความหวังเพื่อการมา แห่งความสุขเสีย จริงอยู่ บุคคลเป็นอันมาก อันผัสสะที่ไม่เป็น ประโยชน์กระทบกระทั่งก็ดี อันผัสสะที่เป็นประโยชน์กระทบกระทั่งก็ดี บุคคลเหล่านั้นไม่ตรึกถึงความข้อนี้ จึงเข้าถึงความตาย ความคิดที่ยังมิได้ คิดก็มีอยู่บ้าง ความคิดที่คิดแล้วเสื่อมหายไปบ้าง โภคะทั้งหลายของ สตรีหรือบุรุษ หาสำเร็จด้วยความคิดไม่.
[๔๕๑] ดูกรท่านผู้เจริญ พระราชาผู้ครอบครองภาคพื้นทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในทิศ ไม่ทรงเป็นเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ไม่ทอดพระเนตรการฟ้อนรำ ไม่ทรง ใส่พระทัยในการขับร้อง ไม่ทอดพระเนตรฝูงเนื้อ ไม่เสด็จประพาส พระราชอุทยาน ไม่ทอดพระเนตรฝูงหงส์ พระองค์ประทับนิ่งเฉยเหมือน คนใบ้ ไม่ทรงว่าราชการอะไรๆ.
[๔๕๒] นักปราชญ์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุข มีศีลอันปกปิด ปราศจากเครื่องผูก คือ กิเลส ทั้งหนุ่มทั้งแก่ มีตัณหาอันก้าวล่วงแล้ว อยู่ ณ อารามของ ใครหนอในวันนี้ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนักปราชญ์เหล่านั้น ผู้แสวงหา คุณใหญ่ นักปราชญ์เหล่าใดเป็นผู้ไม่ขวนขวายอยู่ในโลก อันถึงซึ่งความ ขวนขวาย นักปราชญ์เหล่านั้นตัดเสียซึ่งข่าย คือ ตัณหาอันมั่นคงแห่ง มฤตยูผู้มีมารยาอย่างยิ่ง ทำลายเสียด้วยญาณไปอยู่ ใครจะพึงนำเราไป ให้ถึงสถานที่อยู่แห่งนักปราชญ์เหล่านั้นได้.
[๔๕๓] เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ ซึ่งนายช่างผู้ฉลาดจัดการ สร้างแบ่งไว้เป็นส่วนๆ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์กว้างขวางรุ่งเรืองโดย ประการทั้งปวง ออกบวชได้ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไร เราจึงจักละพระนครมิถิลาอันสมบูรณ์ ซึ่งมีปราการและเสาค่ายเรียงราย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละ พระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ ซึ่งมีป้อมคูและซุ้มประตูมั่นคง ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอัน บริบูรณ์ มีทางหลวงหลายสายตัดไว้เรียบร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้น จักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ ซึ่ง จัดร้านตลาดไว้เรียบร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ ซึ่งมีโค ม้า และรถ เบียดเสียดกัน ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จเมื่อไรหนอ เมื่อไร เราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ มีสวนสาธารณะและวนสถาน เป็นระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ มีหมู่ไม้ในพระราชอุทยาน เป็นระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ มีปราสาทราชมนเทียรอัน งดงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระนครมิถิลาอันบริบูรณ์ มีปราการสาม ชั้น พรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ อันพระเจ้าวิเทหราชผู้เรืองยศ พระนามว่าโสมนัสทรงสร้างไว้ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละวิเทหรัฐอันบริบูรณ์ มีการสะสมธัญญา หารเป็นต้นไว้พร้อมมูล อันพระเจ้าวิเทหราชทรงปกครองโดยธรรม ออก บวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละวิเทหรัฐ อันบริบูรณ์ อันอริราชศัตรูไม่สามารถผจญได้ อันพระเจ้าวิเทหราชทรง ปกครองโดยธรรม ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระราชมนเทียรอันน่ารื่นรมย์ ที่นายช่างผู้ชาญฉลาด จัดสร้างไว้เป็นส่วนๆ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระราชมนเทียรอันน่ารื่นรมย์ ที่ฉาบทาด้วยปูนขาว และดินเหนียว ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อ ไรเราจึงจักละพระราชมนเทียรอันรื่นรมย์ มีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ ออก บวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระ ตำหนักยอด อันนายช่างผู้ชาญฉลาดจัดสร้างไว้เป็นส่วนๆ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระตำหนักยอด อันฉาบทาด้วยปูนขาวและดินเหนียว ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละพระตำหนักยอด อันมีกลิ่นหอมฟุ้งจรุง ใจ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละ พระตำหนักยอด อันนายช่างผู้ชาญฉลาดทาสีไว้สวยงาม ประพรมด้วย จุรณแก่นจันทน์ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละบัลลังก์ทองอันลาดด้วยผ้าโกเชาว์อย่างวิจิตร ออกบวช ได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละบัลลังก์แก้ว มณีอันลาดด้วยผ้าโกเชาว์อย่างวิจิตร ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าโขมพัสตร์ ออก บวชได้ ผ้าโกทุมพรพัสตร์ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไร เราจึงจักละสระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ มีนกจากพรากมาส่งเสียงพร่ำ เพรียกอยู่ ดาดาษด้วยดอกมณฑา ดอกปทุม และดอกอุบล ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละกองช้างอันประดับ ประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง มีสายรัดทองคำ เป็นช้างตระกูลมาตังคะ มีเครื่องปกตระพองและตาข่ายทอง มีนายควาญผู้ถือโตมรและของ้าว ขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไร จึงจักละกองม้าอันประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็นม้าต้น ตระกูลสินธพชาติอาชาไนย เป็นพาหนะเร็ว อันนายสารถีถือแส้และ ธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไร เราจึงจักละกองรถอันผูกสอดเครื่องรบ ติดธงประจำหุ้มด้วยหนังเสือ เหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันนายสารถี สวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละรถทองมีเครื่องครบครัน ติดธงประจำหุ้ม ด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ ความดำรินั้น จักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละรถเงิน ... รถม้า ... รถอูฐ ... รถโค ... รถแกะ ... รถแพะ ... รถมฤค ซึ่งมีเครื่องครบครัน ติดธงประจำหุ้ม ด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงอัน นายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นประจำ ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละกองฝึกช้างผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการ ทั้งปวง สวมเกราะเขียว กล้าหาญ ถือโตมรและของ้าว ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละกองม้า ... กองฝึก รถอันประดับเครื่องอลังการทั้งปวง สวมเกราะเขียว กล้าหาญ ถือธนู และแล่ง ... กองธนู อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวมเกราะเขียว กล้าหาญ ถือธนูและแล่ง ... พวกราชบุตรผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการ ทั้งปวง สวมเกราะอันวิจิตร กล้าหาญ ถือกฤตทอง ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละหมู่พราหมณ์ผู้ ครองผ้า ประดับประดา ลูบไล้ตัวด้วยจุรณ์จันทน์เหลือง ทรงผ้าเนื้อดีอัน มาแต่แคว้นกาสี ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละหมู่อำมาตย์ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวม เกราะเหลือง กล้าหาญ เดินไปข้างหน้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ออกบวช ได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละนางสนม กำนัลประมาณ ๗๐๐ คน อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ออก บวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละนาง สนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ผู้ละมุนละไมสะโอดสะอง ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละนางสนมกำนัล ประมาณ ๗๐๐ คน ผู้ว่านอนสอนง่าย เจรจาไพเราะน่ารัก ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักละถาดทองคำหนัก ร้อยปัลละ จำหลักลวดลายตั้งร้อย ออกบวชได้ ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรหนอกองช้างอันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง มีสายรัดทองคำ เป็นช้างตระกูลมาตังคะ มีเครื่องปกกะพองและตาข่าย ทอง อันนายควาญผู้ถือโตมรและของ้าวขึ้นขี่ประจำ ที่เคยขี่ติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรกองม้าอัน ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็นม้าต้นตระกูลสินธพชาติอาชาไนย เป็นพาหนะเร็ว อันนายสารถีถือแส้และธนูขึ้นขี่ประจำ ที่เคยติดตาม เรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรกอง รถ ซึ่งผูกสอดเครื่องรบติดธงประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือ โคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันนายสารถีสวมเกราะถือธนู ขึ้นขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรรถทองซึ่งมีเครื่องครบครัน ติดธงประจำหุ้มด้วย หนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันนาย สารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรรถเงิน ... รถม้า ... รถอูฐ ... รถโค ... รถแพะ ... รถแกะ ... รถมฤค ซึ่งมีเครื่องครบครัน ติดธงประจำหุ้มด้วย หนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันนาย สารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจึงจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรกองฝึกช้าง ผู้ประดับด้วย เครื่องอลังการทั้งปวง สวมเกราะเขียว กล้าหาญ ถือโตมรและของ้าว ซึ่งเคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรกองฝึกม้า อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวม เกราะเขียว กล้าหาญ ถือแส้และธนู ... กองฝึกรถ อันประดับด้วยเครื่อง อลังการทั้งปวง สวมเกราะเขียว กล้าหาญ ถือธนูและแล่งธนู ... กองฝึก ธนู ... พวกราชบุตร ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวมเกราะอัน วิจิตร กล้าหาญ ถือกฤตทอง ซึ่งเคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรหมู่พราหมณ์ผู้ครองผ้า ประ ดับประดา ลูบไล้ตัวด้วยจุรณจันทน์เหลือง ทรงผ้าเนื้อดีแคว้นกาสี ซึ่งเคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรหมู่อำมาตย์ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวมเกราะ เหลือง กล้าหาญ เดินไปข้างหน้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเคยติดตาม เรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไร นางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ผู้ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ ทั้งปวง ซึ่งเคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ เมื่อไรนางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ผู้ละมุนละไม สะโอดสะอง ที่เคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจัก สำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรนางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ผู้ว่านอน สอนง่าย เจรจาไพเราะน่ารัก ซึ่งเคยติดตามเรา จึงจักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักได้ปลงผมห่มผ้า สังฆาฏิอุ้มบาตรเที่ยวบิณฑบาต ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจักได้ทรงผ้าสังฆาฏิอันทำด้วยผ้าบังสุกุล ซึ่งเขาทิ้งไว้ที่หนทาง ใหญ่ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรฝนตกตลอด ๗ วัน เราจึงจักมีจีวรเปียกชุ่มเที่ยวบิณฑบาต ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรเราจึงจักได้จาริกไปตามต้นไม้ตามราวป่า ตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน เที่ยวไปโดยไม่ต้องห่วงหลัง ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรเราจึงจักละความกลัวและความขลาดได้เด็ดขาด เที่ยวไป ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง ตามซอกเขาและลำธาร ความดำรินั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ เมื่อไรเราจึงจักได้ทำจิตให้ตรง ดังคนดีดพิณ ดีดสาย พิณทั้ง ๗ สายให้เป็นเสียงรื่นรมย์ใจ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไร หนอ เมื่อไรเราจึงจักตัดเสียได้ซึ่งกามสังโยชน์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่ เป็นของมนุษย์ เหมือนช่างหนังตัดรองเท้าโดยรอบ ฉะนั้น.
[๔๕๔] นางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คนนั้น ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ต่างประคองพาหารำพันว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงละทิ้งพวกเกล้า กระหม่อมฉันไว้ นางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ล้วนละมุนละไม สะโอดสะอง ต่างประคองพาหารำพันว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรง ละทิ้งพวกเกล้ากระหม่อมฉันไว้ นางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ล้วน ว่านอนสอนง่าย เจรจาไพเราะน่ารัก ต่างประคองพาหารำพันว่า เพราะ เหตุไร พระองค์จึงทรงละทิ้งพวกเกล้ากระหม่อมฉันไว้ พระราชาทรง ละนางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คนเหล่านั้น ล้วนประดับประดาด้วย อลังการทั้งปวง เสด็จมุ่งผนวชแต่พระองค์เดียว พระราชาทรงละนาง สนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คนเหล่านั้น ผู้ละมุนละไม สะโอดสะอง เสด็จมุ่งผนวชแต่พระองค์เดียว พระราชาทรงละนางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คนเหล่านั้น ผู้ว่านอนสอนง่าย เจรจาไพเราะน่ารัก เสด็จมุ่งผนวช แต่พระองค์เดียว ทรงละถาดทองคำหนักประมาณ ๑๐๐ ปัลละ จำหลัก ลวดลายตั้งร้อย ทรงอุ้มบาตรดิน เป็นการอภิเษกครั้งที่ ๒.
[๔๕๕] คลังทั้งหลาย คือ คลังเงิน คลังทอง คลังแก้วมุกดา คลังแก้วไพฑูรย์ คลังแก้วมณี คลังสังข์ คลังไข่มุกด์ คลังผ้า คลังจันทน์เหลือง คลังหนัง คลังงาช้าง คลังพัสดุ คลังทองแดง คลังเหล็ก เป็นอัน มาก มีเปลวไฟเสมอเป็นอันเดียวกัน น่ากลัว แม้จัดไว้คนละส่วน ไฟก็ไหม้หมด ข้าแต่พระราชาขอเชิญเสด็จกลับก่อนเถิด พระราช ทรัพย์ของพระองค์อย่าพินาศเสียเลย.
[๔๕๖] เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล เป็นสุขดีจริงหนอ เมื่อกรุงมิถิลาถูกเพลิง เผาอยู่ อะไรหน่อยหนึ่งของเรามิได้ถูกเพลิงเผา.
[๔๕๗] เกิดพวกโจรในดงขึ้นแล้ว พากันมาปล้นแว่นแคว้นของพระองค์ ข้าแต่ พระราชา ขอเชิญเสด็จกลับเถิด แว่นแคว้นนี้อย่าพินาศเสียเลย.
[๔๕๘] เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล เป็นสุขดีจริงหนอ เมื่อแว่นแคว้นถูกปล้น อะไรหน่อยหนึ่งของเรามิได้ถูกปล้น เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล เป็น สุขดีจริงหนอ เราทั้งหลายจักมีปีติเป็นภักษา เหมือนดังเทพเจ้าเหล่า อาภัสสระ ฉะนั้น.
[๔๕๙] เสียงอันกึกก้องของหมู่ชนเป็นอันมากนี้ เพราะอะไร นั่นใครหนอ มากับท่านเหมือนเล่นกันอยู่ในบ้าน ดูกรสมณะ อาตมภาพขอถามท่าน มหาชนนี้ติดตามท่านมาเพื่อประโยชน์อะไร.
[๔๖๐] มหาชนนี้ติดตามข้าพเจ้าผู้ละทิ้งพวกเขาไปในที่นี้ ข้าพเจ้าผู้ล่วงเสียซึ่ง เขตแดน คือ กิเลส ออกบวชเพื่อบรรลุถึงมโนธรรม คือ ญาณของ พระมุนี แต่ยังเจือด้วยความเพลิดเพลินทั้งหลายอยู่ พระผู้เป็นเจ้ารู้อยู่ จะถามทำไม.
[๔๖๑] พระองค์เพียงแต่ทรงสรีระอันครองผ้ากาสาวะนี้ อย่าได้สำคัญว่าเราข้าม พ้นเขตแดน คือ กิเลสแล้ว กรรม คือ กิเลสนี้ จะพึงข้ามได้ด้วย การทรงเพศบรรพชิตก็หาไม่ เพราะอันตราย คือ กิเลสของพระองค์ยัง มีอยู่มาก.
[๔๖๒] อันตรายอะไรหนอ จะพึงมีแก่ข้าพเจ้าผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวอย่างนี้ ไม่ ปรารถนากามทั้งหลายในมนุษยโลกและในเทวโลก.
[๔๖๓] อันตรายเป็นอันมากแล คือ ความหลับ ความเกียจคร้าน ความง่วง เหงา ความไม่ยินดี ความเมาอาหาร ตั้งอยู่ในสรีระของพระองค์.
[๔๖๔] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ท่านพร่ำสอนข้าพเจ้าดีหนอ ข้าพเจ้าขอถามท่าน ผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ.
[๔๖๕] ชนทั้งหลายรู้จักอาตมาโดยชื่อว่านารทะ โดยโคตรว่ากัสสปะ อาตมามา ในสำนักของพระองค์ด้วยความสำคัญว่าการสมาคมกับสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นความดี พระองค์จงทรงมีความยินดีในบรรพชานี้ วิหารธรรมจงเกิด แก่พระองค์ กิจอันใดยังพร่องด้วยศีล การบริกรรมและฌาน พระองค์ จงทรงบำเพ็ญกิจนั้น ให้บริบูรณ์ด้วยความอดทนและความสงบระงับ อย่าถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ จงทรงคลายออกเสียซึ่งความยุบลงและ ความฟูขึ้น จงทรงกระทำโดยเคารพซึ่งกุศลกรรมบถวิชชาและสมณธรรม แล้วบำเพ็ญพรหมจรรย์.
[๔๖๖] ดูกรพระชนก พระองค์ทรงละช้าง ม้า ชาวนครและชนบทเป็นอันมาก เสด็จออกผนวชทรงยินดีแล้วในบาตร ชาวชนบท มิตรอำมาตย์และ พระประยูรญาติเหล่านั้น ได้กระทำความผิดให้แก่พระองค์หรือหนอ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงชอบพระทัยบาตรนั้น.
[๔๖๗] ข้าแต่ท่านผู้ครองหนังสัตว์ผู้เจริญ ข้าพเจ้ามิได้เคยเอาชนะพระประยูรญาติ อะไรๆ โดยส่วนเดียวในกาลไหนๆ โดยอธรรมเลย แม้พระยูรญาติ ก็มิได้เคยเอาชนะข้าพเจ้าโดยอธรรม.
[๔๖๘] ข้าแต่ท่านผู้ครองหนังสัตว์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้เห็นประเพณีของโลก เห็น โลกถูกกิเลสขบกัด ถูกกิเลสทำให้เป็นดังเปือกตม จึงได้ทำเหตุนี้ให้เป็น เครื่องเปรียบเทียบว่า ปุถุชนจมอยู่แล้วในกิเลสวัตถุใด สัตว์เป็นอันมาก ย่อมถูกประหาร และถูกฆ่าในกิเลสวัตถุนั้น ดังนี้ จึงได้บวชเป็นภิกษุ.
[๔๖๙] ใครหนอเป็นผู้จำแนกแจกอรรถสั่งสอนพระองค์ คำอันสะอาดนี้เป็นคำ ของใคร ดูกรพระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เพราะพระองค์หาได้ตรัสบอกดาบส ผู้เป็นกรรมวาทีหรือสมณะคือพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยวิชชาซึ่ง เป็นไปล่วงทุกข์ไม่.
[๔๗๐] ข้าแต่ท่านผู้ครองหนังสัตว์ แม้ข้าพเจ้าจะสักการะสมณะและพราหมณ์ โดยส่วนเดียว แต่ไม่เคยเข้าใกล้ไต่ถามอะไรๆ ในกาลไหนๆ เลย ข้าแต่ท่านผู้ครองหนังสัตว์ ข้าพเจ้ารุ่งเรืองด้วยศิริ ไปยังราชอุทยานด้วย อานุภาพใหญ่ เมื่อชาวพนักงานกำลังขับเพลงประโคมดนตรีอยู่ ข้าพเจ้า นั้นได้เห็นต้นมะม่วงกำลังมีผลอยู่ภายนอกกำแพง ในพระราชอุทยาน อันกึกก้องด้วยการประโคมดนตรี ประกอบด้วยคนขับและคนประโคม ข้าพเจ้าละต้นมะม่วงอันมีศิรินั้น ที่มนุษย์ทั้งหลายผู้ปรารถนาผลฟาดตีอยู่ ลงจากคอช้างเข้าไปยังโคนต้นมะม่วงที่มีผลและไม่มีผล ข้าพเจ้าเห็นต้น มะม่วงอันมีผล ที่บุคคลเบียดเบียนหักแล้วปราศจากใบและก้าน และ ได้เห็นต้นมะม่วงอีกต้นหนึ่งมีใบเขียวสดงดงาม ศัตรูทั้งหลายย่อมกำจัด แม้พวกเราผู้เป็นอิสระ ผู้มีศัตรูดุจหนามเป็นอันมาก เปรียบเหมือนต้น มะม่วงมีผลอันมนุษย์ทั้งหลายเบียดเบียนแล้ว ฉะนั้นคนย่อมฆ่าเสือ เหลืองเพราะหนัง ย่อมฆ่าช้างเพราะงา ย่อมฆ่าคนมั่งคั่งเพราะทรัพย์ ใครเล่าจักฆ่าคนที่ไม่มีเรือน ไม่มีสันถวะคือตัณหา ต้นมะม่วง ๒ ต้น คือ ต้นหนึ่งมีผลและต้นหนึ่งไม่มีผล เป็นผู้สั่งสอนข้าพเจ้า.
[๔๗๑] คนทั้งปวง คือ กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ตกใจว่า พระราชาทรงผนวชเสียแล้ว ขอพระองค์ทรงปลอบประชุมชนให้เบาใจ ทรงตั้งความคุ้มครอง ทรงอภิเษกพระราชโอรสในราชสมบัติแล้ว จึง ทรงผนวชในภายหลังเถิด.
[๔๗๒] เราได้สละชาวชนบท มิตร อำมาตย์และพระประยูรญาติทั้งหลายแล้ว ทีฆาวุราชกุมารผู้ผดุงรัฐ เป็นบุตรของชาววิเทหรัฐมีอยู่ ประชาบดีชาว วิเทหรัฐ จักอภิเษกบุตรเหล่านั้นให้เสวยราชสมบัติในกรุงมิถิลา.
[๔๗๓] มาเถิด อาตมาจักให้เธอศึกษาตามคำที่อาตมาชอบ เมื่อเธอให้โอรส ครองราชสมบัติแล้วพร่ำสอนเรื่องราชสมบัติด้วยคิดว่าลูกของเราเป็นพระ ราชา ก็จะทำบาปทุจริตเป็นอันมากด้วยกาย วาจาและใจ อันเป็นเหตุ ให้ไปสู่ทุคติ การยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยก้อนข้าวที่ผู้อื่นให้ซึ่งสำเร็จ มาแต่ผู้อื่นนี้ เป็นธรรมของนักปราชญ์.
[๔๗๔] กุลบุตรผู้ฉลาดแม้ใด ไม่พึงบริโภคอาหารในภัตตกาลที่ ๕ เพียงดังใกล้ จะตาย หรือพึงตายด้วยความหิว กุลบุตรผู้ฉลาดนั้น ก็ไม่พึงบริโภค ก้อนข้าวอันคลุกฝุ่นไม่สะอาดเลยมิใช่หรือ ข้าแต่พระมหาชนก พระองค์ เสวยได้ซึ่งก้อนเนื้อ อันเป็นเดนสุนัข ไม่สะอาดน่าเกลียดนัก.
[๔๗๕] ดูกรพระนางสีวลี บิณฑบาตใด เป็นของอันบุคคลผู้ครองเรือนหรือ สุนัขสละแล้ว บิณฑบาตนั้น ชื่อว่าไม่เป็นอาหารของอาตมาก็หามิได้ ของบริโภคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่ได้มาแล้วโดยธรรม ของบริโภค ทั้งหมดนั้นกล่าวกันว่าไม่มีโทษ.
[๔๗๖] ดูกรนางกุมาริกาผู้นอนใกล้มารดา ผู้ประดับประดาเป็นนิตย์ เพราะเหตุไร กำไลมือ ของเธอข้างหนึ่งจึงมีเสียงดัง อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง.
[๔๗๗] ข้าแต่สมณะ กำไลมือสองอันซึ่งสวมอยู่ที่มือของดิฉันนี้ เพราะกำไล สองอันกระทบกันจึงมีเสียงดัง กำไลมือสองอันจึงมีเสียงดัง กำไลมือ อันหนึ่งสรวมอยู่ที่ข้อมือของดิฉัน ไม่มีอันที่สอง จึงไม่เกิดเสียงดัง ราวกะว่ามุนีสงบนิ่งอยู่ บุคคลสองคนถึงความวิวาทกัน บุคคลคนเดียว จักวิวาทกับใคร ท่านผู้ปรารถนาสวรรค์จงชอบความเป็นผู้เดียวเถิด.
[๔๗๘] ดูกรพระนางสีวลี เธอได้ยินคาถาที่นางกุมาริกากล่าวแล้วหรือ นางกุมาริกา เป็นเพียงสาวใช้มาติเตียนเรา ความประพฤติของเราทั้งสอง อาตมาเป็น บรรพชิต เธอเป็นสตรีเดินตามกันมา ย่อมเป็นเหตุแห่งคำติเตียน ดูกรนางผู้เจริญ ทางสองแพร่งนี้ อันเราทั้งสองผู้เดินทางสัญจรมาแล้ว เธอจงถือเอาทางหนึ่ง อาตมาก็จักถือเอาอีกทางหนึ่ง เธออย่าเรียกอาตมา ว่า เป็นพระสวามีของเธอและอาตมาก็จะไม่เรียกเธอว่า เป็นพระมเหสี ของอาตมาอีก เมื่อกษัตริย์ทั้งสองตรัสข้อความนี้ ต่างก็เสด็จเข้าไปยัง ถูณนคร เมื่อใกล้เวลาภัตตกาล พระราชาประทับอยู่ ณ ซุ้มประตูของ นายช่างศร นายช่างศรหลับตาข้างหนึ่ง เล็งลูกศรอันคดที่ตนดัดให้ตรง ด้วยตาข้างหนึ่ง.
[๔๗๙] ดูกรนายช่างศร ท่านจงฟังอาตมา ท่านหลับตาข้างหนึ่งเล็งดูลูกศรอันคด ด้วยนัยน์ตาข้างหนึ่งด้วยประการใด ท่านเห็นความสำเร็จประโยชน์ ด้วยประการนั้นหรือหนอ.
[๔๘๐] ข้าแต่สมณะ การเล็งด้วยนัยน์ตาทั้งสองปรากฏว่าเหมือนพร่าไปไม่ถึงคด ข้างหน้า ย่อมไม่สำเร็จความดัดให้ตรง ถ้าหลับนัยน์ตาข้างหนึ่งเล็งดูที่ คดด้วยนัยน์ตาข้างหนึ่ง เล็งได้ถึงที่คดข้างหน้า ย่อมสำเร็จความดัดให้ ตรง บุคคลสองคนถึงความวิวาทกัน บุคคลคนเดียวจักวิวาทกับใคร ท่านผู้ปรารถนาสวรรค์ จงชอบความเป็นผู้เดียวเถิด.
[๔๘๑] ดูกรพระนางสีวลี เธอได้ยินคาถาที่นายช่างศรกล่าวแล้วหรือยัง นายช่างศร เป็นเพียงคนใช้มาติเตียนเรา ความประพฤติของเราทั้งสอง คือ อาตมา เป็นบรรพชิต เธอเป็นสตรีเดินตามกันมา ย่อมเป็นเหตุแห่งคำติเตียน ดูกรนางผู้เจริญ ทางสองแพร่งนี้ อันเราทั้งสองผู้เดินทางสัญจรมาแล้ว เธอจงถือเอาทางหนึ่ง อาตมาก็จะถือเอาอีกทางหนึ่ง เธออย่าเรียกอาตมา ว่า เป็นพระสวามีของเธอและอาตมาก็จะไม่เรียกเธอว่า เป็นพระมเหสี ของอาตมาอีก หญ้ามุงกระต่ายที่เราถอนขึ้นแล้วนี้ ไม่อาจจะสืบต่อกันอีก ได้ ฉันใด แม้เราก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น อาตมาจักอยู่ผู้เดียว เธอก็จงอยู่ผู้เดียวเถิด พระนางสีวลี.

จบ มหาชนกชาดกที่ ๒

๓. สุวรรณสามชาดก สุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี


[๔๘๒] ใครหนอยิงเราผู้มัวประมาทกำลังแบกหม้อน้ำ ด้วยลูกศร กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ คนไหนยิงเราแล้วแอบอยู่ เนื้อของเราก็กินไม่ได้ ประโยชน์ด้วยหนังก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ คนที่ยิงนี้ เข้าใจว่าเราเป็นผู้ อันจะพึงยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตรใคร เราจะ รู้จักท่านได้อย่างไร ดูกรสหาย เราถามแล้วขอท่านจงบอกเถิด ท่านยิง เราแล้วแอบอยู่ทำไมเล่า.
[๔๘๓] เราเป็นพระราชาของชนชาวกาสี ชนทั้งหลายเรียกเราว่า พระเจ้าปิลยักข์ เราละแว่นแคว้นมาเที่ยวแสวงหามฤคเพราะความโลภ อนึ่ง เราเป็น ผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่าแม่นยำ หนักแน่น แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศร ของเรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้ ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตรใคร เราจักรู้จัก ท่านได้อย่างไร ขอท่านจงบอกนาม และโคตรของบิดาท่าน และตัว ของท่านเถิด.
[๔๘๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของฤาษีผู้เป็นบุตรของนายพราน ญาติทั้งหลายเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สามะ วันนี้ ข้าพระองค์ ถึงปากมรณะนอนอยู่อย่างนี้ ถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรอันใหญ่ซาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกพรานป่ายิงแล้ว ข้าแต่พระราชา เชิญพระองค์ทอด พระเนตร ข้าพระองค์ผู้นอนเปื้อนโลหิตของตน เชิญทอดพระเนตรดู ลูกศรอันแล่นเข้าข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย ข้าพระองค์กำลังบ้วนเลือดอยู่ เป็นผู้กระสับกระส่าย ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์แล้ว จะแอบอยู่ทำไม เสือเหลืองถูกเขาฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกเขาฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นอย่างนี้ พระองค์เข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์อันพระองค์ควรยิง ด้วยเหตุไรหนอ.
[๔๘๕] ดูกรสามะ มฤคปรากฏแล้ว มาสู่ระยะลูกศร เห็นท่านเข้าแล้วก็หนีไป เพราะเหตุนั้น เราจึงเกิดความโกรธ.
[๔๘๖] จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จักถูกและผิด ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ย่อมไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ จำเดิมแต่ข้าพระองค์นุ่งผ้าเปลือกไม้ตั้งอยู่ ในปฐมวัย ฝูงมฤคในป่าดุร้าย ย่อมไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ ข้าแต่ พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เห็นข้าพระองค์ย่อมไม่ สะดุ้งกลัว เราทั้งหลายชื่นชมต่อกันไปสู่ภูเขาและป่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไรหนอ ฝูงมฤคจึงสะดุ้งกลัวข้าพระองค์.
[๔๘๗] ดูกรพ่อสามะ เนื้อหาได้สะดุ้งกลัวท่านไม่ เรากล่าวเท็จแก่ท่านดอก เราเป็นผู้อันความโกรธและความโลภครอบงำแล้ว จึงยิงท่านด้วยลูกศรนั้น ดูกรพ่อสามะ ท่านมาจากไหนหรือใครใช้ให้ท่านมา ท่านผู้จะตักน้ำ จึงไปยังแม่น้ำมิคสัมมตาแล้วกลับมา.
[๔๘๘] มารดาบิดาของข้าพระองค์ตามืด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านทั้งสองนั้นในป่าใหญ่ ข้าพระองค์ไปตักน้ำมาแต่แม่น้ำมิคสัมมตา เพื่อท่านทั้งสองนั้น.
[๔๘๙] อาหารของท่านทั้งสองนั้นยังพอมีอยู่ เมื่อเช่นนั้น ชีวิตของท่านทั้งสอง นั้นจักดำรงอยู่เพียง ๖ วัน ท่านทั้งสองตามืด เห็นจักตายเสีย เพราะ ไม่ได้น้ำ ความทุกข์เพราะความถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความ ทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่ เพราะความทุกข์เช่นนี้ อันบุรุษจะต้องได้ ประสบ ความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นมารดานั้น เป็นความทุกข์ของ ข้าพระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนั้นเสียอีก ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้า พระองค์นักไม่ เพราะความทุกข์เช่นนี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ ความ ทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นบิดานั้นเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์ ยิ่งกว่า ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนั้นเสียอีก มารดานั้นจักเป็น กำพร้าร้องไห้อยู่ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรี เหมือน แม่น้ำน้อย จักเหือดแห้งไปในคิมหันตฤดูเป็นแน่ บิดานั้นจักเป็นกำพร้า ร้องไห้อยู่ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรี หรือในที่สุดราตรี เหมือนแม่น้ำน้อย จักเหือดแห้งไปในคิมหันตฤดูเป็นแน่ ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์เคยหมั่นบีบนวดบนมือและเท้าของท่านทั้งสองนั้นจักบ่นเรียก หาข้าพระองค์ว่า พ่อสามะๆ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ลูกศรคือความโศก เพราะไม่ได้เห็นท่านทั้งสองนี้แล จะยังหัวใจของข้าพระองค์ให้หวั่นไหว เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เห็นท่านทั้งสองผู้ตามืด ข้าพระองค์เห็นจักต้องละ ชีวิตไป.
[๔๙๐] ดูกรสามะผู้งดงามน่าดู ท่านอย่าคร่ำครวญไปนักเลย เราจักยอมทำงาน เลี้ยงมารดาบิดาของท่านในป่าใหญ่ เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่า แม่นยำหนักแน่น เราจักยอมทำงานเลี้ยงมารดาบิดาของท่านในป่าใหญ่ เราจักเที่ยวแสวงหาของที่เป็นเดนของเหล่ามฤค และมูลมันผลไม้ในป่า ยอมกระทำงานเลี้ยงมารดาบิดาของท่านในป่าใหญ่ ดูกรสามะ ป่าซึ่งเป็น ที่อยู่แห่งมารดาบิดาของท่านอยู่ที่ไหน เราจักเลี้ยงมารดาบิดาของท่าน ให้เหมือนอย่างที่ท่านได้เลี้ยงมา ฉะนั้น.
[๔๙๑] ข้าแต่พระราชา หนทางที่เดินเฉพาะคนเดียว ซึ่งมีอยู่ทางหัวนอนของ ข้าพระองค์ เสด็จดำเนินแต่นี้สิ้นระยะกึ่งเสียงกู่ ก็จะเสด็จถึงเรือนที่อยู่ แห่งมารดาของข้าพระองค์ ขอเชิญพระองค์เสด็จดำเนินแต่ที่นี้ไปเลี้ยง มารดาบิดาของข้าพระองค์ในสถานที่นั้นเถิด.
[๔๙๒] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระบาทขอถวายบังคมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ ผู้ผดุงแคว้นกาสี ข้าพระบาทขอถวายบังคมแด่พระองค์ ขอพระองค์โปรด ทรงพระกรุณาบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาผู้ตามืดของข้าพระองค์ในป่าใหญ่ด้วย เถิด ข้าพระบาทขอประคองอัญชลีแด่พระองค์ ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระบาทขอน้อมเกล้าบังคมแด่พระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลสั่ง ขอ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกการกราบลาของข้าพระองค์กะมารดา ด้วยเถิด พระเจ้าข้า.
[๔๙๓] สามบัณฑิตผู้กำลังหนุ่มแน่นงดงามน่าดู ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว อันกำลังแห่ง พิษซาบซ่าน ได้ถึงวิสัญญี.
[๔๙๔] พระราชาพระองค์นั้น ทรงคร่ำครวญน่าสงสารเป็นอันมากว่า เราสำคัญว่า จะไม่แก่ไม่ตาย เราได้เห็นสามบัณฑิตทำกาลกิริยา ในวันนี้ จึงได้รู้ ความแก่ความตาย แต่ก่อนหารู้ไม่ ความไม่มาแห่งมฤตยูย่อมไม่มี สามบัณฑิตอันลูกศรกำซาบยาพิษซึมซาบแล้ว พูดกะเราอยู่ บัดนี้ ครั้น กาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ ไม่พูดอะไรๆ เลย เราจะต้องไปสู่นรกเป็นแน่ เราไม่มีความสงสัยในข้อนี้เลย เพราะว่าบาปอันหยาบช้าอันทำแล้วตลอด ราตรีนานในกาลนั้น คนทั้งหลายย่อมติเตียนเรา เพราะเราทำกรรมอัน หยาบช้าในบ้านเมือง ก็ในป่าอันหามนุษย์มิได้ใครเล่าจะควรกล่าวติเตียน เรา คนทั้งหลายประชุมกันในบ้านเมือง จะยังกันและกันให้ระลึกถึงกรรม จะโจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา ก็ในป่าอันหามนุษย์มิได้ ใครเล่าหนอจะ โจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา.
[๔๙๕] นางเทพธิดานั้นหายไปจากภูเขาคันธมาทน์ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ เพื่อ อนุเคราะห์พระราชาว่า ดูกรมหาราชา ได้ยินว่า พระองค์ได้ทรงทำความผิด อันเป็นกรรมชั่ว มารดาบิดาและบุตร รวม ๓ คนผู้หาความประทุษร้าย มิได้ พระองค์ฆ่าเสียด้วยลูกศรลูกเดียว เชิญเสด็จมานี่เถิด ดิฉันจะ พร่ำสอนพระองค์ด้วยวิธีที่พระองค์จะพึงมีคติดี พระองค์จะทรงเลี้ยงดู มารดาบิดาทั้งสองนั้นผู้ตามืดโดยธรรม ดิฉันเข้าใจว่าสุคติจะพึงมีแก่ พระองค์.
[๔๙๖] พระราชานั้นทรงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก ทรงถือหม้อน้ำ มุ่งพระพักตร์เฉพาะทิศทักษิณเสด็จหลีกไป.
[๔๙๗] นั่นเสียงฝีเท้าของใครหนอ นี้เป็นเสียงฝีเท้ามนุษย์เดินมาเป็นแน่ เสียง ฝีเท้าของสามบุตรเราไม่ดัง ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ สามบุตร เดินเบา วางเท้าเบา เสียงฝีเท้าของสามบุตรเราไม่ดัง ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ.
[๔๙๘] ข้าพเจ้าเป็นพระราชาของชนชาวกาสี ชนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่า พระเจ้า ปิลยักขราช ข้าพเจ้าละแว่นแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้อ เพราะความโลภ ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำหนักแน่น แม้ช้าง มาสู่ที่ข้าพเจ้ายิงลูกศร ก็ไม่พึงพ้นไปได้.
[๔๙๙] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จ มาร้าย พระองค์เป็นผู้ใหญ่เสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้ ข้าแต่พระราชา เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง และ ผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย ขอได้ทรงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ เถิด ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น อันนำมาแต่แม่น้ำ มิคสัมมตานที ซึ่งไหลออกจากซอกเขา ถ้าพระองค์ทรงหวัง.
[๕๐๐] ท่านทั้งสองตามืดไม่สามารถจะเห็นไรๆ ในป่า ใครหนอนำผลไม้มาเพื่อ ท่านทั้งสอง การเก็บผลาผลไว้โดยเรียบร้อยนี้ ปรากฏแก่ข้าพเจ้าเหมือน การเก็บของคนตาดี.
[๕๐๑] สามะหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัดงดงามน่าดู ผมของเธอยาว ดำ เลื้อยลง ไปปลายงอนช้อนขึ้นเบื้องบน เธอนั่นแหละนำผลไม้มา ถือหม้อน้ำมา เห็นจะกลับมาใกล้แล้ว ขอเดชะ.
[๕๐๒] ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้บำรุงบำเรอท่านเสียแล้ว พระคุณเจ้ากล่าวถึง สามกุมารผู้งดงามน่าดูใด ผมของสามกุมารนั้นยาว ดำ เลื้อยลงไป ปลายงอนช้อนขึ้นเบื้องบน สามกุมารนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว นอนอยู่ หาดทราย เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต.
[๕๐๓] ข้าแต่ทุกูลบัณฑิต ท่านพูดอยู่กับใครซึ่งบอกว่า ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมาร เสียแล้ว ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสีย แล้ว ใบอ่อนแห่งต้นโพบายอันลมพัดให้หวั่นไหว ฉันใด ใจของดิฉัน ย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสียแล้ว ฉันนั้น.
[๕๐๔] ดูกรนางปาริกา ท่านผู้นี้ คือ พระเจ้ากาสี พระองค์ทรงยิงสามกุมาร ด้วยลูกศร ที่แม่น้ำมิคสัมมตานที เราทั้งสองอย่าปรารถนาบาปต่อ พระองค์เลย.
[๕๐๕] บุตรสุดสวาทที่รักอันหาได้ยาก ได้เลี้ยงเราทั้งสองผู้ตามืดอยู่ในป่า ไฉน จะไม่ยังจิตให้โกรธในบุคคลผู้ฆ่าบุตรสุดที่รักคนเดียวนั้นได้.
[๕๐๖] บุตรสุดที่รักอันหาได้ด้วยยาก ได้เลี้ยงเราทั้งสองผู้ตามืดอยู่ในป่า บัณฑิต ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้ไม่โกรธในบุคคลผู้ฆ่าบุตรสุดที่รักคน เดียวนั้น.
[๕๐๗] พระคุณเจ้าทั้งสองอย่าคร่ำครวญ เพราะข้าพเจ้ากล่าวว่า สามกุมารข้าพเจ้า ฆ่าเสียแล้ว ให้มากไปเลย ข้าพเจ้าจักยอมทำงานเลี้ยงดูพระคุณเจ้าทั้งสอง ในป่าใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำ หนักแน่น จักยอมทำการงานเลี้ยงดูพระคุณเจ้าทั้งสองในป่าใหญ่ ข้าพเจ้า จักแสวงหาสิ่งของที่เป็นเดนของฝูงเนื้อ และมูลมันผลไม้ในป่า ยอมทำ การงานเลี้ยงพระคุณเจ้าทั้งสองในป่าใหญ่.
[๕๐๘] ดูกรมหาราชเจ้า เหตุนั้นไม่สมควร การทรงทำการงานนั้นไม่สมควร ในอาตมาทั้งสองพระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง อาตมาทั้งสอง ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์.
[๕๐๙] ข้าแต่ท่านผู้เชื้อชาติเนสาท พระคุณเจ้ากล่าวเป็นธรรม พระคุณเจ้าบำเพ็ญ การถ่อมตน ขอพระคุณเจ้าจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอพระคุณเจ้าจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า.
[๕๑๐] ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมาทั้งสองขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นมิ่งขวัญของชาวกาสี อาตมาทั้งสองขอนอบน้อมแด่พระองค์ อาตมา ทั้งสองขอประคองอัญชลีแด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดพาอาตมา ทั้งสองไปให้ถึงที่ที่สามกุมารนอนอยู่เถิด อาตมาทั้งสองจะสัมผัสเท้า ทั้งสอง และดวงหน้าอันงดงามผุดผ่องของเธอและทรมานตนให้ถึงกาล กิริยา.
[๕๑๑] สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ที่ป่าใด ดุจดวงจันทร์ตกลงเหนือแผ่นดิน ป่านั้น เป็นป่าใหญ่ เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ในป่าใด ดุจดวงอาทิตย์ตกลงเหนือแผ่นดิน ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ในป่าใด เปื้อนด้วยฝุ่นละออง ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ สามกุมารถูกฆ่า นอนอยู่ที่ป่าใด ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ พระคุณเจ้า ทั้งสองจงอยู่ในอาศรมนี้เถิด.
[๕๑๒] ถ้าในป่านั้นจะมีพาลมฤคนับด้วยร้อย นับด้วยพันและนับด้วยหมื่นไซร้ อาตมาทั้งสองไม่มีความกลัวในพาลมฤคทั้งหลายในป่าไหนๆ เลย.
[๕๑๓] ในกาลนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤาษีทั้งสองผู้ตามืดไปในป่าใหญ่ ทรงจูง มือฤาษีทั้งสองไปในที่ที่สามกุมารถูกฆ่านั้น.
[๕๑๔] ดาบสทั้งสองเห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนเปื้อนฝุ่นละออง ถูกทิ้งอยู่ ในป่าใหญ่ ดังดวงจันทร์ตกอยู่เหนือแผ่นดิน ดาบสทั้งสองเห็นสามกุมาร ผู้เป็นบุตรนอนเปื้อนฝุ่นละออง ถูกทิ้งอยู่ในป่าใหญ่ ดังดวงอาทิตย์ตก อยู่เหนือแผ่นดิน ดาบสทั้งสองเห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนเปื้อนฝุ่น ละออง ถูกทิ้งอยู่ในป่าใหญ่ ก็คร่ำครวญน่าสงสารนัก ดาบสทั้งสอง เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนเปื้อนฝุ่นละอองอยู่ ยกแขนทั้งสองขึ้น คร่ำครวญว่า ความไม่ควรย่อมเป็นไปในโลกนี้ ดูกรลูกสามะผู้งดงาม น่าดู เจ้ามัวเมามากนักแล ไม่พูดอะไรๆ ในเมื่อกาลล่วงไปแล้วในวัน นี้ ดูกรลูกสามะผู้งดงามน่าดู เจ้าเคลิบเคลิ้มมากนักแล ไม่พูดอะไรๆ ในเมื่อกาลล่วงไปแล้วในวันนี้ ดูกรสามะผู้งดงามน่าดู เจ้าขัดเคืองมาก นักแล ไม่พูดอะไรๆ ในเมื่อกาลล่วงไปแล้วในวันนี้ ดูกรลูกสามะผู้ งดงามน่าดู เจ้าช่างหลับเอาเสียจริงๆ ไม่พูดอะไรๆ ในเมื่อกาลล่วง ไปแล้วในวันนี้ ดูกรลูกสามะผู้งดงามน่าดู เจ้าปราศจากใจเอาเสียจริงๆ ไม่พูดอะไรๆ ในเมื่อกาลล่วงไปแล้วในวัน บัดนี้ใครจักชำระชฎาอัน หม่นหมองเปื้อนฝุ่นละออง ลูกสามะนี้เป็นผู้เลี้ยงดูเราทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว ใครเล่าจักจับไม้กวาดกวาดอาศรมของเราทั้งสอง ลูกสามะนี้เลี้ยงดูเราทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว บัดนี้ใคร เล่าจักจัดน้ำร้อนมาให้เราทั้งสองอาบ ลูกสามะนี้เลี้ยงดูเราทั้งสองผู้ตามืด มากระทำกาลกิริยาเสียแล้ว บัดนี้ใครเล่าจักให้เราบริโภคมูลมันและ ผลไม้ในป่า ลูกสามะนี้เป็นผู้เลี้ยงดูเราทั้งสองผู้ตามืด มากระทำกาล กิริยาเสียแล้ว.
[๕๑๕] มารดาผู้สะอึกสะอื้นด้วยความโศกถึงบุตร ได้เห็นสามะผู้เป็นบุตรนอน เกลือกเปื้อนฝุ่นละอองอยู่ ได้กล่าวสัจจกิริยาว่า ลูกสามะนี้เป็นผู้มี ปกติประพฤติธรรมมาแต่กาลก่อน ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามะ จงหายไป ลูกสามะนี้เป็นผู้มีปกติประพฤติเพียงดังพรหมมาแต่กาลก่อน ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป ลูกสามะนี้เป็นผู้มีปกติ กล่าวคำสัตย์มาแต่กาลก่อน ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามะจง หายไป ลูกสามะนี้เป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของ ลูกสามะจงหายไป ลูกสามะนี้มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญ ในตระกูล ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป ลูกสามะนี้ เป็นที่รักอย่างยิ่งปานชีวิตของเรา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามะ จงหายไป บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะได้ทำแล้ว มีอยู่แก่เราและ บิดาของเธอ ด้วยบุญกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.
[๕๑๖] บิดาผู้คร่ำครวญอยู่ ด้วยความโศกถึงบุตร เห็นสามะผู้บุตรนอนเกลือก เปื้อนฝุ่นละอองอยู่ ได้กล่าวสัจจกิริยาว่า ลูกสามะนี้เป็นผู้มีปกติประ พฤติธรรมมาแต่กาลก่อน ... ด้วย บุญกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูก สามะจงหายไป.
[๕๑๗] นางสุนทรีเทพธิดา หายไปจากภูเขาคันธมาทน์ ได้กล่าวสัจจวาจานี้ ด้วย ความเอ็นดูสามกุมารว่า เราเคยอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน ไม่มีใครอื่น จะเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสามกุมาร ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของสาม กุมารจงหายไป ป่าทั้งหมดที่ภูเขาคันธมาทน์ล้วนแต่เป็นไม้หอม ด้วย สัจจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงหายไป เมื่อดาบสทั้งสองบ่นเพ้อ รำพันน่าสงสารเป็นอันมาก ขอสามกุมารผู้ยังหนุ่มแน่น งามน่าดู จง ลุกขึ้นเร็วพลัน.
[๕๑๘] ข้าพเจ้าผู้มีนามว่าสามะ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุก ขึ้นได้แล้วโดยสวัสดี ขอท่านทั้งหลายอย่าคร่ำครวญนักเลย จงพูดกับ ข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะเถิด.
[๕๑๙] ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จมา ร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่มาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้ ข้าแต่ พระราชา เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง และผลหมาก เม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย ขอได้ทรงเสวยแต่ที่ดีๆ เถิด ข้าแต่มหา ราชเจ้า น้ำเย็นที่ข้าพระองค์นำมาแต่น้ำมิคสัมมตานทีมีอยู่ เชิญพระองค์ ดื่มเถิด ถ้าพระองค์ทรงพระประสงค์.
[๕๒๐] ฉันหลงเอามาก หลงเอาจริงๆ หลงไปทั่วทิศ ฉันได้เห็นสามะผู้กระทำ กาลกิริยา ทำไมท่านจึงเป็นได้อีกหนอ.
[๕๒๑] ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญบุรุษผู้ยังมีชีวิตอยู่ได้เสวยเวทนาอย่าง หนัก มีความดำริในใจเข้าไปใกล้แล้ว ยังเป็นอยู่แท้ๆ ว่าตายแล้ว ข้า แต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญบุรุษผู้ยังมีชีวิตอยู่เสวยเวทนากล้า ถึง ความดับสนิท ยังเป็นอยู่แท้ๆ ว่าตายแล้ว.
[๕๒๒] บุคคลใด เลี้ยงมารดาและบิดาโดยธรรม แม้เทวดาและมนุษย์ย่อมสรร เสริญผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้น บุคคลใดเลี้ยงมารดาและบิดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลก นี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์.
[๕๒๓] ฉันหลงเอามากเหลือเกิน มืดไปทั่วทิศ ดูกรสามะ ฉันขอถึงท่านเป็น สรณะ และขอท่านจงเป็นสรณะของฉัน.
[๕๒๔] ข้าแต่ขัตติยมหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระชนนีและ พระชนกเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้วจักเสด็จสู่ สวรรค์ ข้าแต่ขัตติยมหาราช ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมในพระ โอรสและพระมเหสี ... ในมิตรและอำมาตย์ ... ในพาหนะ ... และพลนิกาย ... ในชาวบ้านและชาวนิคม ... ในชาวแว่นแคว้นและชาวชนบท ... ในสมณะ และพราหมณ์ ... ในฝูงเนื้อและฝูงนกเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรม ในโลกนี้แล้วจักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประ พฤติธรรมเถิด ธรรมอันพระองค์ทรงประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมา ให้ ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด พระอินทร์ เทพ เจ้าพร้อมทั้งพรหม ถึงแล้วซึ่งทิพยสถาน เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรม.

จบ สุวรรณสามชาดกที่ ๓

๔. เนมิราชชาดก พระเจ้าเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี


[๕๒๕] น่าอัศจรรย์จริงหนอ เมื่อใด พระเนมิราชเจ้าผู้เป็นบัณฑิต เป็นพระ ราชาผู้ปราบอริราชศัตรู มีพระประสงค์ด้วยกุศล ทรงให้ทานแก่ชาว วิเทหรัฐทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เมื่อนั้นบุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย ย่อมบังเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่ เกิดพระ ดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลมากหนอ.
[๕๒๖] ท้าวมัฆวาฬเทพกุญชรสหัสสเนตร ทรงทราบพระดำริของพระเจ้าเนมิราช แล้ว ทรงกำจัดความมืดด้วยพระรัศมีปรากฏขึ้น พระเจ้าเนมิราชจอม มนุษย์มีพระโลมชาติชูชัน ได้ตรัสถามท้าววาสวะว่า ท่านเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือ เป็นท้าวสักกปุรินททะ รัศมีของท่านเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ยินมาเลย ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้า ขอ ความเจริญจงมีแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท้าววาสวะทรง ทราบว่า พระเจ้าเนมิราชมีพระโลมชาติชูชันได้ตรัสตอบว่า หม่อมฉัน เป็นท้าวสักกรินทร์เทวราช มาในสำนักของพระองค์ ดูกรพระองค์ผู้เป็น จอมมนุษย์ พระองค์อย่าทรงมีพระโลมชาติชูชัน เชิญตรัสถามปัญหา ตามที่ทรงพระประสงค์เถิด พระเจ้าเนมิราช ทรงได้โอกาสนั้นแล้ว จึง ตรัสถามท้าววาสวะว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งปวงภูต หม่อมฉันขอทูลถาม พระองค์ว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผล มาก ท้าววาสวะอันพระเจ้าเนมิราชผู้ประเสริฐกว่านรชนตรัสถามแล้ว ทรงทราบวิบากแห่งพรหมจรรย์ จึงได้ตรัสบอกแก่พระเจ้าเนมิราชผู้ไม่ ทรงทราบว่า บุคคลย่อมบังเกิดในขัตติยสกุลเพราะพรหมจรรย์อย่างเลว บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาเพราะพรหมจรรย์ปานกลาง บุคคลย่อม บริสุทธิ์เพราะพรหมจรรย์อย่างสูงสุด หมู่พรหมเหล่านี้อันใครๆ จะ พึงได้ง่ายๆ ด้วยประกอบการวิงวอนก็หาไม่ บุคคลต้องเป็นผู้ไม่มีเรือน บำเพ็ญตบธรรม จึงจะบังเกิดในหมู่พรหม.
[๕๒๗] พระราชาเหล่านี้ คือ พระเจ้าทุทีปราช พระเจ้าสาครราช พระเจ้า เสลราช พระเจ้ามุจลินทราช พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนรราช พระเจ้าอัตถกราช พระเจ้าอัสสกราช พระเจ้าปุถุทธนราช และกษัตริย์ เหล่าอื่นทั้งพราหมณ์เป็นอันมาก บูชายัญมากมายแล้ว ไม่ล่วงพ้นความ ละโลกนี้ไป.
[๕๒๘] ชนเหล่าใดไม่มีเพื่อนสอง อยู่คนเดียว ย่อมไม่รื่นรมย์ ย่อมไม่ได้ปีติ อันเกิดแต่วิเวก ชนเหล่านั้นถึงจะมีโภคสมบัติเสมอด้วยทิพสมบัติของ พระอินทร์ ถึงกระนั้นก็ชื่อว่าเป็นคนเข็ญใจเพราะความสุขที่ต้องอาศัย ผู้อื่น.
[๕๒๙] ฤาษี ๗ ตนเหล่านั้น คือ ยามหนุฤาษี โสมยาคฤาษี มโนชฤาษี สมุททฤาษี มาฆฤาษี ภรตฤาษี และกาลปุรักขิตฤาษี และฤาษีอีก ๔ ตน คือ อังคีรสฤาษี กัสสปฤาษี กีสวัจฉฤาษี อกันติฤาษี ผู้ไม่มีเรือน บำเพ็ญตบะ ล่วงพ้นกามาวจรภพได้แล้ว.
[๕๓๐] แม่น้ำชื่อสีทามีอยู่ทางด้านทิศอุดร เป็นแม่น้ำลึก ข้ามได้ยาก กัญจน บรรพตมีสีดังไฟไม้อ้อ โชติช่วงอยู่ในกาลทุกเมื่อ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้นมีต้น กฤษณางอกงาม มีภูเขาอื่นอีกซึ่งมีป่าไม้งอกงาม มีฤาษีเก่าแก่ประมาณ หมื่นตน อาศัยอยู่ที่ภูเขาภาคนั้น หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐสุดด้วยทาน สัญญมะและทมะ หม่อมฉันอุปัฏฐากดาบสเหล่านั้นผู้บำเพ็ญวัตรอันไม่มี วัตรอื่นยิ่งกว่า ละหมู่คณะไปอยู่ผู้เดียว มีจิตมั่นคง หม่อมฉันจัก นอบน้อมนรชนผู้ปฏิบัติตรง จะมีชาติก็ตาม ไม่มีชาติก็ตาม ตลอดกาล เป็นนิตย์ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฉะนั้น วรรณะทั้งปวงผู้ตั้งอยู่ในอธรรม ย่อมตกนรกเบื้องต่ำ วรรณะทั้งปวง ย่อมหมดจด เพราะประพฤติธรรมอันสูงสุด.
[๕๓๑] ท้าวมฆวาฬสุชัมบดีเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงพร่ำสอนพระเจ้า เนมิราชผู้ครองวิเทหรัฐแล้ว ได้เสด็จกลับไปในหมู่สวรรค์.
[๕๓๒] ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายบรรดาที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้ ประมาณเท่าใด จงตั้งใจฟังคุณทั้งสูงทั้งต่ำเป็นอันมากนี้ ขอมนุษย์ทั้ง หลายผู้ตั้งอยู่ในธรรม เกิดความดำริเหมือนอย่างพระเจ้าเนมิราชผู้เป็น บัณฑิต มีพระประสงค์ด้วยกุศล เป็นพระราชาผู้ปราบอริราชศัตรู ทรง ให้ทานแก่ชาววิเทหรัฐทั้งปวง เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่ เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหน มีผลมากหนอ ฉะนั้น เถิด.
[๕๓๓] เกิดพิศวงขนพองซึ่งไม่เคยมีมามีขึ้นในโลกแล้วหนอ รถทิพย์ปรากฏ แล้วแก่พระเจ้าวิเทหรัฐผู้เรืองพระยศ.
[๕๓๔] เทพบุตรมาตลีเทพสารถีผู้มีฤทธิ์มาก เชื้อเชิญเสด็จพระเจ้าวิเทหรัฐ ผู้ ทรงสงเคราะห์ชาวเมืองมิถิลาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ ในทิศ ขอเชิญเสด็จมาขึ้นรถนี้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ ใคร่จะเห็นพระองค์ ก็เทพเจ้าเหล่านั้นระลึกถึงพระองค์ ประชุมกันอยู่ ณ สุธรรมสภา.
[๕๓๕] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหรัฐผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมืองมิถิลาเป็นประมุข รีบเสด็จลุกจากอาสน์ขึ้นสู่รถ มาตลีเทพสารถีได้ทูลถามพระเจ้าเนมิราช ผู้เสด็จขึ้นรถทิพย์แล้วว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ในทิศ ข้าพระองค์จะนำเสด็จพระองค์ไปโดยทางไหน คือ โดยทางที่บุคคลไป แล้วสามารถเห็นสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป หรือ โดยทางบุคคลไปแล้ว สามารถเห็นสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรม เป็นบุญ พระเจ้าข้า.
[๕๓๖] ดูกรมาตลีเทพสารถี ขอให้ท่านนำรถเราไปโดยทางทั้งสอง คือ โดยทาง ที่บุคคลไปแล้ว สามารถเห็นสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมเป็นบาป และโดยทางที่บุคคลไปแล้ว สามารถเห็นสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มี กรรมเป็นบุญ.
[๕๓๗] ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐสุด ผู้เป็นใหญ่ในทิศ ข้าพระองค์จะนำเสด็จ พระองค์ไปโดยทางไหนก่อน คือ โดยทางที่บุคคลไปแล้ว สามารถเห็น สถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมเป็นบาป หรือโดยทางที่บุคคลไปแล้ว สามารถเห็นสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมเป็นบุญ พระเจ้าข้า.
[๕๓๘] เราจะดูนรกอันเป็นที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป และสถาน ที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันหยาบช้า ทั้งคติของเหล่านรชนผู้ทุศีล ก่อน.
[๕๓๙] มาตลีเทพสารถีได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว จึงแสดงแม่น้ำเวตรณี ที่ข้ามได้ยาก ประกอบด้วยน้ำแสบเผ็ดร้อนเดือดพล่าน เปรียบดัง เปลวเพลิง.
[๕๔๐] พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ผู้ตกอยู่ในแม่น้ำเวตรณีที่ข้ามได้ ยาก จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัว ย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นสัตว์นรกผู้ตกอยู่ในแม่น้ำเวตรณี เราขอ ถามท่าน สัตว์เหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงตกลงอยู่ในแม่น้ำ เวตรณี.
[๕๔๑] มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราชตรัสถามแล้ว ทูลพยากรณ์ตามที่ทราบ วิบากของเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมอันเป็นบาป แก่พระเจ้าเนมิราชผู้ไม่ทรง ทราบว่า ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกำลัง มีกรรม อันเป็นบาป ย่อมเบียดเบียนด่าว่าผู้อื่นซึ่งหากำลังมิได้ ชนเหล่านั้นมี กรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรม จึงตกลงในแม่น้ำเวตรณี พระเจ้าข้า.
[๕๔๒] สุนัขแดง สุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกา อันน่าหวาดเสียว ย่อมรุมกัดจิก กินสัตว์นรก ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้ เห็นฝูงสัตว์รุมทึ้ง จิก กัด กิน สัตว์นรก เราขอถามท่าน สัตว์ เหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงถูกฝูงการุมจิกกิน.
[๕๔๓] มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราชตรัสถามแล้วทูลพยากรณ์ วิบากของ เหล่าสัตว์ผู้มีกรรมอันเป็นบาปตามที่ได้ทราบ แก่พระเจ้าเนมิราชผู้ไม่ ทรงทราบว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น มี ธรรมอันลามก มักบริภาษเบียดเบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ ชนเหล่านั้น ผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงถูกฝูงการุมจิกกิน พระเจ้าข้า.
[๕๔๔] สัตว์นรกเหล่านี้มีร่างกายลุกโพลง เดินเหยียบแผ่นดินเหล็ก และนาย นิรยบาลโบยด้วยท่อนเหล็กอันร้อน ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อม เกิดแก่เรา เพราะได้เห็นสัตว์นรกเหล่านี้ถูกโบยด้วยท่อนเหล็ก เราขอ ถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงถูกเบียดเบียน ด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่.
[๕๔๕] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก เบียดเบียนด่าว่าชายหญิงผู้มีธรรมเป็นกุศล ชนเหล่านั้น มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็ก นอนอยู่ พระเจ้าข้า.
[๕๔๖] สัตว์นรกเหล่าอื่นถูกไฟไหม้ทั่วสรรพางค์กายร้องไห้ครวญครางอยู่ในหลุม ถ่านเพลิง ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้ เห็นสัตว์นรกถูกไฟไหม้ทั่วสรรพางค์กาย เราขอถามท่าน สัตว์นรก เหล่านี้ได้กระทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงร้องครวญครางอยู่ในหลุมถ่าน เพลิง.
[๕๔๗] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ชนเหล่าใดแต่งพยานเท็จ ก่อให้เกิดหนี้เพราะหลอกลวงเอาทรัพย์ของ ประชุมชน ชนเหล่านั้นครั้นก่อให้เกิดหนี้แก่ประชาชนแล้ว เป็นผู้มี กรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องร้องครวญครางอยู่ในหลุมถ่าน เพลิง พระเจ้าข้า.
[๕๔๘] หม้อเหล็กใหญ่อันไฟติดทั่ว ลุกรุ่งเรืองโชติช่วง ย่อมปรากฏ ดูกรมาตลี เทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นหม้อเหล็กใหญ่อัน ไฟติดทั่ว ลุกรุ่งเรืองโชติช่วง เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำ บาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงตกลงในโลหกุมภี.
[๕๔๙] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ชนเหล่าใดมีธรรมอันลามก เบียด เบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ผู้มีศีล ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า กระทำ บาปกรรมแล้วจึงตกลงในโลหกุมภี พระเจ้าข้า.
[๕๕๐] นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกด้วยพรวนเหล็กอันลุกโพลง แล้วตัดศีรษะ โยนลงไปในน้ำร้อน ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์ นรกเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรหนอ จึงถูกตัดศีรษะนอนอยู่.
[๕๕๑] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก จับนกมาฆ่าเลี้ยง ชีพ ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า ครั้นฆ่านกเลี้ยงชีพ กระทำกรรม แล้ว จึงต้องถูกตัดศีรษะนอนอยู่ พระเจ้าข้า.
[๕๕๒] แม่น้ำนี้มีน้ำมาก ตลิ่งไม่สูง มีท่าน้ำราบเรียบไหลอยู่เสมอ สัตว์นรก ผู้เร่าร้อนเพราะความร้อนแห่งไฟ จะดื่มน้ำ แต่เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นจะ ดื่ม น้ำย่อมกลายเป็นแกลบ ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิด แก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์เหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์ นรกเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ เมื่อจะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็น แกลบไป.
[๕๕๓] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่าใด มีกรรมอันไม่ บริสุทธิ์ เอาข้าวลีบแกลบ หรือทรายเป็นต้น ปนข้าวเปลือกขายให้แก่ ผู้ซื้อ เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้น มีความร้อนเพราะความร้อนแห่งไฟ กระ หายน้ำ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบไป พระเจ้าข้า.
[๕๕๔] นายนิรยบาลเอาลูกศร หอกและโตมร แทงข้างทั้งสองของสัตว์นรก ผู้คร่ำครวญอยู่ ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะ ได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงถูกแทงด้วยหอกนอนอยู่.
[๕๕๕] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกรรมไม่ดี ลักทรัพย์ของผู้อื่น คือ ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง แพะ แกะ ปศุสัตว์ และกระบือ มาเลี้ยงชีวิต ชนเหล่านั้นผู้มีกรรม หยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกแทงด้วยหอกนอนอยู่ พระเจ้าข้า.
[๕๕๖] เพราะเหตุไร สัตว์นรกเหล่านี้จึงถูกนายนิรยบาลผูกคอไว้ สัตว์นรกอีก พวกหนึ่งถูกนายนิรยบาลตัดเป็นท่อนๆ นอนอยู่ ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรก เหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้กระทำกรรมอะไรไว้หนอ จึง ถูกตัดเป็นท่อนๆ นอนอยู่.
[๕๕๗] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่านี้ เคยเป็นคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร ฆ่าปลา ครั้นฆ่าปศุสัตว์ กระบือ แพะ และแกะแล้ว เอาวางไว้ ที่เขียง ขายเลี้ยงชีพเป็นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วต้อง ตัดเป็นท่อนๆ นอนอยู่ พระเจ้าข้า.
[๕๕๘] ห้วงน้ำเต็มไปด้วยมูตและคูถ ไม่สะอาด เป็นน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป สัตว์นรกอันความหิวครอบงำแล้ว ย่อมกินมูตและคูถนั้น ดูกรมาตลี เทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของ สัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไร ไว้หนอ จึงมีมูตและคูถเป็นอาหาร.
[๕๕๙] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่าใด เคยก่อทุกข์เบียด เบียนมิตรสหายเป็นต้น ตั้งมั่นอยู่ในความเบียดเบียนผู้อื่นเป็นนิตย์ สัตว์นรกเหล่านั้น มีกรรมอันหยาบช้า เป็นคนพาลประทุษร้ายมิตร กระทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องมากินมูตและคูถ พระเจ้าข้า.
[๕๖๐] ห้วงน้ำนี้เต็มไปด้วยเลือดและหนอง ไม่สะอาดเป็นน้ำเน่า มีกลิ่น เหม็นฟุ้งไป สัตว์นรกถูกความร้อนเผาแล้ว ย่อมดื่มเลือดและหนองกิน ดูกรมาตลีเทพสารภี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความ เป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์เหล่านี้ได้ทำบาปกรรม อะไรไว้หนอ จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร.
[๕๖๑] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ฆ่ามารดาบิดาหรือพระอรหันต์ ชื่อว่าถึงปาราชิกในเพศคฤหัสถ์ ชน เหล่านั้น ผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงมีเลือดและ หนองเป็นอาหาร พระเจ้าข้า.
[๕๖๒] ท่านจงดูลิ้นของสัตว์นรก อันนายนิรยบาลเกี่ยวด้วยเบ็ด และจงดูหนัง ของสัตว์นรกที่ถูกนายนิรยบาลลอกด้วยขอเหล็ก สัตว์นรกเหล่านี้ ย่อม ดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกโยนขึ้นบนบก ร้องไห้น้ำลายไหลเพราะเหตุอะไร ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความ เป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาป กรรมอะไรไว้หนอ จึงกลืนเบ็ดนอนอยู่.
[๕๖๓] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่านั้น เคยเป็นมนุษย์อยู่ ในตำแหน่งตีราคาสิ่งของ ยังราคาซื้อให้เสื่อมด้วยราคาขาย ทำการโกง ด้วยการโกงเหตุเพราะความโลภทรัพย์ ปกปิดความโกงไว้ด้วยวาจาอัน อ่อนหวาน เปรียบเหมือนคนเข้าใกล้ปลาเพื่อจะฆ่า เอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ด ปิดเบ็ดไว้ ฉะนั้น บุคคลจะช่วยป้องกันคนทำการโกง ผู้อันกรรมของตน หุ้มห่อไว้ ไม่มีเลย สัตว์นรกเหล่านั้นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาป กรรมแล้วจึงต้องกลืนเบ็ดนอนอยู่ พระเจ้าข้า.
[๕๖๔] หญิงนรกเหล่านี้มีร่างกายอันแตกทั่ว น่าเกลียด แมลงวันตอมเป็นกลุ่ม เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง มีศีรษะขาด เหมือนฝูงโคศีรษะขาด อยู่บนที่ฆ่า ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ หญิงนรกเหล่านั้นจมอยู่ ในภูมิภาคเพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ ลุกโพลงกลิ้งมาบด หญิงนรกเหล่านั้นให้แหลกละเอียด ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อม เกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของหญิงนรกเหล่านั้น เราขอ ถามท่าน หญิงเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงต้องมาจมอยู่ใน ภูมิภาคเพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟลุกโพลงตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ บดหญิงนรก เหล่านั้นให้แหลกละเอียด.
[๕๖๕] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า หญิงเหล่านั้นเป็นกุลธิดา เมื่ออยู่ใน มนุษยโลกมีการงานไม่บริสุทธิ์ ได้ประพฤติไม่น่ายินดี เป็นหญิงนักเลง ละสามีของตนเสีย คบหาชายอื่นเพราะเหตุแห่งความยินดีและการเล่น หญิงเหล่านั้นเมื่อยังอยู่ในโลกนี้ ยังจิตของตนให้รื่นรมย์อยู่กับชายอื่น จึงถูกภูเขาไฟอันลุกโพลงตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ บดให้แหลกละเอียด พระเจ้าข้า.
[๕๖๖] เพราะเหตุไร พวกนายนิรยบาลจึงจับสัตว์นรกอีกพวกหนึ่งที่เท้าเอาหัวลง โยนลงไปในนรก ดูกรมาตลีเทพสารภี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์ นรกเหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงถูกนายนิรยบาลจับโยนไป ในนรก
[๕๖๗] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษย โลก เป็นผู้กรรมไม่ดี ลวงภรรยาของชายอื่น ชื่อว่าเป็นผู้ลักภัณฑะอัน สูงสุด จึงถูกนายนิรยบาลจับโยนลงในนรก ต้องเสวยทุกขเวทนา ใน นรกนั้นสิ้นปีเป็นอันมาก บุคคลผู้ที่จะช่วยป้องกันบุคคลผู้มักกระทำบาป กรรม ผู้อันกรรมของตนหุ้มห่อไว้ ไม่มีเลย สัตว์นรกเหล่านั้น มี กรรมอันหยาบช้า ทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกนายนิรยบาลจับโยนลงใน นรก พระเจ้าข้า.
[๕๖๘] สัตว์นรกต่างๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่เหล่านี้ ประกอบเหตุการณ์ มีรูปร่างพิลึก ปรากฏอยู่ในนรก ดูกรมาตลีเทพสารถี ความกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านี้ เราขอถามท่าน สัตว์นรก เหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนอ จึงต้องได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า แสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน.
[๕๖๙] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษย โลกเป็นผู้มีทิฏฐิอันลามก หลงทำกรรมด้วยความคุ้นเคย และชักชวนผู้ อื่นในทิฏฐิเช่นนั้น ทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า แสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน พระเจ้าข้า.
[๕๗๐] ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้มีกรรม อันหยาบช้า และทรงทราบคติของเหล่าสัตว์ผู้ทุศีล เพราะได้ทอดพระ เนตรเห็นนิรยบาล อันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกผู้มีบาปกรรมแล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง บัดนี้ ขอเชิญขึ้นไปในสำนักของ ท้าวสักกเทวราชเถิด พระเจ้าข้า.
[๕๗๑] วิมาน ๕ ยอดนี้ปรากฏอยู่ นางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก ประดับอาภรณ์ ทุกอย่างมีดอกไม้เป็นต้น นั่งอยู่ท่ามกลางที่ไสยาสน์ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ สถิตอยู่ในวิมานนั้น ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของเทพธิดาผู้อยู่ในวิมานนี้ เราขอถามท่าน นางเทพธิดานี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงได้ถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๗๒] มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราชตรัสถามแล้ว ทูลพยากรณ์วิบากของ เทวดาทั้งหลาย ผู้มีกรรมอันเป็นกุศลตามที่ได้ทราบแก่พระเจ้าเนมิราชผู้ ไม่ทรงทราบว่า ก็นางเทพธิดาที่พระองค์ทรงหมายถึงนั้น ชื่อนางพิรณี เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เกิดในครรภ์ของนางทาสีในเรือนของพราหมณ์ นางรู้ซึ้งแขกคือภิกษุผู้มีภัตกาลอันถึงแล้ว นิมนต์ให้นั่งในเรือนของ พราหมณ์ยินดีต่อภิกษุนั้นเป็นนิตย์ ดังมารดายินดีต่อบุตรผู้จากไปนาน กลับมาถึง ฉะนั้น นางอังคาสภิกษุนั้นโดยเคารพ ได้ถวายสิ่งของ ของตนเล็กน้อย เป็นผู้สำรวมและจำแนกทานจึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๗๓] วิมานทั้ง ๗ อันบุญญานุภาพตกแต่ง ส่องสว่างโชติช่วง เทพบุตรผู้ หนึ่งมีฤทธิ์มาก ประดับประดาด้วยสรรพาภรณ์อันหมู่เทพธิดาแวดล้อม ผลัดเปลี่ยนเวียนวนอยู่โดยรอบในวิมานทั้ง ๗ นั้น ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็น ความเป็นไปของเทพบุตรผู้ อยู่ในวิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรผู้นี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๗๔] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรผู้นี้เป็นคฤหบดี ชื่อโสณ ทินนะ เป็นทานบดี ให้สร้างวิหาร ๗ หลังอุทิศต่อบรรพชิต ได้อุปฐาก ภิกษุผู้อยู่ในวิหาร ๗ หลังนั้นโดยเคารพ ได้บริจาคผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร เสนาสนะ เครื่องประทีป ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่ง ปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและ บริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๗๕] วิมานอันบุญญานุภาพตบแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยยอด บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการ ฟ้อนรำขับร้อง สว่างไสวออกจากแก้วผลึก ดูกรมาตลีเทพสารถี ความ ปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปแห่งวิมานนี้ เราขอ ถามท่าน นางอัปสรเหล่านี้ ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์ บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๗๖] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า นางอัปสรเหล่านั้น เมื่อยังอยู่ในมนุษย โลกนี้เป็นอุบาสิกาผู้มีศีล ยินดีในทาน มีจิตเลื่อมใสเป็นนิตย์ ตั้งอยู่ ในสัจจะ ไม่ประมาทในการรักษาอุโบสถ เป็นผู้สำรวมและจำแนกแจก ทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๗๗] วิมานอันบุญญานุภาพตบแต่งแล้วนี้ ประกอบด้วยภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วนๆ สว่างไสวออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงทิพย์ คือ เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคม ดนตรีย่อมเปล่งออกน่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้สึกว่าได้เห็นหรือได้ ฟังเสียงอันเป็นอย่างนี้ อันไพเราะอย่างนี้ ในกาลก่อนเลย ดูกรมาตลี เทพสารถี ความปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปใน วิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึง มาถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๗๘] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษย โลก เป็นอุบาสกผู้มีศีล ได้ก่อสร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และ สะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรงด้วยจิต อันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็น ผู้สำรวมและบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๗๙] วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่นางอัปสรผู้ ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยยอด บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการ ฟ้อนรำขับร้อง สว่างไสวออกจากฝาแก้วผลึก มีแม่น้ำอันประกอบไป ด้วยไม้ดอกนานาชนิดล้อมรอบวิมานนั้น ดูกรมาตลีเทพสารถี ความ ปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถาม ท่าน เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ใน วิมาน.
[๕๘๐] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมือง มิถิลา เป็นทานบดีได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำและสะพาน ได้ปฏิบัติ ต่อพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษา อุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและบริจาค ทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๘๑] วิมานอันบุญญานุภาพตบแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่นางเทพ อัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยยอด บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วย การฟ้อนรำขับร้อง สว่างไสวออกจากฝาแก้วผลึก มีแม่น้ำอันประกอบ ด้วยไม้ดอกนานาชนิด ล้อมรอบวิมานนั้น และมีไม้เกตุ ไม้มะขวิด ไม้ มะม่วง ไม้สาละ ไม้ชมพู่ ไม้มะพลับ และไม้มะหาดเป็นอันมาก มี ผลเป็นนิตย์ ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะ ได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรนี้ได้ทำกรรม ดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมานนี้.
[๕๘๒] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมือง มิถิลา เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนา สนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้ รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวม และบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๘๓] วิมานอันบุญญานุภาพตบแต่งดีแล้วนี้ ประกอบด้วยภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ จัดสรรไว้เป็นส่วนๆ สว่างไสวออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ เสียงทิพย์ คือ เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน การฟ้อนรำขับร้อง และเสียงประโคมดนตรี ย่อมเปล่งออกน่าฟัง เป็นที่รื่นรมย์ใจ เราไม่รู้สึกว่าได้เห็นหรือได้ฟัง เสียงอันเป็นอย่างนี้ อันไพเราะอย่างนี้ ในกาลก่อนเลย ดูกรมาตลีเทพ สารถี ความปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรเหล่านี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์ บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๘๔] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมือง พาราณสี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ให้ท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่ง ปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวมและ บริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๘๕] วิมานอันบุญญานุภาพตบแต่งดีแล้วนี้ รุ่งเรืองสุกใส ดุจอาทิตย์อุทัย ดวงใหญ่สีแดง ฉะนั้น ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจย่อมเกิดแก่ เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรนี้ได้ ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมาน.
[๕๘๖] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในเมือง สาวัตถี เป็นทานบดี ได้สร้างอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ผู้เยือกเย็นโดยเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย ในท่านผู้ปฏิบัติซื่อตรง ด้วยจิตอันเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๘ แห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรในศีล เป็นผู้สำรวม และบริจาคทานเป็นนิตย์ จึงมาบันเทิงในวิมาน พระเจ้าข้า.
[๕๘๗] วิมานทองเป็นอันมากนี้ อันบุญญานุภาพตบแต่งดีแล้ว ลอยอยู่ในนภากาศ รุ่งเรืองสว่างไสว ดังสายฟ้าในระหว่างก้อนเมฆ ฉะนั้น เทพบุตรผู้มีฤทธิ์ มาก ประดับประดาด้วยสรรพาภรณ์ อันหมู่เทพอัปสรแวดล้อม ผลัด เปลี่ยนเวียนอยู่ในวิมานเหล่านั้นโดยรอบ ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้ม ใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถามท่าน เทพบุตรเหล่านี้ ได้ทำกรรมดีอะไรไว้หนอ จึงมาถึงสวรรค์บันเทิงอยู่ใน วิมาน.
[๕๘๘] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า เทพบุตรเหล่านี้เป็นสาวกของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า มีศรัทธาอันตั้งมั่น เมื่อพระสัทธรรมอันพระศาสดา ทรงประกาศดีแล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ข้าแต่พระ ราชา เชิญพระองค์ทอดพระเนตรสถานที่สถิตของเทพบุตรเหล่านั้น.
[๕๘๙] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบสถานที่อยู่ของสัตว์ ผู้มีกรรม อันเป็นบาป และได้ทรงทราบสถานที่สถิตของเหล่าเทพเจ้าผู้มีกรรมงาม แล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เชิญพระองค์เสด็จขึ้นไปใน สำนักของท้าวสักกเทวราช ณ บัดนี้เถิด พระเจ้าข้า.
[๕๙๐] พระมหาราชาประทับอยู่บนทิพยาน อันเทียมด้วยม้าสินธพประมาณ ๑,๐๐๐ เสด็จไปอยู่ ได้ทอดพระเนตรเห็นภูเขาหลายเทือกในระหว่างมหาสมุทร สีทันดร ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า ภูเขาเหล่านี้ชื่ออะไร.
[๕๙๑] ภูเขาเหล่านี้ ชื่อภูเขาสุทัศนะ ภูเขากรวิก ภูเขาอิสินธร ภูเขายุคันธร ภูเขาเนมินทร ภูเขาวินตกะ และภูเขาอัสสกรรณ สูงกว่ากันขึ้นไปเป็น ลำดับๆ มีมหาสมุทรหนึ่ง ชื่อสีทันดร อยู่ในระหว่างภูเขาทั้ง ๗ นั้น ภูเขาเหล่านี้เป็นทิพสถานของท้าวจาตุมหาราช ข้าแต่พระราชา เชิญ พระองค์ทอดพระเนตรภูเขาเหล่านั้น พระเจ้าข้า.
[๕๙๒] ประตูมีรูปต่างๆ รุ่งเรือง วิจิตรด้วยรูปต่างๆ เช่น รูปพระอินทร์ แวด ล้อมดีแล้ว ปรากฏเหมือนป่าอันเสือโคร่งทั้งหลายรักษาดีแล้ว ดูกร มาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจย่อมเกิดแก่เรา เพราะได้เห็นประตูนี้ เราขอถามท่าน ประตูนี้เขาเรียกชื่อว่าอะไร เป็นประตูน่ารื่นรมย์ใจ ปรากฏแต่ไกลเทียว.
[๕๙๓] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า ประตูนี้เขาเรียกชื่อว่าจิตรกูฏ เป็นที่ เสด็จเข้าออกแห่งท้าวสักกรินทรเทวราช ก็ประตูนี้เป็นประตูแห่งเทพนคร ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งเขาสิเนรุราชอันงามน่าดู ปรากฏอยู่ มีรูปต่างๆ งาม วิจิตรด้วยรูป เช่น รูปพระอินทร์ แวดล้อมดีแล้ว ปรากฏเหมือนป่า อันเสือโคร่งทั้งหลายรักษาดีแล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปทางประตูนี้ เชิญเสด็จเหยียบภูมิภาคอัน ราบรื่นเถิด พระเจ้าข้า.
[๕๙๔] พระมหาราชาประทับอยู่บนทิพยาน อันเทียมด้วยม้าสินธพประมาณ ๑,๐๐๐ เสด็จไปอยู่ ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวสภาวิมาน อันบุญญานุภาพตบแต่ง ดีแล้วนี้ สว่างไสวออกจากฝาแก้วไพฑูรย์ ดังอากาศส่องแสงเขียวสด ปรากฏในสรทกาล ฉะนั้น ดูกรมาตลีเทพสารถี ความปลื้มใจย่อมเกิด แก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปในวิมานนี้ เราขอถามท่าน วิมานนี้ เขาเรียกชื่อว่าอะไร.
[๕๙๕] มาตลีเทพสารถี ... ผู้ไม่ทรงทราบว่า วิมานนี้เป็นเทวสภา เขาเรียกชื่อ ปรากฏว่าสุธรรมา งามวิจิตรรุ่งเรืองด้วยแก้วไพฑูรย์ อันบุญญานุภาพ ตบแต่งดีแล้ว มีเสาทั้งหลาย ๘ เหลี่ยม อันบุญกรรมกระทำดีแล้ว ล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ทุกๆ เสา รองรับไว้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์ ทั้งปวงแวดล้อมท้าวสักกรินทรเทวราช ประชุมคิดความเจริญของเทวดา และมนุษย์กันอยู่ในวิมานนั้น ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณใหญ่ ขอเชิญ พระองค์เสด็จเข้าไปยังทิพสถาน อันเป็นที่อนุโมทนากันและกันของ เทวดาทั้งหลาย โดยทางนี้พระเจ้าข้า.
[๕๙๖] เทพเจ้าทั้งหลายเห็นพระเจ้าเนมิราชนั้นเสด็จมาถึง ก็พากันยินดีต้อนรับว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จมาร้าย ขอเชิญประทับนั่งในที่ใกล้ท้าวสักกรินทรเทวราช ณ บัดนี้เถิด ท้าวสักกรินทรเทวราชทรงยินดีต้อนรับพระองค์ ผู้เป็น พระราชาแห่งชาววิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวกรุงมิถิลา ท้าววาสวะทรง เชื้อเชิญด้วยทิพกามารมณ์ และอาสนะว่า ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่ เป็นความดีแล้ว ที่พระองค์เสด็จมาถึงทิพสถานอันเป็นที่อยู่ ของเทพยดาทั้งหลาย ผู้ยังสิ่งที่ตนประสงค์ให้เป็นไปตามอำนาจ ขอเชิญ พระองค์ประทับอยู่ในหมู่เทพเจ้า ผู้ประกอบด้วยความสำเร็จแห่งทิพ กามารมณ์ทั้งมวล เชิญพระองค์เสวยทิพกามารมณ์อยู่ในหมู่เทพเจ้า ชาวดาวดึงส์เถิด พระเจ้าข้า.
[๕๙๗] สิ่งใดที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นเปรียบเหมือนยวดยาน หรือทรัพย์ที่ ยืมเขามา ฉะนั้น หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ่งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ผู้อื่นให้ บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันได้ทำเอง ย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตามหม่อมฉันไป หม่อมฉันจักกลับไปทำกุศลให้มากในหมู่มนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน การ ประพฤติสม่ำเสมอ ความสำรวม และการฝึกอินทรีย์ (เพราะ) บุคคล ทำบุญแล้ว ย่อมได้รับความสุข และย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง.
[๕๙๘] ท่านมาตลีเทพสารถี ได้แสดงสถานที่อยู่ของทวยเทพผู้มีกรรมอันงาม และสถานที่อยู่ของสัตว์นรกผู้มีกรรมอันลามกแก่เรา ชื่อว่า เป็นผู้มี อุปการะมากแก่เรา.
[๕๙๙] พระเจ้าเนมิราชพระราชาของชนชาววิเทหรัฐ ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมือง มิถิลา ครั้นตรัสพระคาถานี้ว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของเราแล้ว ย่อมนำความหนุ่มไป เทวทูตปรากฏแล้ว สมัยนี้เป็นกาลสมควรที่เรา จะบวชดังนี้แล้ว ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก ทรงเข้าถึงความเป็นผู้สำรวม ในศีล.

จบ เนมิราชชาดกที่ ๔

5 มโหสถชาดก พระมโหสถบัณฑิตทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี


[๖๐๐] ดูกรพ่อมโหสถ พระเจ้าพรหมทัตต์ผู้ครองกรุงปัญจาละ เสด็จยาตราทัพมา พร้อมด้วยกองทัพทุกหมู่เหล่า กองทัพของพระเจ้าปัญจาลราชนั้นพึง ประมาณไม่ได้ มีกองช่างโยธา กองราบ ล้วนแต่ฉลาดในสงครามทั้งปวง สามารถจะนำข้าศึกมาได้ มีเสียงอื้ออึง ยังกันและกันให้รู้ด้วยเสียงกลอง และเสียงสังข์ มีวิทยาทางโลหธาตุ มีเครื่องประดับครบครัน ธงทิว สลอนเกลื่อนกล่นด้วยช้างประมาณมิได้ สมบูรณ์ด้วยคนมีศิลป์ กองทัพ นั้นตั้งมั่นอยู่ด้วยทหารผู้แกล้วกล้า กล่าวกันว่าในกองทัพนี้ มีราชบุรุษ ๑๐ นาย เป็นผู้ฉลาด มีปัญญากว้างขวาง มีการประชุมปรึกษากันในที่ลับ พระชนนีของพระเจ้าปัญจาลราชเป็นที่ ๑๑ ย่อมทรงสั่งสอนชาวปัญจาล นครที่นั้น ในชนเหล่านี้ กษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนครผู้เรืองยศ ตามเสด็จ พระเจ้าปัญจาลราช ถูกชิงแว่นแคว้น กลัวภัยจึงตกอยู่ในอำนาจของ ชาวปัญจาลนคร เป็นผู้สามารถทำตามที่พระราชารับสั่ง ไม่มีความปรารถนา ก็จำต้องกล่าวคำเป็นที่รัก ต้องตามเสด็จพระเจ้าปัญจาลราช เป็นผู้มีอำนาจ มาก่อน ไม่ปรารถนาก็ต้องอยู่ในอำนาจของพระเจ้าปัญจาลราช มิถิลานคร อันแวดล้อมด้วยกองทัพนั้น เป็นสามชั้น ราชธานีของชาววิเทหรัฐ ถูกขุดเป็นคูโดยรอบ ดูกรพ่อมโหสถ กองทัพที่แวดล้อมโดยรอบ มิถิลานครนั้น ปรากฏเหมือนดาวบนท้องฟ้า พ่อจงรู้ว่า จักมีความพ้น ได้อย่างไร.
[๖๐๑] ขอเดชะ ขอเชิญพระองค์ทรงเหยียดพระบาทตามพระสำราญ เชิญเสวย และรื่นรมย์อยู่ในกามสมบัติเถิด พระเจ้าพรหมทัตต์จะต้องละกองทัพ ชาวปัญจาลนครเสด็จหนีไป พระเจ้าข้า.
[๖๐๒] พระราชามีพระราชประสงค์จะทรงทำสัมพันธมิตรกับพระองค์ จะพระ ราชทานรัตนะทั้งหลายแก่พระองค์ตั้งแต่นี้ไป ราชทูตทั้งหลายผู้มีวาจา ไพเราะ กล่าวคำที่น่ารัก จงคุมเครื่องบรรณาการแต่ปัญจาลนครมายัง กรุงมิถิลานคร จงกล่าววาจาอันอ่อนหวาน เป็นวาจาที่น่ายินดี ปัญจาล นครกับวิเทหรัฐทั้งสองนั้น จงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
[๖๐๓] ดูกรอาจารย์เกวัฏ ท่านได้พบกับมโหสถเป็นอย่างไรหนอ เชิญกล่าว ต่อไปเถิด มโหสถกับท่านต่างงดโทษกันแล้วกระมัง มโหสถยินดีแล้ว กระมัง.
[๖๐๔] ข้าแต่พระจอมประชาชน บุรุษชื่อมโหสถเป็นคนเลว ไม่น่าชื่นชม เป็นคนกระด้าง ไม่ใช่สัตบุรุษ ไม่กล่าวข้อความอะไรๆ เหมือนคนใบ้ และคนหนวกฉะนั้น พระเจ้าข้า.
[๖๐๕] บทมนต์นี้อันมโหสถบุตรของเราเห็นแล้วโดยแท้ คนอื่นก็เห็นได้โดยง่าย ข้อความอันดี อันนรชนผู้มีความเพียรเห็นแล้ว ความจริง กายของเรา ก็หวั่นไหว ใคร่จักละแคว้นของตนไปสู่เงื้อมมือของผู้อื่นเล่า.
[๖๐๖] ก็ความคิดของเราทั้งหกคนผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญากว้างขวางสูงสุด สมเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน ดูกรมโหสถ แม้เธอก็จงลงมติว่าไปหรือไม่ไป หรือว่าจะอยู่ในที่นี้.
[๖๐๗] ข้าแต่พระราชา พระองค์จงทรงทราบพระเจ้าจุลนี้พรหมทัตต์ ทรงมีอานุภาพ มาก มีพลมาก ปรารถนาเพื่อปลงพระชนม์พระองค์ ดุจนายพรานฆ่าเนื้อ ด้วยนางเนื้อฉะนั้น ปลาอยากกินของสดคือเหยื่อ ย่อมกลืนเบ็ดที่คด อันปิดไว้ด้วยเหยื่อ มันย่อมไม่รู้จักความตายของตน ฉันใด ข้าแต่ พระราชา พระองค์ทรงปรารถนากาม ย่อมไม่ทรงทราบพระราชธิดาของ พระเจ้าจุลนี เหมือนปลาไม่รู้จักความตายของตนฉะนั้น ถ้าพระองค์ จะเสด็จไปยังปัญจาลนคร จักต้องทรงละเสียทันที ภัยใหญ่จักถึงแก่ พระองค์ เหมือนภัยคือความตายถึงแก่มฤคผู้ตามไปถึงทางที่ประตูบ้าน ฉะนั้น ขอเดชะ.
[๖๐๘] พวกเราทั้งนั้น ซึ่งกล่าวถึงเหตุที่จะให้ได้รัตนะอันสูงสุดในสำนัก เจ้าเป็น คนเขลา บ้าน้ำลาย เจ้าเป็นบุตรคฤหบดีถือหางไถเจริญมาตั้งแต่เยาว์ เจ้าจะรู้เหตุที่ให้ได้รัตนะเหมือนคนอื่นเขาละหรือ.
[๖๐๙] ท่านทั้งหลายจงไสคอมโหสถนี่ ซึ่งเขาพูดเป็นอันตรายแก่การได้รัตนะ ของเรา ให้หายไปเสียจากแว่นแคว้นของเรา.
[๖๑๐] แต่นั้นมโหสถบัณฑิต ได้หลีกไปจากราชสำนัก ของพระเจ้าวิเทหราช ที่นั้นได้เรียกนกสุวบัณฑิตชื่อมาธุระผู้เป็นทูตมาสั่งว่า ดูกรนกผู้มีขนปีก เขียวผู้สหาย เจ้าจงมากระทำความขวนขวายเพื่อเรา นางนกสาลิกาที่ เขาเลี้ยงไว้ใกล้ที่บรรทมของพระเจ้าปัญจาลราชมีอยู่ ก็นางนกสาลิกานั้น เป็นผู้ฉลาดในสิ่งทั้งปวง เจ้าจงถามนางนกสาลิกานั้นโดยพิสดาร นางนก สาลิกานั้นรู้ความลับทุกอย่างของพระเจ้าปัญจาลราช และของเกวัฏ พราหมณ์ผู้โกสิยโคตร นกสุวบัณฑิตชื่อมาธุระ มีขนปีกเขียว รับคำ มโหสถบัณฑิต แล้วได้ไปสู่สำนักนางนกสาลิกา แต่นั้น นกมาธุรสุว บัณฑิตครั้นไปถึงแล้ว ได้ถามนางนกสาลิกาผู้มีกรงอันงาม พูดเพราะว่า เธอสบายดีอยู่ในกรงงามแลหรือ เธอมีความผาสุกในเพศแลหรือ เธอ ได้ข้าวตอกกับน้ำผึ้งในกรงงามของเจ้าและหรือ. นางนกสาลิกาตอบว่า ดูกรสุวบัณฑิตผู้สหาย ฉันมีความสุขดี ฉัน สบายดี อนึ่ง ฉันได้ข้าวตอกกับน้ำผึ้งเพียงพอ ดูกรสหาย ท่านมาแต่ไหน หรือใครใช้ให้มา ก่อนแต่นี้เราไม่เคยเห็นท่านหรือไม่เคยได้ยินเลย.
[๖๑๑] ฉันเป็นผู้ที่เขาเลี้ยงอยู่ใกล้ที่บรรทมบนปราสาท ของพระเจ้าสีวิราช พระราชาพระองค์นั้นทรงตั้งอยู่ในธรรม โปรดให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายผู้ถูก ขังอยู่จากที่ขังนั้นๆ นางนกสาลิกาตัวหนึ่งพูดอ่อนหวาน เป็นภรรยา ของฉัน เหยี่ยวได้ฆ่านางนกสาลิกานั้นเสียในห้องที่บรรทม ต่อหน้า ของฉันผู้อยู่ในกรงงามซึ่งเห็นอยู่ ฉันรักใคร่ต่อเธอจึงมาในสำนักของเธอ ถ้าเธอพึงให้โอกาส เราทั้งสองก็จะได้อยู่ร่วมกัน.
[๖๑๒] ก็นกแขกเต้าพึงรักใคร่กับนางนกแขกเต้า และนกสาลิกาก็พึงรักใคร่กับ นางนกสาลิกา การที่นกแขกเต้าจะอยู่ร่วมกันกับนางนกสาลิกาจะเป็น เช่นไร.
[๖๑๓] เออก็ ผู้ใดใคร่ในกามกับนางจัณฑาล ผู้นั้นทั้งหมดย่อมเป็นเช่นกับนาง จัณฑาลนั้น บุคคลไม่เป็นเช่นเดียวกันในเพราะกามย่อมไม่มี พระชนนี ของพระเจ้าสีวี พระนามว่าชัมพาวดีมีอยู่ พระนางเป็นจัณฑาล ได้เป็น พระมเหสีที่รักของพระเจ้าวาสุเทพกัณหโคตร นางกินนรีชื่อรัตนวดี มีอยู่ แม้นางกินนรีนั้นก็ร่วมรักกับดาบสชื่อวัจฉะ มนุษย์ได้ร่วมอภิรมย์ กับนางเนื้อก็มี มนุษย์หรือสัตว์ต่างกันเพราะกามย่อมไม่มี เอาเถอะ ดูกรนางนกสาลิกาผู้พูดเพราะ เราจักไปละ เพราะถ้อยคำของเธอเป็น เหตุให้รู้ประจักษ์ เธอดูหมิ่นฉันนัก.
[๖๑๔] ดูกรมาธุรสุวบัณฑิต สิริย่อมไม่มีแก่ผู้ด่วนได้ ใจเร็ว เชิญท่านอยู่ ณ ที่นี้ จนกว่าจะได้เห็นพระราชา จนได้ฟังเสียงตะโพนและอานุภาพของ พระราชา.
[๖๑๕] เสียงอันเซ็งแซ่นี้ ฉันได้ฟังมาแล้วภายนอกชนบทว่า พระราชธิดาของ พระเจ้าปัญจาลราช มีพระฉวีวรรณดังดาวประกายพฤกษ์ พระเจ้าปัญ จาลราช จักพระราชทานพระราชธิดานั้นแก่ชาวแคว้นวิเทหะ คือ จักมี การอภิเษกระหว่างพระเจ้าวิเทหราชกับพระราชธิดานั้น.
[๖๑๖] ดูกรมาธุระ วิวาหมงคลของเหล่าชนผู้เป็นข้าศึก จงมีเหมือนกับพระเจ้า ปัญจาลราช จักทรงทำวิวาหมงคลพระราชธิดากับพระเจ้าวิเทหราช พระ ราชาผู้เป็นจอมทัพแห่งชาวปัญจาลนคร จักทรงนำพระเจ้าวิเทหราชมาแล้ว แต่นั้น จักทรงรับสั่งให้ปลงพระชนม์เสีย พระเจ้าวิเทหราชไม่ได้เป็นพระ สหายของพระปัญจาลราช.
[๖๑๗] เอาเถิด เธอจงอนุญาตให้ฉันไปประมาณสัก ๗ ราตรี เพียงให้ฉันได้ กราบทูลพระเจ้าสีวิราช ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ว่า ฉันได้การอยู่ในสำนัก ของนางนกสาลิกาแล้ว.
[๖๑๘] เอาเถิด ฉันอนุญาตให้ท่านไปประมาณ ๗ ราตรี ถ้าท่านไม่กลับมายังสำนัก ของฉันโดย ๗ ราตรี ฉันจะสำคัญตัวฉันว่าหยั่งลงแล้ว สงบแล้ว ท่าน จักมาในเมื่อเราตายแล้ว.
[๖๑๙] ลำดับนั้นแล นกมาธุรสุวบัณฑิตบินไปแล้ว ไปบอกถ้อยคำของนางนก สาลิกานี้แก่มโหสถบัณฑิต.
[๖๒๐] บุรุษพึงได้บริโภคสมบัติในเรือนของผู้ใด ควรกระทำประโยชน์ให้แก่ ผู้นั้นแท้.
[๖๒๑] ข้าแต่พระจอมประชาชน เอาเถิด ข้าพระองค์จักไปสู่พระนครอันน่า รื่นรมย์ของพระเจ้าปัญจาลราชก่อน เพื่อสร้างนิเวศน์ถวายพระองค์ผู้ทรง พระนามว่าวิเทหราชผู้เรืองยศ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ ครั้น ข้าพระองค์สร้างนิเวศน์ถวายพระองค์เสร็จแล้ว พึงส่งข่าวมากราบทูล พระองค์ได้เมื่อใด เชิญพระองค์เสด็จไปเมื่อนั้น.
[๖๒๒] ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตได้ไปสู่พระนครอันน่ารื่นรมย์ของพระเจ้า ปัญจาลราชก่อน เพื่อสร้างนิเวศน์ถวายพระเจ้าวิเทหราชผู้เรืองยศ ครั้น สร้างนิเวศน์ถวายพระเจ้าวิเทหราชผู้เรืองยศเสร็จแล้ว ภายหลังจึงส่งทูต ไปทูลพระเจ้าวิเทหราชผู้ครองกรุงมิถิลาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เชิญ พระองค์เสด็จมาบัดนี้เถิด พระราชนิเวศน์ที่สร้างเพื่อพระองค์สำเร็จแล้ว ขอเดชะ.
[๖๒๓] ลำดับนั้น พระราชาพร้อมด้วยจตุรงคเสนาได้เสด็จไปสู่นครอันมั่งคั่ง ที่มโหสถบัณฑิตสร้างไว้ในแคว้นกัปปิละ เพื่อทอดพระเนตรพาหนะอัน หาที่สุดมิได้.
[๖๒๔] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราช เสด็จไปถึงแคว้นกัปปิละแล้ว ทรงส่ง พระราชสาสน์ไปถวายพระเจ้าพรหมทัตต์ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันมาเพื่อถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ พระเจ้าข้า ขอได้ โปรดพระราชทานพระราชธิดาผู้งดงามทั่วองค์ ซึ่งประดับด้วยเครื่อง อลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นางข้าหลวง ให้เป็นมเหสี ของหม่อมฉัน ณ บัดนี้เถิด พระเจ้าข้า.
[๖๒๕] ดูกรพระเจ้าวิเทหราช แม้พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์ไม่เสด็จ มาร้าย เชิญพระองค์ทรงหาพระฤกษ์อาวาหมงคลไว้ หม่อมฉันจะถวาย ราชธิดาผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นาง ข้าหลวงแก่พระองค์ พระเจ้าข้า.
[๖๒๖] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงหาพระฤกษ์ ครั้นหาพระฤกษ์ได้แล้ว ทรงส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระเจ้าพรหมทัตต์ว่า ขอพระองค์ทรงพระ ราชทานพระราชธิดาผู้งดงามทั่วองค์ ซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการล้วน แต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นางข้าหลวง ให้เป็นมเหสีของหม่อมฉัน ณ บัดนี้เถิด พระเจ้าข้า.
[๖๒๗] หม่อมฉันจะถวายพระราชธิดาผู้งดงามทั่วองค์ อันประดับด้วยเครื่อง อลังการล้วนด้วยทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่ข้าหลวง ให้เป็นมเหสีของ พระองค์ ณ บัดนี้.
[๖๒๘] กองช้าง กองม้า กองรถ กองพลราบ อันเป็นกองทัพสวมเกราะตั้งอยู่ จุดคบเพลิงสว่างไสว บัณฑิตทั้งหลายย่อมสำคัญอย่างไรกันหนอ.
[๖๒๙] กองช้าง กองม้า กองรถ กองพลราบ อันเป็นกองทัพสวมเกราะตั้งอยู่ จุดคบเพลิงสว่างไสว ดูกรมโหสถบัณฑิต กองทัพเหล่านี้จักทำอะไรหนอ.
[๖๓๐] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตต์มีพลนิกายมาก รักษา พระองค์ไว้ จะทรงประทุษร้ายต่อพระองค์ รุ่งเช้าจักรับสั่งให้ปลง พระชนม์พระองค์.
[๖๓๑] หทัยของเราสั่น และปากของเราแห้งผาก เราเป็นเหมือนถูกไฟไหม้ที่ กลางแดด ไม่ถึงความเย็นใจ เตาของช่างทองรุ่งเรืองอยู่ภายในไม่ปรากฏ ในภายนอก ฉันใด แม้หทัยของเราก็รุ่งเรืองอยู่ในภายใน ไม่ปรากฏ ในภายนอก ฉันนั้น.
[๖๓๒] ข้าแต่พระจอมขัตติยราช พระองค์เป็นผู้ประมาทเป็นไปล่วงความคิด มี ความคิดอันทำลายเสียแล้ว บัดนี้แล อาจารย์ทั้ง ๔ ผู้เป็นบัณฑิตมี ความคิด จงป้องกันพระองค์เถิด พระองค์ไม่ทรงกระทำตามคำของ ข้าพระบาท ผู้เป็นอำมาตย์ใคร่ประโยชน์แสวงหาความเกื้อกูล ทรงยินดี ด้วยปีติอันเศร้าหมองของพระองค์ ดังเนื้อตกลงในหลุมล่อ ฉะนั้น ปลา อยากกินของสดคือเหยื่อ ย่อมกลืนเบ็ดที่คดอันปิดไว้ด้วยเหยื่อ มันย่อม ไม่รู้จักความตายของตน ฉันใด ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงปรารถนา กามย่อมไม่ทรงทราบ พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี เหมือนปลาไม่รู้จัก ความตายของตน ฉันนั้น ถ้าพระองค์จะเสด็จไปยังปัญจาลนคร จักต้อง ทรงละเสียทันที ภัยใหญ่จักถึงแก่พระองค์เหมือนภัย คือความตายถึง แก่มฤคผู้ตามไปถึงทางที่ประตูบ้าน ข้าแต่พระจอมประชากร บุรุษผู้ไม่ ประเสริฐพึงเป็นเหมือนงูอยู่ในพกกัดเอา นักปราชญ์ไม่พึงทำไมตรีกับ บุรุษเช่นนั้น เพราะการสังคมกับบุรุษชั่ว นำทุกข์มาให้โดยแท้ ข้าแต่ พระจอมประชากร บุรุษผู้มีศีล เป็นพหูสูตพึงรู้คุณแห่งไมตรีใด นักปราชญ์พึงกระทำไมตรีกับบุรุษเช่นนั้นเท่านั้น เพราะการสังคมกับ สัปบุรุษ นำความสุขมาให้โดยแท้.
[๖๓๓] ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ตรัสถึงเหตุที่จะให้ได้รัตนะอันสูงสุดในสำนัก ข้าพระบาท ทรงเป็นผู้เขลา บ้าน้ำลาย ข้าพระบาทเป็นบุตรคฤหบดีถือ หางไถเจริญมาแต่ยังเยาว์ จะรู้เหตุที่จะให้ได้รัตนะเหมือนคนอื่นๆ เขา อย่างไรเล่า ท่านทั้งหลายจงไสคอมโหสถบัณฑิตนี้ ซึ่งเขาพูดเป็นอันตราย แก่การได้รัตนะของเรา ให้หายไปเสียจากแว่นแคว้นของเรา.
[๖๓๔] ดูกรมโหสถ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ทิ่มแทงเพราะโทษที่ล่วงไปแล้ว เจ้าจะทิ่มแทงเราเป็นดังม้าที่เขาผูกไว้ถูกทิ่มแทงด้วยประตักทำไม ถ้าเห็น ว่าเราจะพ้นภัยได้หรือเห็นว่าเราจะปลอดภัยได้ ขอเจ้าจงสั่งสอนเราโดย ความสวัสดีนั้นแล เจ้าจะทิ่มแทงเราเพราะโทษที่ล่วงไปแล้วทำไม.
[๖๓๕] ข้าแต่พระบรมกษัตริย์ กรรมของมนุษย์อันเป็นไปล่วงแล้วทำได้ยาก มี ความยินดีได้ยาก เป็นแดนเกิด ข้าพระบาทไม่สามารถจะปลดเปลื้อง พระองค์ได้ ขอพระองค์ได้โปรดทรงทราบเถิด พระเจ้าข้า ช้างทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์ มียศสามารถเหาะไปได้ทางอากาศ เป็นช้างเกิดในตระกูลช้าง ฉัททันต์ หรือในตระกูลช้างอุโบสถของพระองค์มีอยู่ แม้ช้างเหล่านั้น พึงพาพระองค์ไปได้ ม้าทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มียศสามารถเหาะไปได้ทาง อากาศ เป็นม้าเกิดในตระกูลพระยาม้าวลาหกของพระองค์มีอยู่ แม้ม้า เหล่านั้นพึงพาพระองค์ไปได้ นกทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มียศสามารถบินไปได้ ทางอากาศของพระองค์มีอยู่ แม้นกเหล่านั้นก็พึงพาพระองค์ไปได้ ยักษ์ ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มียศสามารถเหาะไปได้ทางอากาศของพระองค์มีอยู่ แม้ยักษ์เหล่านั้นก็พึงพาพระองค์ไปได้ ข้าแต่พระบรมกษัตริย์ กรรมของ มนุษย์อันเป็นไปล่วงแล้วทำได้โดยยาก มีความยินดีได้ยาก เป็นแดน เกิด ข้าพระบาทไม่สามารถจะปลดเปลื้องพระองค์ โดยทางอากาศได้ พระเจ้าข้า.
[๖๓๖] บุรุษผู้ยังมองไม่เห็นฝั่งในมหาสมุทร ย่อมได้ที่พำนักในประเทศใด เขา ย่อมได้ความสุขในประเทศนั้น ฉันใด ท่านมโหสถ ขอท่านได้เป็นที่ พึ่งของข้าพระเจ้าทั้งหลาย และของพระราชาฉันนั้นเถิด ท่านเป็นผู้ ประเสริฐสุดกว่าพวกข้าพเจ้าเหล่ามนตรี ขอท่านช่วยปลดเปลื้องเรา ให้พ้นจากทุกข์ด้วยเถิด.
[๖๓๗] ท่านอาจารย์เสนก กรรมของมนุษย์อันเป็นไปล่วงแล้วทำได้ยาก มีความ ยินดีโดยยาก เป็นแดนเกิด ข้าพเจ้าไม่สามารถจะช่วยปลดเปลื้องท่านได้ ท่านจงรู้เอาเองเถิด.
[๖๓๘] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถาม ท่านอาจารย์เสนก เวลานี้ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไร.
[๖๓๙] เราทั้งหลายจงเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตู หรือจงจับมีดฆ่ากันและกัน ละชีวิตเสียฉับพลัน อย่าให้พระเจ้าพรหมทัตต์ฆ่าเราทั้งหลายให้ลำบาก นานเลย.
[๖๔๐] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามท่าน อาจารย์ปุกกุส ณ บัดนี้ เวลานี้ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไร.
[๖๔๑] เราทั้งหลายควรกินยาพิษตาย ละชีวิตเสียฉับพลัน อย่าให้พระเจ้า พรหมทัตต์ฆ่าเราทั้งหลายให้ลำบากนานเลย.
[๖๔๒] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามท่าน อาจารย์กามินท์ ณ บัดนี้ เวลานี้ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไร.
[๖๔๓] เราทั้งหลายพึงเอาเชือกผูกหรือพึงโดดลงบ่อให้ตายเสีย อย่าให้พระเจ้า พรหมทัตต์ฆ่าเราทั้งหลายให้ลำบากนานเลย.
[๖๔๔] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามท่าน อาจารย์เทวินท์ ณ บัดนี้ เวลานี้ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไร.
[๖๔๕] เราทั้งหลายจงเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตู หรือ จงจับมีดฆ่ากันและกัน ละชีวิตไปเสียฉับพลัน ถ้าท่านมโหสถไม่สามารถจะช่วยปลดเปลื้องเรา ทั้งหลายได้โดยง่าย.
[๖๔๖] บุคคลแสวงหาแก่นแห่งต้นกล้วยย่อมหาไม่ได้ ฉันใด เราทั้งหลาย แสวงหาอุบายเครื่องพ้นจากทุกข์ ก็ย่อมไม่ประสบปัญหานั้น ฉันนั้น บุคคลแสวงหาแก่นแห่งไม้งิ้ว ย่อมหาไม่ได้ ฉันใด เราทั้งหลาย แสวงหาอุบายเครื่องพ้นจากทุกข์ ก็ย่อมไม่ประสบปัญหานั้น ฉันนั้น การอยู่ของช้างทั้งหลายในสถานที่ไม่มีน้ำ ชื่อว่าอยู่ในที่มิใช่ประเทศ เพราะช้างเหล่านั้นอยู่ในสถานที่อันไม่มีน้ำ ชื่อว่ามิใช่ประเทศ ย่อมตก อยู่ในอำนาจของปัจจามิตรเร็วพลัน ฉันใด แม้การที่เราทั้งหลายอยู่ในที่ ใกล้ของมนุษย์ชั่ว เป็นคนพาลหาความรู้มิได้ ก็ชื่อว่าอยู่ในสถานที่มิใช่ ประเทศ ฉันนั้น หทัยของเราสั่น และปากของเราก็แห้งผาก เราเป็น เหมือนถูกไฟไหม้ที่กลางแดด ไม่ถึงความเย็นใจ เตาของช่างทองรุ่งเรือง อยู่ภายใน ไม่ปรากฏในภายนอก ฉันใด แม้หทัยของเราก็รุ่งเรืองอยู่ใน ภายใน ไม่ปรากฏในภายนอก ฉันนั้น.
[๖๔๗] ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตมีปัญญาเห็นประโยชน์ เห็นพระเจ้าวิเทหราช ทรงได้รับทุกข์ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าพระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่างทรงกลัวเลย ข้าพระบาท จักช่วยปลดเปลื้องพระองค์ผู้ดุจดวงจันทร์อันราหูจับแล้ว ข้าแต่พระ มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจักช่วยปลดเปลื้อง พระองค์ผู้ดุจช้าง จมอยู่ในหล่ม ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่ พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจักช่วย ปลดเปลื้องพระองค์ผู้ดุจติดอยู่ในตะกร้า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่างทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจักช่วยปลดเปลื้องพระองค์ผู้ดุจนกติดอยู่ในกรง ข้าแต่พระ มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจักช่วยปลดเปลื้อง พระองค์ผู้ ดุจปลาติดอยู่ที่ข่าย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจะ ช่วยปลดเปลื้องพระองค์ผู้มีพลและพาหนะคุ้มกันอยู่ ข้าแต่พระมหาราช เจ้า พระองค์อย่ากลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่า ทรงกลัวเลย ข้าพระบาทจักขับไล่กองทัพของพระเจ้าปัญจาลราชให้หนีไป ดุจไล่กาและเหยี่ยวให้หนีไปด้วยก้อนหิน ปัญญาของข้าพระบาท หรือ อำมาตย์ เช่นกับข้าพระบาท ซึ่งมิได้ช่วยปลดเปลื้องพระองค์ผู้ตกอยู่ใน ที่คับขันให้พ้นทุกข์ จะมีประโยชน์อะไร.
[๖๔๘] ดูกรคนหนุ่มๆ ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นมา จงช่วยกันเปิดประตู อุโมงค์ และประตูห้องติดต่อเครื่องยนต์ พระเจ้าวิเทหราชจักเสด็จไป ทางอุโมงค์ พร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งหลาย.
[๖๔๙] พวกคนรับใช้ของมโหสถบัณฑิต ได้ฟังคำของมโหสถแล้วช่วยกันเปิด ประตูอุโมงค์ และถอดลูกดานประกอบด้วยเครื่องยนต์.
[๖๕๐] เสนาเดินไปก่อน มโหสถเดินไปข้างหลัง พระเจ้าวิเทหราชอันอำมาตย์ แวดล้อม เสร็จดำเนินไปท่ามกลาง.
[๖๕๑] พระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกจากอุโมงค์แล้ว เสด็จขึ้นสู่เรือ มโหสถบัณฑิต รู้ว่าพระเจ้าวิเทหราชเสด็จขึ้นเรือแล้ว ได้ถวายอนุศาสน์ว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้จอมประชากร พระเจ้าจุลนี เป็นพระสัสสุระของพระองค์ พระนางนันทาเทวีนี้ เป็นพระสัสสุของพระองค์ การปฏิบัติพระราช มารดาของพระองค์ ฉันใด การปฏิบัตินั้นขอจงมีแด่พระสัสสุของพระองค์ ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ อนึ่ง พระภาดาร่วมพระอุทรพระชนนี เดียวกันโดยตรง พระองค์ทรงรักใคร่ ฉันใด พระปัญจาลจันทราชกุมาร พระองค์ก็ควรทรงรักใคร่ ฉันนั้น พระนางปัญจาลจันทีราชบุตรี ของ พระเจ้าพรหมทัตต์ ที่พระองค์ทรงปรารถนานี้ ขอพระองค์ทรงรักใคร่ใน พระนางของพระองค์ พระนางจักเป็นพระมเหสีของพระองค์ อย่าทรง ดูหมิ่น.
[๖๕๒] ดูกรมโหสถ เจ้าจงรีบขึ้นเรือ จะยืนอยู่ที่ฝั่งทำไมหนอ เราทั้งหลายพ้น จากทุกข์ได้โดยยาก จงไปกัน ณ บัดนี้เถิด.
[๖๕๓] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า การที่ข้าพระองค์เป็นนายกของเสนาจะทอดทิ้ง กองทัพเอาแต่ตัวรอด นี้ไม่สมควร ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ข้าพระบาทจักนำมาซึ่งกองทัพ ที่พระองค์ทรงละทิ้งไว้ในปัญจาลนคร และสิ่งของที่พระเจ้าพรหมทัตต์พระราชทาน พระเจ้าข้า.
[๖๕๔] ดูกรบัณฑิต เจ้ามีเสนาน้อย จักข่มพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้มีเสนามากได้ อย่างไร เจ้าไม่มีกำลัง จักลำบาก เพราะพระเจ้าพรหมทัตต์มีกำลัง.
[๖๕๕] ถ้าบุคคลผู้มีความคิด ถึงจะมีเสนาน้อย ก็เอาชนะบุคคลผู้มีเสนามาก แต่ไม่มีความคิดได้ พระราชาพระองค์เดียวทรงฉลาดในอุบาย ย่อมทรง เอาชนะ พระราชาทั้งหลายผู้ไม่ทรงฉลาดในอุบายได้ ดังอาทิตย์อุทัย กำจัดความมืดส่งแสงสว่างจ้า ฉะนั้น ขอเดชะ.
[๖๕๖] ดูกรท่านอาจารย์เสนก การอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลายเป็นสุขดีหนอ เพราะว่ามโหสถบัณฑิต ช่วยปลดเปลื้องเราทั้งหลายผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือ ของศัตรูได้ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยฝูงนกถูกขังอยู่ในกรง และ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยปลาอันติดอยู่ในแห ฉะนั้น.
[๖๕๗] ข้าแต่พระมหาราชา บัณฑิตทั้งหลายเป็นผู้นำความสุขมาให้อย่างแท้จริง เทียว มโหสถบัณฑิตช่วยปลดเปลื้องเราทั้งหลายผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือของ ศัตรูได้ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยฝูงนกที่ถูกขังอยู่ในกรง และ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยฝูงปลาอันติดอยู่ในแห ฉะนั้น ขอเดชะ.
[๖๕๘] พระเจ้าจุลนีผู้มีกำลังมาก ทรงรักษาอยู่ตลอดราตรีทั้งสิ้น ครั้นอรุณขึ้น ได้เสด็จถึงเมืองอุปการ พระเจ้าปัญจาลราชทรงพระนามว่าจุลนีผู้มีกำลัง มาก เสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งตัวประเสริฐ เป็นช้างมีกำลังอายุ ๖๐ ปี ได้ รับสั่งกับเสนาของท้าวเธอ ท้าวเธอทรงสวมเกราะแก้วมณี พระหัตถ์ จับศร ได้ตรัสกะทวยหาญผู้รับใช้ซึ่งชำนาญในศิลป คือ ธนู ยิงแม่นยำ ยิงขนทรายไม่พลาด ซึ่งประชุมกันอยู่.
[๖๕๙] ว่าท่านทั้งหลาย จงไสช้างพลาย มีกำลังอายุ ๖๐ ปีไป ช้างทั้งหลาย จงย่ำยีเมืองที่พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งให้สร้างไว้ ลูกศรอันขาวเช่นเขี้ยวงา ปลายแหลมคม สามารถแทงทำลายกระดูกได้ เกลี้ยงเกลาเหล่านี้ จงตกลงด้วยกำลังธนู พวกทหารรุ่นหนุ่ม สวมเกราะล้วนแกล้วกล้า มี อาวุธประกอบด้วยด้ามอันวิจิตร ฝูงช้างใหญ่แล่นมาจงเป็นผู้หันหน้าสู้ ช้างทั้งหลาย หอกทั้งหลายที่ขัดด้วยน้ำมันแล้วมีแสงเป็นประกายวะวับ ดังดาวประกายพฤกษ์มีแสงตั้งร้อย เมื่อพวกทหารของเราล้วนมีกำลัง อาวุธสวมสังวาลคือเกราะ ไม่ล่าหนีในสงครามเช่นนี้ พระเจ้าวิเทหราช จักพ้นไปที่ไหน หากจะเป็นเหมือนนกบินไปในอากาศได้ก็จะพ้นไปได้ อย่างไร ทหารของเราล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ประมาณ ๓๙,๐๐๐ ซึ่งเรา เที่ยวไปทั่วแผ่นดิน ไม่เห็นทหารอื่นใดเทียมทัน สามารถตัดศีรษะข้าศึก เอามาคนละศีรษะได้ อนึ่ง ช้างพลายทั้งหลายอันประดับแล้ว เป็นช้างมี กำลังอายุ ๖๐ ปี เหล่าทหารหนุ่มๆ มีผิวพรรณดังทองคำงดงามอยู่บนคอ ทหารทั้งหลายมีเครื่องประดับสีเหลือง นุ่งผ้าสีเหลือง งดงามอยู่บนคอ ช้าง ดังเทพบุตรในนันทนวัน ฉะนั้น ดาบทั้งหลายมีสีดังปลาสลาด ขัดถูด้วยน้ำมัน แสงวาบวับ อันทหารผู้แกล้วกล้าทำสำเร็จแล้ว มี คมเสมอคมนัก ส่งแสงจัดปราศจากสนิม ทำด้วยเหล็กกล้า มั่นคง อัน เหล่าทหารผู้มีกำลังเชี่ยวชาญในการฟันดาบถือเป็นคู่มือ ดาบทั้งหลาย ล้วนแต่ด้ามทองคำประกอบด้วยฝักสีแดง กวัดแกว่งไปมา ย่อมงดงาม ดังสายฟ้าแวบวาบอยู่ในระหว่างก้อนเมฆ ฉะนั้น เหล่าทหารดาบผู้ แกล้วกล้าสวมเกราะ กวัดแกว่งอยู่ในอากาศ ฉลาดในการใช้ดาบและ โล่ห์ ฝึกมาอย่างชำนาญสามารถจะตัดคอช้างให้ขาดตกลง (ดูกรพระ เจ้าวิเทหราช เมื่อก่อน) พระองค์อันเหล่าทหารเช่นนี้แวดล้อมแล้ว (แต่บัดนี้) การที่พระองค์จะพ้นไปจากที่นี้ย่อมไม่มี.
[๖๖๐] พระองค์ทรงด่วนไสช้างพระที่นั่งตัวประเสริฐมาทำไมหนอ พระองค์มี พระหฤทัยอันร่าเริงเสด็จมา คงจะทรงเข้าพระทัยว่าทรงเป็นผู้ได้ประโยชน์ แล้ว ขอพระองค์ทรงลดแล่งธนูนั่นเสียเถิด ทรงทิ้งลูกธนูเสียเถิด ทรง เปลื้องเกราะอันงดงามปานดังแก้วไพฑูรย์นั้นออกเสียเถิด พระเจ้าข้า.
[๖๖๑] เจ้าเป็นผู้มีสีหน้าอันผ่องใส และกล่าวถ้อยคำเคยยิ้มแย้ม ความถึงพร้อม แห่งผิวพรรณเช่นนี้ย่อมมีในมรณกาล.
[๖๖๒] ข้าแต่พระขัตติยราช พระดำรัสที่พระองค์ตรัสคุกคามไร้ประโยชน์เสีย แล้ว พระองค์เป็นผู้มีพระดำริกระจายไปทั่วแล้ว พระองค์ไม่สามารถ จะจับ พระราชาของข้าพระองค์ได้หรอกดังม้าสินธพอันม้ากระจอกไล่ไม่ ทัน ฉะนั้น พระราชาของข้าพระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริษัท เสด็จข้ามแม่น้ำไปแล้วแต่วานนี้ ถ้าพระองค์จักเสด็จติดตามไป พระองค์ ก็จักตก คือถึงความพินาศในระหว่าง เปรียบเหมือนกาบินไล่ติด ตามพระยาหงส์ จักต้องตกลงในระหว่าง ฉะนั้น.
[๖๖๓] สุนัขจิ้งจอก เป็นสัตว์ต่ำช้ากว่ามฤค เห็นดอกทองกวาวด้วยแสงจันทร์ ก็สำคัญว่าชิ้นเนื้อ เข้าล้อมต้นอยู่ ครั้นเมื่อราตรีล่วงไปแล้ว เมื่อพระ อาทิตย์ขึ้นแล้ว สุนัขจิ้งจอกซึ่งเป็นสัตว์ต่ำช้ากว่ามฤค ได้เห็นดอก ทองกวาวบานแล้ว เป็นสัตว์หมดความหวังฉันใด ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงล้อมพระเจ้าวิเทหราช ก็จักทรงหมดความหวังเสด็จกลับไป เปรียบเหมือนสุนัขจิ้งจอกล้อมต้นทองกวาวหมดความหวังกลับไป ฉะนั้น.
[๖๖๔] เจ้าทั้งหลายจงช่วยกันตัดมือ เท้า หู และจมูกของมโหสถ ผู้ปล่อยให้ พระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเราซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือไปเสีย เจ้าทั้งหลายจง เสียบมโหสถ ผู้ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเรา ซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือ ไปเสียในหลาวแล้วจงย่างมันให้ร้อน เหมือนดังย่างเนื้อฉะนั้น บุคคล แทงหนังวัวลงบนแผ่นดิน หรือบุคคลเกี่ยวหนังราชสีห์หรือเสือโคร่งฉุด มาด้วยขอฉันใด เราจักให้เจ้าทั้งหลายช่วยกันทิ่มแทงมโหสถ ผู้ ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเราซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือไปฆ่าเสียด้วยหอก ฉันนั้น.
[๖๖๕] ถ้าพระองค์รับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของข้าพระองค์ พระเจ้า วิเทหราชก็จักรับสั่งให้ตัดพระหัตถ์เป็นต้น ของพระปัญจาลจันทราชโอรส ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของข้าพระองค์ พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ตัดพระหัตถ์เป็นต้นของพระปัญจาลจันที ราชธิดา ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของข้า พระองค์ พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ตัดพระหัตถ์เป็นต้นของพระ นางนันทาเทวีอัครมเหสี ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้ตัดมือเท้า หูและ จมูกของข้าพระองค์ พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ตัดพระหัตถ์เป็น ต้นของพระราชบุตร ราชบุตรีและพระมเหสีแห่งพระองค์ ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้เสียบเนื้อของข้าพระองค์ในหลาว แล้วย่างให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราช ก็จักรับสั่งให้เสียบเนื้อของพระปัญจาลจันทราชโอรส ในหลาว แล้วย่างให้ร้อน ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้เสียบเนื้อของ ข้าพระองค์ในหลาว แล้วย่างให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ เสียบเนื้อของพระปัญจาลจันทีราชธิดา แล้วย่างให้ร้อน ฉันนั้น ถ้าพระ องค์รับสั่งให้เสียบเนื้อของข้าพระองค์ในหลาว แล้วย่างให้ร้อน พระเจ้า วิเทหราชก็จักรับสั่งให้เสียบเนื้อพระนางนันทาเทวีอัครมเหสี แล้วย่าง ให้ร้อน ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้เสียบเนื้อของข้าพระองค์ในหลาว แล้วย่างให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้เสียบเนื้อของพระราช บุตรพระราชบุตรีและพระมเหสีของพระองค์ แล้วย่างให้ร้อน ฉันนั้น ถ้าพระองค์จักรับสั่งให้ทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็ จักรับสั่งให้ทิ่มแทงพระปัญจาลจันทราชโอรสด้วยหอก ฉันนั้น ถ้าพระ องค์จักรับสั่งให้ทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็รับสั่งให้ ทิ่มแทง พระปัญจาลจันทีราชธิดาด้วยหอก ฉันนั้น ถ้าพระองค์จักรับ สั่งให้ทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ทิ่มแทง พระนางนันทาเทวีอัครมเหสีด้วยหอก ฉันนั้น ถ้าพระองค์รับสั่งให้ ทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็จักรับสั่งให้ทิ่มแทง พระราชบุตร พระราชบุตรีและพระมเหสีของพระองค์ ฉันนั้น ข้อความ ดังกราบทูลมาอย่างนี้ อันข้าพระองค์ทั้งสอง คือพระเจ้าวิเทหราชกับ ข้าพระองค์ ได้ปรึกษาตกลงกันไว้แล้วในที่ลับ โล่หนักประมาณ ๑๐๐ ปะละ อันช่างหนังทำสำเร็จแล้ว ด้วยมีดของช่างหนังย่อมช่วยป้องกัน ตัวเพื่อห้ามลูกศรทั้งหลาย ฉันใด ข้าพระองค์ เป็นผู้นำความสุขบรรเทา ทุกข์ถวายพระเจ้าวิเทหราชผู้เรืองยศ ก็จำต้องทำลายลูกศรคือพระดำริของ พระองค์ ด้วยโล่ คือความคิดของข้าพระองค์ ฉันนั้น ขอเดชะ.
[๖๖๖] ข้าแต่พระมหาราช เชิญพระองค์ทอดเนตรพระราชนิเวศน์อันว่างเปล่า ของพระองค์ ข้าแต่บรมกษัตริย์ นางสนม กุมารทั้งหลาย และ พระราชชนนีของพระองค์ ข้าพระองค์ให้นำออกทางอุโมงค์ นำไป ถวายพระเจ้าวิเทหราชแล้ว พระเจ้าข้า.
[๖๖๗] เชิญพวกเจ้าจงไปสู่ราชนิเวศน์ของเรา แล้วตรวจตราดู คำของมโหสถนี้ จริงหรือเท็จอย่างไร.
[๖๖๘] ข้าแต่พระมหาราชา มโหสถกราบทูลว่า ฉันใด คำนั้นเป็นจริง ฉันนั้น พระราชนิเวศน์ทุกแห่งว่างเปล่า ดุจที่ลงกินของฝูงกา ขอเดชะ.
[๖๖๙] ข้าแต่พระมหาราชา พระนางเจ้านันทาเทวี ทรงโฉมงดงามทั่วสรรพางค์ มีพระโสณีงาม ดังแผ่นทองคำธรรมชาติ มีปกติตรัสด้วยพระสำเนียง อันอ่อนหวาน ดังเสียงลูกหงส์เสด็จไปทางอุโมงค์นี้แล้ว ข้าแต่พระ มหาราชา พระนางนันทาเทวีทรงโฉมงดงามทั่วสรรพางค์ ทรงพระภูษา โกสัย มีพระสรีระเหลืองอร่าม มีสายรัดพระองค์งดงามด้วยทองคำ ข้าพระองค์นำออกไปแล้วจากอุโมงค์นี้ พระนางนันทาเทวีมีพระบาทแดง สดใส ทรงโฉมงดงาม มีสายรัดพระองค์ แก้วมณีแกมสุวรรณ ดวง พระเนตรดังตานกพิราบ มีพระสรีระงดงาม พระโอฐแดงดังผลตำลึงสุก สะโอดสะอง มีบั้นพระองค์เล็กเรียวดังเถานาคลดา อันเกิดดีแล้ว และกาญจนไพรที มีพระเกสายาวดำ มีปลายช้อนขึ้นเล็กน้อย มีดวง พระเนตรเขื่อง ดังดวงตาของลูกเนื้อทรายอันเกิดดีแล้ว และดุจเปลว เพลิงในฤดูเหมันต์ พระนางนันทาเทวี ย่อมงดงามด้วยเส้นพระโลมา เล็กๆ ดังแม่น้ำใกล้ภูผาอันดาดาษไปด้วยไม้ไผ่เล็กๆ ฉะนั้น พระ นางมีพระเพลางามดังงวงอัยรา มีพระถันยุคลดังคู่ผลมะพลับทองงาม เป็นที่หนึ่ง พระสัณฐานสันทัด ไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก มีพระโขนงพอ งาม ไม่มากนัก ข้าแต่พระองค์ผู้มีพาหนะสมบูรณ์ด้วยสิริ พระองค์คง ทรงยินดี ด้วยการทิวงคตของพระนางเจ้านันทาเทวีเป็นแน่ ข้าพระองค์ และพระนางเจ้านันทาเทวี ก็จักไปสู่สำนักยมราชเป็นแน่.
[๖๗๐] มโหสถ ได้ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเรา ซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือ เรา ทำเล่ห์กลอันเป็นทิพย์ หรือว่าได้ทำอุบายบังตา.
[๖๗๑] ข้าแต่พระมหาราชา บัณฑิตทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมทำเล่ห์กลอันเป็น ทิพย์โดยแท้ บัณฑิตผู้มีความรู้เหล่านั้น ย่อมปลดเปลื้องตนได้ เหล่า ทหารรุ่นหนุ่มเป็นคนฉลาด เป็นทหารขุดอุโมงค์ของข้าพระองค์มีอยู่ พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปยังพระนครมิถิลา โดยทางที่ทหารเหล่านั้นทำไว้ พระเจ้าข้า.
[๖๗๒] ข้าแต่พระมหาราชา เชิญพระองค์ทอดพระเนตรอุโมงค์ซึ่งสร้างไว้ดีแล้ว งามรุ่งเรืองด้วยระเบียบแห่งกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และ กองพลราบ ซึ่งสำเร็จดีแล้วเถิด พระเจ้าข้า.
[๖๗๓] ดูกรมโหสถ เป็นลาภของชนชาววิเทหรัฐหนอ บัณฑิตทั้งหลายเช่นนี้ ย่อมอยู่ในเรือน ในแว่นแคว้นของผู้ใด เป็นลาภของผู้นั้น เหมือนเจ้า ฉะนั้น.
[๖๗๔] เราจะให้เครื่องเลี้ยงชีพ การบริหาร เบี้ยเลี้ยง และบำเหน็จเพิ่มขึ้น สองเท่า และให้โภคสมบัติอันไพบูลย์อีก เจ้าจงใช้สอยและจงรื่นรมย์ อยู่ในกามเถิด เจ้าอย่ากลับไปหาพระเจ้าวิเทหราชเลย พระเจ้าวิเทหราช จะทรงทำประโยชน์อะไร.
[๖๗๕] ข้าแต่พระมหาราชา ผู้ใดพึงสละท่านผู้ชุบเลี้ยงตนเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผู้นั้นย่อมถูกตนเองและคนอื่นติเตียนได้ทั้งสองฝ่าย พระเจ้าวิเทหราชยัง ทรงพระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึงอยู่ในแว่นแคว้นของผู้อื่นเพียง นั้น ข้าแต่พระมหาราชา ผู้ใดพึงสละท่านผู้ชุบเลี้ยงตน เพราะเหตุแห่ง ทรัพย์ ผู้นั้นย่อมถูกตนเองและคนอื่นติเตียนได้ทั้งสองฝ่าย พระเจ้า วิเทหราชยังดำรงพระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึงเป็นราชบุรุษของ พระราชาอื่นเพียงนั้น ขอเดชะ.
[๖๗๖] ดูกรมโหสถ เราจะให้ทองพันแท่ง บ้าน ๘๐ หลังในแคว้นกาสีแก่ท่าน เราจะให้ทาสี ๔๐๐ คน ภรรยา ๑๐๐ คนแก่ท่าน จงพากองทัพทั้งปวง ไปโดยสวัสดี.
[๖๗๗] พวกเจ้าจงให้อาหารแก่ช้างและม้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพียงใด จงเลี้ยงดู กองรถและกองราบให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ เพียงนั้น.
[๖๗๘] ดูกรมโหสถบัณฑิต ท่านจงพาเอากองช้าง กองม้า กองรถ กองราบไป พระเจ้าวิเทหราช จงทอดพระเนตรท่านผู้ไปถึงมิถิลานคร.
[๖๗๙] เสนา คือ กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ปรากฏมากมาย เป็น จตุรงคินีที่น่ากลัว บัณฑิตทั้งหลายจะสำคัญอย่างไรหนอ.
[๖๘๐] ข้าแต่พระมหาราชา ความยินดีอย่างสูงสุด จักปรากฏแด่พระองค์ มโหสถ พากองทัพทั้งปวงมาถึงแล้วโดยสวัสดี.
[๖๘๑] คน ๔ คน นำคนตายไปทิ้งไว้ในป่าช้าแล้วกลับไป ฉันใด พวกเราทิ้ง เจ้าไว้ในกัปปิลรัฐแล้ว กลับมาในที่นี้ ก็ฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้า เปลื้องตนพ้นมาได้เพราะเหตุอะไร เพราะปัจจัยอะไร หรือเพราะผล อะไร.
[๖๘๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์จอมวิเทหรัฐ ข้าพระองค์ป้องกันกลศึกที่ พวกนั้นกีดกันไว้ ด้วยกลศึกที่ข้าพระองค์คิดแล้ว ข้าพระองค์ป้องกัน ความลับที่พวกนั้นปรึกษากันไว้ ด้วยความลับที่ข้าพระองค์คิดไว้ (ใช่ แต่เท่านั้น) ข้าพระองค์ยังได้ช่วยป้องกันพระราชาไว้ ดังสาครกั้นล้อม ชมพูทวีปไว้ ฉะนั้น พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงพระราชทานทองคำพันแท่ง บ้าน ๘๐ หลังในแคว้นกาสี ทาสี ๔๐๐ คน และภรรยา ๑๐๐ คน แก่ ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้พากองทัพทั้งปวงมาถึง ณ ที่นี้โดยสวัสดีแล้ว พระเจ้าข้า.
[๖๘๓] ดูกรท่านอาจารย์เสนก การอยู่ร่วมกับบัณฑิต เป็นสุขดีหนอ เพราะว่า มโหสถบัณฑิต ปลดเปลื้องเราทั้งหลายผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูได้ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยฝูงนกที่ถูกขังอยู่ในกรง และเปรียบ เหมือนบุคคลช่วยปล่อยปลาอันติดอยู่ในแห ฉะนั้น.
[๖๘๔] ข้าแต่พระมหาราชา ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่า บัณฑิตทั้งหลาย เป็น ผู้นำความสุขมาให้ มโหสถบัณฑิตปลดเปลื้องพวกเราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือ ของศัตรูได้ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยฝูงนกที่ขังอยู่ในกรง และ เปรียบเหมือนบุคคลช่วยปล่อยตัวติดอยู่ในแห ฉะนั้น.
[๖๘๕] ชาวเมืองผู้นับว่าเกิดในแคว้นมคธ จงดีดพิณทั้งปวง จงตีกลองเล็กกลอง ใหญ่และมโหรทึก จงพากันโห่ร้องบันลือเสียงให้เซ็งแซ่.
[๖๘๖] พวกนางสนม พวกกุมาร พวกพ่อค้า และพวกพราหมณ์ต่างก็นำเอา ข้าวน้ำเป็นอันมากมาให้แก่มโหสถบัณฑิต พวกกองช้าง พวกกองม้า พวกกองรถ พวกกองราบ ต่างก็นำเอาข้าวน้ำเป็นอันมากมาให้แก่ มโหสถบัณฑิต ชาวชนบทและชาวนิคมประชุมพร้อมกัน ต่างนำเอา ข้าวน้ำเป็นอันมากมาให้มโหสถบัณฑิต ชนเป็นอันมากได้เห็นมโหสถ บัณฑิตกลับมา ต่างก็พากันเลื่อมใส ครั้นมโหสถบัณฑิตมาถึงมิถิลานคร พากันยกธงขึ้นโบกอยู่ไปมา.

จบ มโหสถชาดกที่ ๕.

๖. ภูริทัตชาดกที่ ๖ พระเจ้าภูริทัต ทรงบำเพ็ญศีลบารมี


[๖๘๗] รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอยู่ในนิเวศน์ของท้าวธตรฐ รัตนะทั้งหมดนั้น จงมาสู่พระราชนิเวศน์ของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรด ประทานพระราชธิดาแก่พระราชาของข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า.
[๖๘๘] พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ในกาลไหนๆ เลย พวกเรา จะทำการวิวาห์อันไม่สมควรนั้นได้อย่างไรเล่า.
[๖๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพ หรือแว่นแคว้นเสียเป็นแน่ เพราะเมื่อนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลาย เช่น พระองค์จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์เป็น มนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพระยานาคธตรฐผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าว วรุณนาคราช เกิดภายใต้แม่น้ำยมุนา.
[๖๙๐] เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ ก็ท้าวธตรฐเป็นใหญ่กว่านาคแม้ทั้ง หมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็นกษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ และนางสมุททชาธิดาของเราก็เป็น อภิชาต.
[๖๙๑] พวกนาคเหล่ากัมพลอัสสดรจงเตรียมตัว จงไปบอกให้นาคทั้งปวงรู้กัน จงพากันไปเมืองพาราณสี แต่อย่าได้เบียดเบียนใครๆ เลย.
[๖๙๒] นาคทั้งหลาย จงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ และบนเสาระเนียด แม้เราก็จะนิรมิตตัว ให้ใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองใหญ่ด้วยขนดหาง ยังความกลัวให้เกิด แก่ชนชาวกาสี.
[๖๙๓] นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว แปลงเพศเป็นหลายอย่าง พา กันเข้าไปยังพระนครพาราณสี แต่มิได้เบียดเบียนใครๆ เลย แผ่พังพาน ห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง ๔ แพร่ง บนยอดไม้ พวกสตรีเป็นอันมากได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพานห้อยอยู่ตามที่ต่างๆ หายใจฟู่ๆ ก็พากันคร่ำครวญ ชาวเมืองพาราณสีมีความสะดุ้งกลัว เดือดร้อนก็พากันไปประชุมกอดอกร้องทุกข์ว่า ขอพระองค์จงทรงพระ ราชทานพระราชธิดาแก่พญานาคเถิด พระเจ้าข้า.
[๖๙๔] ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผาย นั่งอยู่ท่ามกลางป่าอันเต็มไปด้วย ดอกไม้ สตรี ๑๐ คนเป็นใคร ทรงเครื่องประดับล้วนแต่ทองคำ นุ่งผ้า งาม ยืนเคารพอยู่ ท่านเป็นใคร มีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางป่า เหมือนไฟอันลุกโชนด้วยเปรียง ท่านคงเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่ คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มีอานุภาพมาก.
[๖๙๕] เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใครๆ จะล่วงได้ ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึง ขบชนบทที่เจริญให้แหลกได้ด้วยเดช มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดา ของเราชื่อว่าธตรฐ เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกเราว่า ภูริทัต.
[๖๙๖] ท่านเพ่งดูห้วงน้ำลึกวนอยู่ทุกเมื่อ น่ากลัวห้วงน้ำนั้นเป็นที่อยู่อันรุ่งเรือง ของเรา ลึกหลายร้อยชั่วบุรุษ ท่านอย่ากลัวเลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา เป็นแม่น้ำมีสีเขียวไหลจากกลางป่า กึกก้องด้วยเสียงนกยูงและนกกระ เรียน เป็นที่เกษมสำราญของผู้มีอาจารวัตร.
[๖๙๗] ดูกรพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ไปถึงนาคพิภพแล้ว เรา จะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย ท่านจักอยู่เป็นสุข.
[๖๙๘] แผ่นดินมีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้นกฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษ ด้วยหมู่แมลงค่อมทอง มีหญ้าเขียวชะอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มีดอกปทุมร่วงหล่น อยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท ๘ มุม มีเสาพันเสาอันขัดเกลาดีแล้วทุกเสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็น ผู้บังเกิดในวิมานทิพย์อันกว้างใหญ่ เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์ มี สุขหาอันใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของพระองค์ พระองค์เห็นจะ ไม่ทรงหวังวิมานของพระอินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระ องค์นี้ ก็เหมือนของท้าวสักกะผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น.
[๖๙๙] อานุภาพของคนรับใช้ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของท้าวสักกเทว ราชผู้รุ่งเรือง ใครๆ ไม่พึงถึงแม้ด้วยใจ.
[๗๐๐] เราปรารถนาวิมานของเทวดาทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในความสุขนั้น จึงไป รักษาอุโบสถอยู่บนจอมปลวก.
[๗๐๑] ข้าพระองค์พร้อมด้วยบุตรเข้าไปสู่ป่าแสวงหาเนื้อ ญาติเหล่านั้นไม่รู้ว่า ข้าพระองค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์ขอทูลลาพระภูริทัตผู้เรืองยศ โอรส แห่งกษัตริย์แคว้นกาสี พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระบาทก็จะได้ไป เยี่ยมญาติ.
[๗๐๒] การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความพอใจของเราหนอ แต่ ว่ากามารมณ์เช่นนี้ เป็นของหาไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนา จะอยู่ เราจะบูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไปเยี่ยม ญาติได้โดยสวัสดี.
[๗๐๓] ดูกรพราหมณ์ เมื่อท่านทรงทิพยมณีนี้อยู่ ย่อมได้ปศุสัตว์และบุตรทั้ง หลายตามปรารถนา ท่านจงถือเอาทิพยมณีไป ปราศจากโรคภัยเป็นสุข เถิด.
[๗๐๔] ข้าแต่ภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์แก่แล้วจักบวช ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย.
[๗๐๕] ถ้าหากพรหมจรรย์มีการแตกหัก กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายเกิด ขึ้น ท่านอย่าได้มีความหวั่นใจ ควรมาหาเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่าน มากๆ.
[๗๐๖] ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่ง นัก ข้าพระองค์จักกลับมาอีก ถ้าจักมีความต้องการ.
[๗๐๗] พระภูริทัตตรัสดำรัสนี้แล้ว จึงใช้ให้นาคมาณพ ๔ ตนไปส่งว่า ท่าน ทั้งหลายจงมา เตรียมตัวพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว นาคมาณพ ๔ ตนที่ภูริทัตตรัสใช้ให้ไปส่ง ฟังรับสั่งของภูริทัต เตรียมตัวแล้ว พา พราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว.
[๗๐๘] แก้วมณีที่สมมติกันว่าเป็นมงคล เป็นของดี เป็นเครื่องปลื้มรื่นรมย์ใจ เกิดแต่หิน สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ที่ท่านถืออยู่นี้ใครได้มาไว้.
[๗๐๙] แก้วมณีนี้ พวกนางนาคมาณวิกาประมาณพันหนึ่งล้วนมีตาแดง แวด ล้อมอยู่โดยรอบในกาลวันนี้ เราเดินทางไปได้แก้วมณีนั้นมา.
[๗๑๐] แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่หามาได้ด้วยดี อันบุคคลเคารพบูชา ประดับ ประดาเก็บรักษาไว้ด้วยดีทุกเมื่อ ยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ เมื่อ บุคคลปราศจากการระวังในการเก็บรักษา หรือในการประดับประดา แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่บุคคลหามาได้โดยไม่แยบคาย ย่อมเป็นไป เพื่อความพินาศ คนผู้ไม่มีกุศลไม่ควรประดับแก้วมณีอันเป็นทิพย์นี้ เรา จักให้ทองคำร้อยแท่ง ขอท่านจงให้แก้วมณีนี้แก่เราเถิด.
[๗๑๑] แก้วมณีของเรานี้ ไม่ควรแลกเปลี่ยนด้วยโคหรือรัตนะ เพราะแก้วมณี อันเกิดแต่หิน บริบูรณ์ด้วยลักษณะ เราจึงไม่ขาย.
[๗๑๒] ถ้าท่านไม่แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยโคหรือรัตนะ เมื่อเช่นนั้น ท่านจะ แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยอะไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความข้อนั้น แก่เรา.
[๗๑๓] ผู้ใดบอกนาคใหญ่ผู้มีเดช ยากที่บุคคลจะล่วงเกินได้ เราจะให้แก้วมณี อันเกิดแต่หิน อันรุ่งเรืองด้วยรัศมี.
[๗๑๔] ครุฑผู้ประเสริฐหรือไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาแสวงหานาค ประสงค์จะนำไปเป็นอาหารของตน.
[๗๑๕] ดูกรพราหมณ์ เรามิได้เป็นครุฑ เราไม่เคยเห็นครุฑ เราเป็นผู้สนใจด้วย งูพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่าเป็นหมองู.
[๗๑๖] ท่านมีกำลังอะไร มีศิลปอะไร ท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร จึงไม่ยำเกรงนาค.
[๗๑๗] ครุฑมาบอกวิชาหมองูอย่างสูง แก่ฤาษีโกสิยโคตรผู้อยู่ในป่า ประพฤติ ตบะอยู่สิ้นกาลนาน เราเข้าไปหาฤาษีตนหนึ่งซึ่งนับเข้าในพวกฤาษีผู้ บำเพ็ญตนอาศัยอยู่ในระหว่างภูเขา ได้บำรุงท่านโดยเคารพ มิได้เกียจ คร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญวัตรและพรหมจรรย์ เป็นผู้มีโชค เมื่อได้สมาคมกับเรา จึงสอนมนต์ทิพย์ให้แก่เราด้วยความ รัก เราทรงไว้ซึ่งผลอันวิเศษในมนต์นั้น จึงไม่กลัวต่อนาค เราเป็น อาจารย์ของพวกหมอฆ่าพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่าอาลัมพายน์.
[๗๑๘] เราทั้งหลายจงรับแก้วไว้สิ ดูกรพ่อโสมทัต เจ้าจงรู้ไว้ เราทั้งหลายอย่า ละสิริอันมาถึงตนด้วยท่อนไม้ตามชอบใจสิ.
[๗๑๙] ข้าแต่พ่อผู้เป็นพราหมณ์ ภูริทัตนาคราชบูชาคุณพ่อผู้ไปถึงที่อยู่ของตน เพราะเหตุไร คุณพ่อจึงปรารถนาประทุษร้ายต่อผู้กระทำดีเพราะความหลง อย่างนี้ ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ คุณพ่อไป ขอท่านเถิด ภูริทัตนาคราชคงจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่คุณพ่อ.
[๗๒๐] ดูกรโสมทัต การกินของที่ถึงมือ ถึงภาชนะ หรือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นความประเสริฐ ประโยชน์ที่เห็นประจักษ์ อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย.
[๗๒๑] คนประทุษร้ายมิตร สละความเกื้อกูล จะต้องหมกไหม้อยู่ในนรกอัน ร้ายแรง แผ่นดินย่อมสูบผู้นั้น หรือเมื่อผู้นั้นมีชีวิตอยู่ก็ซูบซีด ถ้า คุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ ผมเข้าใจว่า คุณพ่อ จักต้องได้ประสบเวรที่ตนทำไว้ในไม่ช้า.
[๗๒๒] พราหมณ์ทั้งหลายบูชายัญแล้ว ย่อมบริสุทธิ์ได้ เราจักบูชามหายัญ ก็จัก พ้นจากบาปด้วยการบูชายัญอย่างนี้.
[๗๒๓] เชิญเถิด ผมจะขอแยกไป ณ บัดนี้ วันนี้ผมจะไม่ขออยู่ร่วมกับคุณพ่อ จะไม่ขอเดินทางร่วมกับคุณพ่อผู้ทำกรรมหยาบอย่างนี้สักก้าวเดียว.
[๗๒๔] โสมทัตผู้ได้ยินได้ฟังมามาก ครั้นกล่าวกะบิดา และประกาศกะเทวดา ทั้งหลายอย่างนี้แล้ว ก็หลีกไปจากที่นั้น
[๗๒๕] ท่านจงจับเอานาคใหญ่นั่น จงส่งแก้วมณีนั้นมาให้เรา นาคใหญ่นั่นมี รัศมีดังสีแมลงค่อมทอง ศีรษะแดง ตัวปรากฏดังกองปุยนุ่น นอนอยู่ บนจอมปลวกนั่น ท่านจงจับเอาเถิดพราหมณ์.
[๗๒๖] อาลัมพายน์เอาทิพยโอสถทาตัว และร่ายมนต์ทำการป้องกันตัวอย่างนี้ จึงสามารถจับพญานาคนั้นได้.
[๗๒๗] เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์ผู้ให้สำเร็จ สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงมา เฝ้าแล้ว อินทรีย์ของพระแม่เจ้าไม่ผ่องใส พระพักตร์พระแม่เจ้าก็เกรียม ดำ เพราะทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์เช่นนี้ พระพักตร์พระแม่เจ้า เกรียมดำ เหมือนดอกบัวอยู่ในมือถูกขยี้ ฉะนั้น.
[๗๒๘] ใครว่าล่วงเกินพระแม่เจ้าหรือ หรือพระแม่เจ้ามีเวทนาอะไร เพราะ ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์ผู้มาเฝ้า พระพักตร์ของพระแม่เจ้าเกรียมดำ เพราะเหตุไร.
[๗๒๙] พ่อสุทัสสนะลูกรักเอ๋ย แม่ได้ฝันเห็นล่วงมาเดือนหนึ่งแล้วว่า (มี) ชาย มาตัดแขนของแม่ดูเหมือนข้างขวา พาเอาไปทั้งที่เปื้อนเลือด เมื่อแม่ กำลังร้องไห้อยู่ ตั้งแต่แม่ได้ฝันเห็นแล้ว เจ้าจงรู้เถิดว่าแม่ไม่ได้ความสุข ทุกวันทุกคืน.
[๗๓๐] แต่ก่อนนางกัญญาทั้งหลาย ผู้มีร่างกายอันสวยสดงดงาม ปกคลุมด้วย ตาข่ายทอง พากันบำเรอภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้นย่อมไม่ปรากฏ แต่ ก่อนเสนาทั้งหลายผู้ถือดาบอันคมกล้า งามดังกรรณิการ์ พากันห้อม ล้อมภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้นย่อมไม่ปรากฏ เอาละเราจักไปยังนิเวศน์ แห่งภูริทัตเดี๋ยวนี้ จักไปเยี่ยมน้องของเจ้า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ ด้วยศีล.
[๗๓๑] ภริยาทั้งหลายของภูริทัต เห็นพระมารดาของภูริทัตเสด็จมา ต่างพากัน ประคองแขนคร่ำครวญว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทั้งหลายไม่ทราบ เกล้า ล่วงมาเดือนหนึ่งแล้วว่า ภูริทัตผู้เรืองยศ โอรสของพระแม่เจ้า สิ้นชีพเสียแล้วหรือว่ายังดำรงชนม์อยู่.
[๗๓๒] เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน ดังนางนกพลัดพราก จากลูกเห็นแต่รังเปล่า เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้น กาลนาน ดังนางหงส์ขาวพลัดพรากจากลูกอ่อน เราไม่เห็นภูริทัต จัก ตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน ดังนางนกจากพรากในเปือกตมอันไม่มี น้ำเป็นแน่ เราไม่เห็นภูริทัตจักตรอมตรมด้วยความโศก เปรียบเหมือน เบ้าของช่างทอง เกรียมไหม้ในภายใน ไม่ออกไปภายนอก ฉะนั้น.
[๗๓๓] บุตรธิดาและชายาในนิเวศน์ของภูริทัต ล้มนอนระเนระนาด ดังต้นรัง อันลมฟาดหักลง ฉะนั้น.
[๗๓๔] อริฏฐะและสุโภคะ ได้ฟังเสียงอันกึกก้องของบุตรธิดาและชายาของ ภูริทัตเหล่านั้นในนิเวศน์ของภูริทัต จึงวิ่งไปในระหว่าง ช่วยกันปลอบ มารดาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัยอย่าเศร้าโศกไปเลย เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมมีความตายและความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอย่างนี้ การ ตายและการเกิดขึ้นนี้ เป็นความแปรของสัตว์โลก.
[๗๓๕] ดูกรพ่อสุทัสสนะ ถึงแม้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ก็แต่ว่า แม่เป็นผู้อันความเศร้าโศกครอบงำแล้ว ถ้าเมื่อแม่ไม่ได้เห็นภูริทัตคืน วันนี้ เจ้าจงรู้ว่า แม่ไม่ได้เห็นภูริทัต เห็นจะต้องละชีวิตไปแน่.
[๗๓๖] ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัย อย่าเศร้าโศกไปเลย ลูกทั้ง ๓ จักเที่ยว แสวงหาภูริทัตไปตามทิศน้อยทิศใหญ่ ที่ภูเขา ซอกเขา บ้าน และ นิคมแล้วจักนำท่านพี่ภูริทัตมา พระแม่เจ้าจักได้ทรงเห็นท่านพี่ภูริทัตมา ภายใน ๗ วัน.
[๗๓๗] นาคหลุดพ้นจากมือ ไปฟุบลงที่เท้าของท่านคุณพ่อ มันกัดเอากระมัง หนอ คุณพ่ออย่ากลัวเลย จงถึงความสุขเถิด.
[๗๓๘] นาคตัวนี้ ไม่สามารถจะทำความทุกข์อะไรๆ แก่เราเลย หมองูมีอยู่ เท่าใด ก็ไม่ดียิ่งไปกว่าเรา.
[๗๓๙] คนเซอะอะไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาท้ารบในที่ประชุมชน ขอ บริษัทจงฟังเรา.
[๗๔๐] ดูกรหมองู ท่านจงต่อสู้กับเราด้วยนาค เราจักต่อสู้กับท่านด้วยลูกเขียด ในการรบของเรานั้น เราทั้งสองจงมาพนันกันด้วยเดิมพัน ๕๐๐๐.
[๗๔๑] ดูกรมาณพ เราเท่านั้นเป็นคนมั่งคั่งด้วยทรัพย์ ท่านเป็นคนจนใครจะ เป็นคนรับประกันท่าน และอะไรเป็นเดิมพันของท่าน เดิมพันของเรามี และคนรับประกันเช่นนั้นก็มี ในการรบของเราทั้งสอง เราทั้งสองมา พนันกันด้วยเดิมพัน ๕๐๐๐.
[๗๔๒] ดูกรมหาบพิตรผู้ทรงเกียรติ เชิญสดับคำของอาตมภาพ ขอความเจริญจง มีแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรทรงรับประกันทรัพย์ ๕๐๐๐ ของอาตมภาพ เถิด.
[๗๔๓] ข้าแต่ดาบส หนี้เป็นของบิดา หรือว่าเป็นหนี้ที่ท่านทำเอง เพราะเหตุไร ท่านจึงขอทรัพย์มากมายอย่างนี้ต่อข้าพเจ้า.
[๗๔๔] เพราะนายอาลัมพายน์ ปรารถนาจะต่อสู้กับอาตมภาพด้วยนาค อาตมภาพ จักให้ลูกเขียดกัดนายอาลัมพายน์ ดูกรมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ขอเชิญ พระองค์ผู้มีหมู่ทหารดาบเป็นกองทัพเสด็จไปทอดพระเนตรนาคในวันนี้.
[๗๔๕] ข้าแต่ดาบส เราไม่ได้ดูหมิ่นท่านโดยทางศิลปศาสตร์เลย ท่านมัวเมา ด้วยศิลปศาสตร์มากไป ไม่ยำเกรงนาค.
[๗๔๖] ดูกรพราหมณ์ แม้อาตมาก็ไม่ได้ดูหมิ่นท่านในทางศิลปศาสตร์ แต่ว่า ท่านล่อลวงประชาชนนักด้วยนาคอันไม่มีพิษ ถ้าชนพึงรู้ว่านาคของท่าน ไม่มีพิษ เหมือนอย่างอาตมารู้แล้วท่านก็จะไม่ได้แกลบสักกำมือหนึ่งเลย จักได้ทรัพย์แต่ที่ไหนเล่าหมองู.
[๗๔๗] ท่านผู้นุ่งหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เกล้าชฎารุ่มร่าม เหมือนคนเซอะ เข้ามาในประชุมชน ดูหมิ่นนาคเช่นนี้ว่าไม่มีพิษ ท่านเข้ามาใกล้แล้วก็ จะพึงรู้ว่านาคนั้นเต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุด ข้าพเจ้าเข้า ใจว่านาคตัวนี้จักทำท่านให้แหลกเป็นเหมือนเถ้าไปโดยฉับพลัน.
[๗๔๘] พิษของงูเรือน งูปลา งูเขียว พึงมี แต่พิษของนาคมีศีรษะแดง ไม่มี เลยทีเดียว.
[๗๔๙] ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลายผู้สำรวม ผู้มีตบะมาว่า ทายก ทั้งหลายให้ทานในโลกนี้แล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านมีชีวิตอยู่ จงให้ทาน เสียเถิด ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้ นาคนี้มีฤทธิ์มาก มีเดช ยากที่ ใครๆ จะก้าวล่วงได้ เราจะให้นาคนั้นกัดท่าน มันก็จักทำท่านให้เป็น เถ้าไป.
[๗๕๐] ดูกรสหาย แม้เราก็ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลายผู้สำรวม ผู้มีตบะมา ว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านนั่นแหละ เมื่อมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสีย ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้ ลูกเขียดชื่อ ว่าอัจจิมุขีนี้ เต็มด้วยเดชเหมือนของนาคอันสูงสุด เราจักให้ลูกเขียดนั้น กัดท่าน ลูกเขียดนั้นจักทำท่านให้เป็นเถ้าไป นางเป็นธิดาของท้าวธตรฐ เป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา นางอัจจิมุขีผู้เต็มไปด้วยเดช เหมือน ของนาคอันสูงสุดนั้นจงกัดท่าน.
[๗๕๑] ดูกรมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักหยดพิษลงบนแผ่นดิน มหาบพิตรจง ทรงทราบเถิด ต้นหญ้าลดาวัลย์ และต้นยาทั้งหลาย พึงเหี่ยวแห้งไป โดยไม่ต้องสงสัย.
[๗๕๒] ดูกรมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักขว้างพิษขึ้นไปบนอากาศ มหาบพิตรจง ทราบเถิดว่า ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกตลอด ๗ ปี
[๗๕๓] ดูกรมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักหยดพิษลงในน้ำ มหาบพิตรจงทราบ เถิด สัตว์น้ำมีประมาณเท่าใด ทั้งปลาและเต่าก็พึงตายหมด.
[๗๕๔] น้ำที่โลกสมมติว่าสามารถลอยบาปได้ มีอยู่ที่ท่าปยาคะ ภูตผีอะไรฉุดเรา ลงสู่แม่น้ำยมุนาอันลึก.
[๗๕๕] นาคราชใด เป็นใหญ่ในโลก เรืองยศ พันเมืองพาราณสีไว้โดยรอบ เราเป็นลูกของนาคราชผู้ประเสริฐนั้น ดูกรพราหมณ์ นาคทั้งหลายเรียก เราว่า สุโภคะ.
[๗๕๖] ถ้าท่านเป็นโอรสของนาคราชผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระราชาของชนชาวกาสี เป็นอธิบดีอมร พระชนกของท่านเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่ง และพระชนนี ของท่าน ก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมู่มนุษย์ ผู้มีอานุภาพมากเช่นท่าน ย่อมไม่สมควรจะฉุดแม้คนเพียงเป็นทาสของพราหมณ์ให้จมน้ำเลย.
[๗๕๗] เจ้าแอบต้นไม้ยิงเนื้อซึ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำ เนื้อถูกยิงแล้วรู้สึกได้ด้วยกำลัง ลูกศร จึงวิ่งหนีไปไกล เจ้าไปพบมันล้มอยู่ในป่าใหญ่ จึงแล่เนื้อหาบ มาถึงต้นไทรในเวลาเย็น อันกึกก้องไปด้วยเสียงร้องของนกแขกเต้า และนกสาลิกา มีใบเหลืองเกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทร มีฝูงนกดุเหว่า ร้องอยู่ระงม น่ารื่นรมย์ใจ ภูมิภาคเขียวไปด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ พี่ชายของเราเป็นผู้รุ่งเรืองไปด้วยฤทธิ์และยศ มีอานุภาพมากอัน นางนาคกัญญาทั้งหลายแวดล้อม ปรากฏแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทรนั้น ท่าน พาเจ้าไปเลี้ยงดู บำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง เป็นคนประทุษร้าย ต่อท่านผู้ไม่ประทุษร้าย เวรนั้นมาถึงเจ้าในที่นี้แล้ว เจ้าจงเหยียดคอออก เร็วๆ เถิด เราจักไม่ไว้ชีวิตแก่เจ้า เราระลึกถึงเวรที่เจ้าทำต่อพี่เรา จัก ตัดศีรษะเจ้าเสีย.
[๗๕๘] พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ ๑ ผู้ประกอบในการขอ ๑ ผู้บูชาไฟ ๑ ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้ พราหมณ์เป็นผู้ที่ใครๆ ไม่ควรจะฆ่า.
[๗๕๙] เมืองของท้าวธตรฐอยู่ภายใต้แม่น้ำยมุนา จดหิมวันตบรรพต ซึ่งตั้งอยู่ ไม่ไกลแม่น้ำยมุนาล้วนแล้วไปด้วยทองคำงามรุ่งเรือง พี่น้องร่วมท้อง ของเรา ล้วนเป็นคนมีชื่อลือชา อยู่ในเมืองนั้น ดูกรพราหมณ์ พี่น้อง ของเราเหล่านั้นจักว่าอย่างไร เจ้าจักต้องเป็นอย่างนั้น.
[๗๖๐] ข้าแต่พี่สุโภคะ ยัญและเวทย์ทั้งหลายในโลกที่พวกพราหมณ์ประกอบ ขึ้น ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ผู้ติเตียนพราหมณ์ซึ่งใครๆ ไม่ควรติเตียน ชื่อว่าย่อมละทิ้งทรัพย์ เครื่องปลื้มใจและธรรมของ สัตบุรุษเสีย.
[๗๖๑] พวกพราหมณ์ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวก แพศย์ยึดไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอวรรณะทั้ง ๔ นี้ เข้าถึงการ งานตามที่อ้างมาเฉพาะอย่าง ๆ นั้นกล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจจัดไว้.
[๗๖๒] พระพรหมผู้สร้างโลก ท้าววรุณ ท้าวกุเวร ท้าวโสมะ พระยายม พระจันทร์ พระวายุ พระอาทิตย์ แม้ท่านเหล่านี้ ก็ล้วนบูชายัญมามาก แล้ว และบูชาสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ ท้าวอรชุน และท้าวภีมเสน มีกำลังมาก มีแขนนับพัน ไม่มีใครเสมอในแผ่นดิน ยกธนูได้ ๕๐๐ คัน ก็ได้บูชาไฟมาแต่ก่อน.
[๗๖๓] ดูกรพี่สุโภคะ ผู้ใดเลี้ยงพราหมณ์ทั้งหลายมานานด้วยข้าว และน้ำตาม กำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่ ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง.
[๗๖๔] พระเจ้ามุจลินท์สามารถบูชาเทวดาคือไฟ ผู้กินมาก มีสีไม่ทราม ให้ อิ่มหนำด้วยเนยใส ทรงบูชายัญวิธีแก่เทวดา คือไฟผู้ประเสริฐแล้วได้ ไปบังเกิดในทิพยคติ.
[๗๖๕] พระเจ้าทุทีป มีอานุภาพมาก มีอายุยืน ๑๐๐๐ ปี มีพระรูปงามน่าดูยิ่ง นัก ทรงละแว่นแคว้นอันไม่มีที่สุดพร้อมทั้งเสนาเสด็จออกผนวชแล้ว ได้เสด็จสู่สวรรค์.
[๗๖๖] ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราช ทรงปราบแผ่นดินอันมีสาครเป็น ที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสายัญอันงานยิ่ง ล้วนแล้วด้วยทอง ทรงบูชาไฟ แล้วได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคา และมหาสมุทร เป็นที่สั่ง สมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพของผู้ใด ผู้นั้น คือ พระเจ้า อังคโลมบาท ทรงบำเรอไฟแล้วเสด็จไปเกิดในพระนครของท้าว สหัสสนัยน์.
[๗๖๗] เทวดาผู้ประเสริฐมีฤทธิ์มาก มียศ เป็นเสนาบดีของท้าววาสวะใน ไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วยโสมยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้ เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง.
[๗๖๘] เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์ เรืองยศ สร้างโลกนี้โลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี ขุนเขาหิมวันต์และเขาวิชฌะ ได้บูชาไฟมาก่อน ภูเขามาลาคิริ ขุนเขา หิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัศนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้ และภูเขาใหญ่อื่นๆ กล่าวกันว่าพวกพราหมณ์ผู้บูชายัญได้ ก่อสร้างทำไว้.
[๗๖๙] ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้ กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทร จึงดื่มไม่ได้.
[๗๗๐] วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็นอันมากมีอยู่ในแผ่นดินของ ท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้งหลายมีอยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจจิมทิศ ทักษิณ และทิศอุดร ย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด.
[๗๗๑] ดูกรพ่ออริฏฐะ ความกาลีคือความปราชัยของนักปราชญ์ทั้งหลาย กลับ เป็นความมีชัยของคนโง่เขลาผู้ทรงเวทย์ ไตรเพทเป็นเหมือนอาการของ พยับแดด เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป มีคุณทางหลอกลวง พาเอา คนมีปัญญาไปไม่ได้ ไตรเพทมิได้มีเพื่อป้องกันคนผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ ล้างผลาญความเจริญเหมือนไฟที่คนบำเรอแล้ว ย่อมป้องกันคนโทสจริต ทำกรรมชั่วไม่ได้ ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด พร้อม ทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าให้ไฟเผา ไฟอันมีเดชไม่มีใคร เทียมเผาสิ่งนั้นหมดก็ไม่อิ่ม ใครจะพึงทำให้ไฟซึ่งรู้รสสองอย่างให้อิ่มได้ นมสดแปรไปได้เป็นธรรมดา คือ แปรเป็นนมส้ม แล้วเป็นเนยข้น ฉันใด ไฟก็มีความแปรเป็นธรรมดา ฉันนั้น ไฟประกอบด้วยความเพียร (ในการสีไฟ) จึงจะเกิดได้ ไม่เคยได้เห็นไฟเข้าไปอยู่ในไม้แห้ง และ ไม้สด คนสีไฟไม่สี ไฟก็ไม่เกิด ไฟย่อมไม่เกิดเพราะไม่มีคนทำให้เกิด ถ้าแหละไฟพึงอยู่ภายในไม้แห้งและไม้สด ป่าทั้งหมดในโลกก็จะพึงแห้ง ไป และไม้แห้งก็จะพึงลุกโพลง ถ้าคนทำบุญได้โดยเอาไม้และหญ้าให้ ไฟกิน คนเผาถ่าน คนหุงเกลือ พ่อครัว และคนเผาศพ ก็พึงทำบุญได้ ถ้าแม้พราหมณ์เหล่านี้ทำบุญได้เพราะการเลี้ยงไฟ เพราะเรียนมนต์ เพราะเลี้ยงไฟให้อิ่มหนำ ในโลกนี้ใครๆ ผู้เอาของให้ไฟกินจะชื่อว่าทำ บุญหาได้ไม่ เพราะเหตุอย่างไรเล่า เพราะไฟเป็นผู้อันโลกยำเกรง รู้รสสองอย่าง พึงกินได้มากทั้งของไม่มีกลิ่นอันไม่น่าฟูใจ คนเป็น อันมากไม่ชอบ พวกมนุษย์ละเว้น และเป็นของไม่ประเสริฐ คน บางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขุนับถือน้ำเป็นเทวดา ทั้งหมดนี้พูดผิด ไฟและน้ำไม่ใช่เทพเจ้าตนใดตนหนึ่ง โลกบำเรอไฟ ซึ่งไม่มีอินทรีย์ ไม่มีกายที่จะรู้สึกได้ ส่องแสงสว่าง เป็นเครื่องทำการ งานของประชาชน เมื่อยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติได้อย่างไร พวกพราหมณ์ผู้ต้องการเลี้ยงชีวิตในโลกนี้กล่าวว่า พระพรหมครอบงำ ได้ทั้งหมด และว่าพระพรหมบำเรอไฟ พระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง และมีอำนาจไม่มีใครสร้าง กลับไปไหว้ไฟที่ตนสร้างเพื่อประโยชน์อะไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะเยาะ ไม่ควรแก่การเพ่งเล็ง ไม่เป็นความ จริง พวกพราหมณ์ในปางก่อนก่อขึ้นไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะ พราหมณ์เหล่านั้น เมื่อลาภและสักการะเกิดขึ้น จึงร้อยกรองยัญพิธีว่า เป็นธรรมสงบระงับ ด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ พวกพราหมณ์ถือการทรง ไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และ พวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง ๔ นี้ เข้าถึงการงานตามที่อ้างมา เฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจจัดไว้ถ้าคำนี้พึง เป็นคำจริงเหมือนดังที่พวกพราหมณ์กล่าวไว้ คนที่ไม่ใช่กษัตริย์ไม่พึงได้ ราชสมบัติ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่พึงศึกษามนต์ คนนอกจากแพศย์ไม่ พึงทำการไถเลย และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น เพราะคำนี้ เป็นคำไม่จริง เป็นคำเท็จ พวกคนหาเลี้ยงท้องกล่าวไว้ คนไม่มีปัญญา หลงเชื่อ บัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นด้วยตนเอง เพราะพวกกษัตริย์ ย่อมเก็บส่วนจากพวกแพศย์ พวกพราหมณ์ถือศาตราเที่ยวฆ่าสัตว์ เพราะ เหตุไร พระพรหมจึงไม่ทำโลกอันแตกต่างกันเช่นนั้นให้ตรงเสีย ถ้า แหละพระพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของ หมู่สัตว์ ทำไมจึงจัดโลกทั้งปวงให้มีความทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำโลกทั้งปวง ให้มีความสุข ถ้าแหละพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ เหตุไรจึงทำโลกโดยไม่เป็นธรรม คือ มารยา และเจรจาคำเท็จ มัวเมา ถ้าแหละพระพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญ ในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตอยุติธรรม เมื่อธรรมมีอยู่ พรหมนั้นก็จัดโลกไม่เที่ยงธรรม ตั๊กแตน ผีเสื้อ งู แมลงภู่ หนอน และแมลงวัน ใครฆ่าแล้วย่อมบริสุทธิ์ ธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ของพระอริยะ เป็นธรรมผิดๆ ของชาวกัมโพชรัฐเป็นอันมาก.
[๗๗๒] ถ้าแหละคนฆ่าเขาแล้วย่อมบริสุทธิ์ และผู้ถูกฆ่าย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พวกพราหมณ์ก็พึงฆ่าพวกพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ หรือพึงฆ่าพวกที่หลง เชื่อถ้อยคำ ของพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ พวกเนื้อ ปศุสัตว์และโคตัว ไหนๆ ไม่ได้อ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลย ล้วนแต่ดิ้นรนต้องการมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้ ชนทั้งหลายย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์เข้าผูกที่เสายัญ พวก คนพาลย่อมยื่นหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญเป็นที่ผูกสัตว์ ด้วยการพรรณนา ต่างๆ ว่า เสายัญนี้จะให้สิ่งที่น่าใคร่แก่ท่านในโลกหน้า จะเป็นของ ยั่งยืนในสัมปรายภพ ถ้าว่าบุคคลพึงได้แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทองที่เสายัญ ในไม้แห้งและไม้สดไซร้ อนึ่ง เสายัญ จะพึงให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์ได้ พราหมณ์เท่านั้นพึงบูชายัญ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ก็จะไม่พึงให้พราหมณ์บูชายัญอะไรๆ เลย แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง จักมีที่เสายัญ ที่ไม้แห้ง ที่ไม้สดที่ไหน เสายัญจะพึงให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์ที่ไหน พราหมณ์เหล่านี้เป็นคนโอ้อวด หยาบช้า โง่เขลา โลภจัด ยื่นหน้า เข้าไปด้วยการพรรณนาต่างๆ ว่า จงถือเอาไฟมา และจงให้ทรัพย์แก่ เรา แต่นั้นท่านให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงแล้ว จักมีความสุข พวกที่โกนผม โกนหนวดและตัดเล็บพาพระราชา หรือมหาอำมาตย์เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่างๆ ย่อมถือเอาทรัพย์ด้วยเวท พวก พราหมณ์ผู้โกหก พอหลอกลวงได้คนหนึ่ง ก็มาประชุมกินกันเป็นอัน มากเหมือนฝูงกาตอมนกเค้า หลอกเอาจนเกลี้ยงแล้ว เก็บไว้ที่บริเวณ บูชายัญ พวกพราหมณ์ลวงผู้นั้นได้คนหนึ่งอย่างนี้แล้ว ก็พากันมาเป็น อันมาก ใช้ความพยายามล่อหลอกพรรณนา ด้วยสิ่งที่ไม่แลเห็นปล้น เอาทรัพย์ที่แลเห็นไป เหมือนพวกราชบุรุษ ที่พระราชาสอนให้เก็บส่วย เก็บเอาทรัพย์ของพระราชาไป ฉะนั้น ดูกรอริฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้น เป็นเหมือนโจร ไม่ใช่สัตบุรุษเป็นผู้ควรจะฆ่าเสีย แต่ไม่มีใครฆ่าในโลก พวกพราหมณ์กล่าวว่า ไม้ทองหลางเป็นแขนขวาของพระอินทร์ จึงตัด เอาไม้ทองหลางมาใช้ในยัญนี้ ถ้าคำนั้นเป็นคำจริง พระอินทร์ก็แขนขาด ทำไมพระอินทร์จึงชนะพวกอสูรด้วยกำลังแขนนั้นได้ คำนั้นเป็นคำเท็จ พระอินทร์ยังมีแขนพร้อม เป็นเทวดาชั้นดีเลิศ ไม่มีใครฆ่าได้ กำจัด อสูรได้ มนต์ของพราหมณ์เหล่านี้เหลวเปล่า หลอกลวงกันให้เห็น ได้เฉพาะในโลกนี้ ภูเขามาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขา สุทัศน์ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้และภูเขาใหญ่อื่นๆ ที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ที่กล่าวกันว่าพวก พราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา อิฐเช่นนั้นก็ไม่ใช่ธรรม ชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่างอื่น ไม่หวั่นไหว เห็นได้ชัดๆ ว่าเป็นหิน ไม่ใช่อิฐเป็นหินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ ที่พวก พราหมณ์สรรเสริญยัญกล่าวไว้ว่า ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ชนทั้งหลายเรียก พราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบ ในการขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้นผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่ง มหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้ แม่น้ำพัดเอา พราหมณ์ผู้เรียนเวท ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมี รสไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ ที่ เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่ใช่เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำ ในบ่อเหล่านั้นดื่มไม่ได้ เป็นน้ำรู้รสสองอย่าง ครั้นครั้งดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ ปฐมกัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้นก่อน โดยธรรม แม้นั้นใครๆ ไม่เลวไปกว่าใคร ท่านกล่าวจำแนกส่วนไว้อย่างนี้ แม้ ลูกคนจัณฑาลก็พึงเรียนเวท สวดมนต์ได้ (ถ้า) เป็นคนฉลาดมีความคิด หัวของเขาก็ไม่พึงแตกเจ็ดเสี่ยง มนต์เหล่านี้พวกพรหมสร้างไว้เพื่อฆ่า ตน เป็นการสร้างแต่ปาก เป็นการสร้างยึดถือไว้ด้วยความโลภ เปลื้อง ได้ยาก เข้าถึงคลองด้วยคำของพวกพราหมณ์ผู้แต่งกาพย์กลอน จิตของ พวกคนโง่ ยังหลงในทางลุ่มๆ ดอนๆ คนไม่มีปัญญาเชื่อเอาจริงจัง ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง มีกำลังอย่างลูกผู้ชาย พราหมณ์ไม่มี กำลังเช่นนั้นเลย ความเป็นมนุษย์ของพราหมณ์เหล่านั้น พึงเห็นเหมือน ของโค ชาติของพราหมณ์เหล่านั้นเท่านั้นไม่มีใครเสมอ สิ่งอื่นๆ เสมอกันหมด ถ้าแหละพระราชาทรงชำนะหมู่ศัตรูได้โดยลำพังพระองค์ เอง ประชาราษฎร์ของพระราชานั้นพึงมีสุขอยู่เสมอ มนต์ของกษัตริย์ และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ถ้าไม่วินิจฉัยความแห่งมนต์ และไตรเพทนั้นก็ไม่รู้เหมือนทางที่น้ำท่วม มนต์ของกษัตริย์และไตรเพท เหล่านี้มีความหมายเสมอกัน ลาภ ไม่มีลาภ ยศ และไม่มียศ ทั้งหมด เทียว เป็นธรรมดาของวรรณทั้ง ๔ นั้น พวกคฤหบดีใช้คนจำนวนมาก ให้ทำการงานในแผ่นดิน เพราะเหตุแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก ฉันใด แม้พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรเพทก็ฉันนั้น ย่อมใช้คนเป็นจำนวนมากให้ ทำการงานในแผ่นดิน ในวันนี้ พราหมณ์เหล่านั้นเสมอกันกับคฤหบดี มีความขวนขวายประกอบในกามคุณเป็นนิตย์ ใช้คนเป็นจำนวนมากให้ ทำการงานในแผ่นดินเหมือนกัน พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้รู้รสสองอย่าง หาปัญญามิได้.
[๗๗๓] กระบวนกลอง ตะโพน สังข์ บัณเฑาะว์ และมโหรทึกของใคร มา ข้างหน้า ทำให้พระราชาจอมทัพทรงหรรษา ใครมีสีหน้าสุกใสด้วยแผ่น ทองคำอันหนา มีพรรณดังสายฟ้า ชันษายังหนุ่มแน่น สอดสวมแล่งธนู รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่นั่นเป็นใคร ใครมีพักตร์ผ่องใสเพียงดังทอง เหมือน ถ่านไฟไม้ตะเคียนซึ่งลุกโชนอยู่ที่ปากเบ้า รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่น มีฉัตรทองชมพูนุชมีซี่น่ารื่นรมย์ใจสำหรับกันรัศมีพระอาทิตย์ รุ่งเรือง ด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมีปัญญาประเสริฐ มีพัดวาลวิชนีอย่างดีเยี่ยม อัน คนใช้ประคอง ณ เบื้องบนเศียรทั้งสองข้าง คนทั้งหลายถือกำหางนกยูง อันวิจิตรอ่อนสลวย มีด้ามล้วนแล้วด้วยทองและแก้วมณี จรลีมาทั้ง สองข้าง ข้างหน้าของใคร กุณฑลอันกลมเกลี้ยง มีรัศมีดังสีถ่านไม้ ตะเคียนซึ่งลุกโชนอยู่ที่ปากเบ้า งดงามอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร เส้นผมของใครต้องลมอยู่ไหวๆ ปลายสนิท ละเอียดดำ งามจดนลาต ดังสายฟ้าพุ่งขึ้นจากท้องฟ้า ใครมีเนตรซ้ายขวากว้างและใหญ่ งาม มี พักตร์ผ่องใส ดังคันฉ่องทอง ใครมีโอฐสะอาดเหมือนสังข์อันขาวผ่อง เมื่อเจรจา (แลเห็น) ฟันขาวสะอาดงามดังดอกมณฑารพตูม ใครมีมือ และเท้าทั้งสองมีสีเสมอด้วยน้ำครั่ง ตั้งอยู่ในที่สบาย มีริมฝีปากเปล่ง ปลั่งดั่งผลมะพลับ งามดังดวงอาทิตย์ ใครนั่นมีเครื่องปกคลุมขาวสะอาด ดังหนึ่งต้นสาละใหญ่ดอกสะพรั่งข้างเขาหิมวันต์ในฤดูหิมะตก งามปาน ดังพระอินทร์อันได้ชัยชนะ ใครนั่นนั่งอยู่ท่ามกลางบริษัท คล้องพระ แสงขรรค์คร่ำทองวิจิตรด้วยด้ามแก้วมณีที่อังสา ใครนั่นสวมสุวรรณ ปาทุกาอันวิจิตร เย็นเรียบร้อย สำเร็จเป็นอันดี ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ต่อผู้แสวงหาคุณอันใหญ่.
[๗๗๔] ผู้ที่มาเหล่านี้ เป็นนาคที่มีฤทธิ์ เรืองยศ เป็นลูกแห่งท้าวธตรฐ เกิด แต่นางสมุททชา นาคเหล่านี้มีฤทธิ์มาก.

จบ ภูริทัตชาดกที่ ๖ _______________

๗. จันทกุมารชาดก พระจันทกุมาร ทรงบำเพ็ญขันติบารมี


[๗๗๕] พระราชาพระนามว่าเอกราช เป็นผู้มีกรรมอันหยาบช้า อยู่ในพระนคร ปุบผวดี ท้าวเธอตรัสถามขัณฑหาลปุโลหิต ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์ เป็น คนหลงว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านเป็นผู้ฉลาดในธรรมวินัย ขอจงบอกทาง สวรรค์แก่เราเหมือนอย่างนรชนทำบุญแล้วไปจากภพนี้สู่คติภพ ฉะนั้น เถิด.
[๗๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ นรชนให้แล้วซึ่งทานอันล่วงล้ำทาน ฆ่าแล้ว ซึ่งบุคคลอันไม่พึงฆ่า ชื่อว่าทำบุญแล้ว ย่อมไปสู่สุคติ ด้วยประการฉะนี้.
[๗๗๗] ก็ทานอันล่วงล้ำทานนั้นคืออะไร และคนจำพวกไหน เป็นผู้อันบุคคล ไม่พึงฆ่าในโลกนี้ ขอท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา เราจักบูชายัญ จักให้ทาน.
[๗๗๘] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ยัญพึงบูชาด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา พระมเหสี ชาวนิคม โคอุสุภราช ม้าอาชาไนยอย่างละ ๔ ข้าแต่ พระองค์ผู้ประเสริฐ ยัญพึงบูชาด้วยหมวด ๔ แห่งสัตว์ทั้งปวง.
[๗๗๙] ในพระราชวังมีเสียงระเบ็งเซ็งแซ่เป็นอันเดียวน่าหวาดกลัว เพราะได้ฟัง คำว่า พระกุมารกุมารีและพระมเหสีจะต้องถูกฆ่า.
[๗๘๐] เจ้าทั้งหลายจงไปทูลพระกุมารทั้งหลาย คือ พระจันทกุมาร พระสุริยกุมาร พระภัททเสนกุมาร พระสุรกุมาร และพระวามโคตตกุมารว่า ขอท่าน ทั้งหลายจงอยู่เป็นหมู่กันเพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ.
[๗๘๑] เจ้าทั้งหลายจงไปทูลพระกุมารทั้งหลาย คือ พระอุปเสนากุมารี พระ โกกิลากุมารี พระมุทิตากุมารีและพระนันทากุมารีว่า ขอท่านทั้งหลายจง อยู่เป็นหมู่กัน เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ.
[๗๘๒] อนึ่ง เจ้าทั้งหลายจงไปทูลพระนางวิชยา พระนางเอราวดี พระนางเกศินี และพระนางสุนันทา ผู้เป็นมเหสีของเรา ประกอบด้วยลักษณะอัน ประเสริฐว่า ขอท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นหมู่กัน เพื่อประโยชน์แก่การ บูชายัญ.
[๗๘๓] เจ้าทั้งหลายจงไปบอกคฤหบดีทั้งหลาย คือ ปุณณมุขคฤหบดี ภัททิย คฤหบดี สิงคาลคฤหบดี และวัฑฒคฤหบดีว่า ขอท่านทั้งหลายจงอยู่ เป็นหมู่กัน เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ.
[๗๘๔] คฤหบดีเหล่านั้น เกลื่อนกล่นไปด้วยบุตรภรรยา มาพร้อมกัน ณ ที่นั้น ได้กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ขอพระองค์ทรงกระทำข้าพระองค์ทุก คนให้เป็นคนมีแหยม หรือขอจงทรงประกาศข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็น ข้าทาสเถิด พระเจ้าข้า.
[๗๘๕] เจ้าทั้งหลายจงรีบนำช้างของเรา คือ ช้างอภยังกร ช้างนาฬาคิรี ช้าง อัจจุคคตะ (ช้างวรุณทันตะ) ช้างเหล่านั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ การบูชายัญ เจ้าทั้งหลายจงรีบไปนำมาซึ่งม้าอัสดรของเรา คือ ม้าเกศี ม้าสุรามุข ม้าปุณณมุข ม้าวินัตกะ ม้าเหล่านั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์ แก่การบูชายัญ เจ้าทั้งหลายจงรีบไปนำมาซึ่งโคอุสุภราชของเรา คือ โคยูถปติ โคอโนชะ โคนิสภะ โคควัมปติ จงต้อนโคเหล่านั้นทั้งหมด เข้าเป็นหมู่กัน เราจักบูชายัญ จักให้ทาน อนึ่ง จงตระเตรียมทุกสิ่งให้ พร้อม วันพรุ่งนี้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราจักบูชายัญ เจ้าทั้งหลายจงนำ เอาพระจันทกุมารมา จงรื่นรมย์ตลอดราตรีนี้ เจ้าทั้งหลายจงตั้งไว้แม้ ทุกสิ่ง วันพรุ่งนี้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราจักบูชายัญ เจ้าทั้งหลายจงไป ทูลพระกุมาร ณ บัดนี้ วันนี้เป็นคืนที่สุดแล.
[๗๘๖] พระราชมารดาเสด็จมาแต่พระตำหนัก ทรงกรรแสงพลางตรัสถามพระ เจ้าเอกราชนั้นว่า พระลูกรัก ได้ยินว่า พ่อจักบูชายัญด้วยพระราชบุตร ทั้ง ๔ หรือ.
[๗๘๗] เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร บุตรแม้ทุกคน หม่อมฉันก็สละ หม่อมฉันบูชายัญ ด้วยบุตรทั้งหลายแล้วจักไปสู่สุคติสวรรค์.
[๗๘๘] ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเชื่อคำนั้น ข่าวที่ว่าสุคติจะมีเพราะเอาบุตรบูชายัญนั้น เป็นทางไปนรก ไม่ใช่ทางไปสวรรค์ ดูกรลูกโกญฑัญญะ พ่อจงให้ทาน อย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงเลย นี่เป็นทางไปสู่สุคติ ทางไปสู่สุคติ มิใช่เพราะเอาบุตรบูชายัญ.
[๗๘๙] คำของอาจารย์ทั้งหลายมีอยู่ หม่อมฉันจักฆ่าจันทกุมารและสุริยกุมาร หม่อมฉันบูชายัญด้วยบุตรทั้งหลายอันสละได้ยากแล้ว จักไปสู่สุคติ สวรรค์.
[๗๙๐] แม้พระเจ้าสวัสดีพระราชบิดา ได้ตรัสถามพระราชโอรสของพระองค์นั้น ว่า ลูกรัก ทราบว่า พ่อจักบูชายัญด้วยโอรสทั้ง ๔ หรือ.
[๗๙๑] เมื่อต้องฆ่าจันทกุมาร บุตรแม้ทุกคนหม่อมฉันก็สละ หม่อมฉันบูชายัญ ด้วยบุตรทั้งหลายแล้ว จักไปสู่สุคติสวรรค์.
[๗๙๒] ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเชื่อคำนั้น ข่าวที่ว่า สุคติจะมีเพราะเอาบุตรบูชายัญ ทางนั้นเป็นทางไปนรก ไม่ใช่ทางไปสวรรค์ ดูกรลูกโกญฑัญญะ พ่อจง ให้ทาน อย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงเลย นี่เป็นทางไปสู่สุคติ ทางไป สู่สุคติมิใช่เพราะเอาบุตรบูชายัญ.
[๗๙๓] คำของอาจารย์ทั้งหลายมีอยู่ หม่อมฉันจักฆ่าจันทกุมารและสุริยกุมาร หม่อมฉันบูชายัญด้วยบุตรทั้งหลายอันสละได้ยากแล้ว จักไปสู่สุคติ สวรรค์.
[๗๙๔] ดูกรลูกโกญฑัญญะ พ่อจงให้ทาน อย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงเลย พ่อจงเป็นผู้อันพระราชบุตรห้อมล้อม รักษากาสิกรัฐและชนบทเถิด.
[๗๙๕] ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทาน ข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึง แม้ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยงช้างและม้า ให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรด พระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขน มูลช้างให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรด พระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขน มูลม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรด พระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิต ตามที่ พระองค์มีพระประสงค์เถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูก ขับไล่จากแว่นแคว้น ก็จักเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีวิต.
[๗๙๖] เจ้าทั้งหลายพร่ำเพ้ออยู่เพราะรักชีวิต ย่อมก่อทุกข์ให้เกิดแก่เรานักแล จงปล่อยพระกุมารทั้งหลายไป ณ บัดนี้ เราขอเลิกการเอาบุตรบูชายัญ.
[๗๙๗] ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียวว่า การบูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้ ยินดีได้แสนยาก บัดนี้ พระองค์ทรงกระทำยัญที่ข้าพระองค์ตระเตรียม ไว้แล้วให้กระจัดกระจายเพราะเหตุไร ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และ ชนเหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใด อนุโมทนามหายัญ เช่นนี้ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปสู่สุคติ.
[๗๙๘] ขอเดชะ เหตุไร ในกาลก่อน พระองค์จึงรับสั่งให้พราหมณ์กล่าวคำเป็น สวัสดีแก่ข้าพระบาททั้งหลาย มาบัดนี้ จะรับสั่งฆ่าข้าพระบาททั้งหลาย เพื่อต้องการบูชายัญ โดยหาเหตุมิได้เลย ข้าแต่พระราชบิดา เมื่อก่อน ในเวลาที่ข้าพระบาทยังเป็นเด็ก พระองค์มิได้ทรงฆ่าและมิได้ทรงรับสั่ง ให้ฆ่า บัดนี้ ข้าพระบาททั้งหลาย ถึงความเจริญวัยเป็นหนุ่มแน่นแล้ว มิได้คิดประทุษร้ายพระองค์เลย เพราะเหตุไร จึงรับสั่งให้ฆ่าเสีย ข้าแต่ พระมหาราชา ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรข้าพระบาททั้งหลาย ผู้ขึ้น คอช้าง ขี่หลังม้า ผูกสอดเครื่องรบ ในเวลาที่รบมาแล้วหรือเมื่อกำลัง รบ ก็บุตรทั้งหลายเช่นดังข้าพระบาททั้งหลาย ย่อมไม่ควรจะฆ่าเพื่อ ประโยชน์แก่การบูชายัญเลย ข้าแต่พระราชบิดา เมื่อเมืองชายแดนหรือ เมื่อพวกโจรในดงกำเริบ เขาย่อมใช้คนเช่นดังข้าพระบาททั้งหลาย แต่ ข้าพระบาททั้งหลายจะถูกฆ่าให้ตายโดยมิใช่เหตุ ในมิใช่ที่ ขอเดชะ แม่นกเหล่าไร ๆ เมื่อทำรังแล้วย่อมอยู่ ลูกทั้งหลายเป็นที่รักของแม่นก เหล่านั้น ส่วนพระองค์ได้ตรัสสั่งให้ฆ่าข้าพระบาททั้งหลาย เพราะเหตุไร ขอเดชะ อย่าได้ทรงเชื่อขัณฑหาลปุโรหิต ขัณฑหาลปุโรหิตไม่พึงฆ่า ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาฆ่าข้าพระองค์แล้ว ก็จะพึงฆ่าแม้พระองค์ใน ลำดับต่อไป ข้าแต่พระมหาราชา พระราชาทั้งหลายย่อมพระราชทาน บ้านอันประเสริฐ นิคมอันประเสริฐ แม้โภคะ แก่พราหมณ์นั้น อนึ่ง พวกพราหมณ์ แม้ได้ข้าวน้ำอันเลิศในตระกูล บริโภคในตระกูล ยัง ปรารถนาจะประทุษร้ายต่อผู้ให้ข้าวน้ำเช่นนั้นอีก เพราะพราหมณ์เหล่านั้น โดยมากเป็นคนอกตัญญู ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย เสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของขัณฑ หาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วย โซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยงช้างและม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของ ขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำ ด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขนมูลช้างให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของ ขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำ ด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขนมูลม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลายให้เป็นทาสของ ขัณฑหาลปุโรหิต ตามที่พระองค์มีพระราชประสงค์เถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ก็จักเที่ยว ภิกขาจารเลี้ยงชีวิต.
[๗๙๙] เจ้าทั้งหลายพร่ำเพ้ออยู่เพราะรักชีวิต ย่อมก่อทุกข์ให้เกิดแก่เรานักแล จงปล่อยพระกุมารทั้งหลายไป ณ บัดนี้ เราขอเลิกการเอาบุตรบูชายัญ.
[๘๐๐] ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียว การบูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้ ยินดีได้แสนยาก บัดนี้ พระองค์ทรงกระทำยัญที่ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้ แล้วให้กระจัดกระจาย เพราะเหตุไร ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และ ชนเหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใด อนุโมทนามหายัญ เช่นนี้ของบุคคลผู้บูชายัญอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้นย่อมไปสู่สุคติ.
[๘๐๑] ข้าแต่พระราชา ถ้าชนทั้งหลายบูชายัญด้วยบุตรทั้งหลาย จุติจากโลกนี้ แล้วย่อมไปสู่เทวโลกดังได้ยินมาไซร้ พราหมณ์จงบูชายัญก่อน พระองค์ จักทรงบูชายัญในภายหลัง ถ้าชนทั้งหลายบูชายัญด้วยบุตรทั้งหลาย จุติ จากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่เทวโลกดังได้ยินมาไซร้ ขัณฑหาลพราหมณ์ผู้นี้ แล จงบูชายัญด้วยบุตรทั้งหลายของตน ถ้าว่าขัณฑหาลพราหมณ์รู้อยู่ อย่างนี้ เหตุไรจึงไม่ฆ่าบุตรทั้งหลาย ไม่ฆ่าคนที่เป็นญาติทุกคนและ ตนเองเล่า ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และชนเหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใด อนุโมทนามหายัญเช่นนี้ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้นย่อมไปสู่นรกทั้งหมด.
[๘๐๒] ได้ยินว่า พ่อเจ้าเรือนและแม่เจ้าเรือนทั้งหลาย ผู้รักบุตร ซึ่งมีอยู่ใน พระนครนี้ ไฉนจึงไม่ทูลพระราชา อย่าให้ทรงฆ่าพระราชบุตรอันเกิด แต่พระอุระ ได้ยินว่า พ่อเจ้าเรือนและแม่เจ้าเรือนทั้งหลาย ผู้รักบุตร ซึ่งมีอยู่ในพระนครนี้ ไฉนจึงไม่ทูลทัดทานพระราชา อย่าให้ทรงฆ่า พระราชบุตรอันเกิดแต่พระองค์ เราปรารถนาประโยชน์แก่พระราชาด้วย ทำประโยชน์แก่ชาวชนบททั้งปวงด้วย ใครๆ จะมีความแค้นเคืองกับ เราไม่พึงมี ชาวชนบทไม่ช่วยกราบทูลให้ทรงทราบเลย.
[๘๐๓] ดูกรแม่เจ้าเรือนทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปกราบทูลพระราชบิดา และวิงวอนขัณฑหาลพราหมณ์ว่า ขอจงอย่าฆ่าพระราชกุมารทั้งหลาย ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์ ดูกรแม่เจ้าเรือนทั้งหลาย ขอท่าน ทั้งหลายจงไปกราบทูลพระราชบิดา และวิงวอนขัณฑหาลพราหมณ์ว่า ขอจงอย่าฆ่าพระราชกุมารทั้งหลาย ผู้เป็นที่เพ่งที่หวังของโลกทั้งปวง.
[๘๐๔] ไฉนหนอ เราพึงเกิดในตระกูลนายช่างรถ ในตระกูลปุกกุสะ หรือพึง เกิดในหมู่พ่อค้า พระราชาก็ไม่พึงรับสั่งให้ฆ่าในการบูชายัญวันนี้.
[๘๐๕] เจ้าผู้มีความคิดแม้ทั้งปวง จงไปหมอบลงแทบเท้าของผู้เป็นเจ้าขัณฑหาละ เรียนว่า เรามิได้เห็นโทษเลย ดูกรแม่เจ้าเรือนแม้ทั้งปวง เจ้าจงไป หมอบลงแทบเท้าของผู้เป็นเจ้าขัณฑหาละเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าเราทั้งหลายได้ประทุษร้ายอะไรในท่าน ขอท่านจงอดโทษเถิด.
[๘๐๖] พระเสลาราชกุมารีผู้ควรการุญ ทรงเห็นพระภาดาทั้งหลายอันเขานำมา เพื่อบูชายัญ ทรงคร่ำครวญว่า ดังได้สดับมา พระราชบิดาของเราทรง ปรารถนาสวรรค์ รับสั่งให้ตั้งยัญขึ้น.
[๘๐๗] พระวสุลราชนัดดา กลิ้งไปกลิ้งมาเฉพาะพระพักตร์พระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระบาทยังเป็นเด็ก ไม่ถึงความเป็นหนุ่ม ขอพระองค์ ได้ทรงโปรด อย่าได้ฆ่าพระบิดาของข้าพระบาทเลย.
[๘๐๘] ดูกรวสุละ นั่นพ่อเจ้า เจ้าจงไปพร้อมกับบิดา เจ้าพร่ำเพ้ออยู่ใน พระราชวัง ย่อมให้เกิดทุกข์แก่ข้านัก จงปล่อยพระราชกุมารทั้งหลาย ณ บัดนี้ เราขอเลิกการเอาบุตรบูชายัญ.
[๘๐๙] ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้วในกาลก่อนเทียว การบูชายัญนี้ทำได้ยาก ให้ ยินดีได้แสนยาก บัดนี้ พระองค์ทรงกระทำยัญที่ข้าพระองค์ตระเตรียม ไว้แล้วให้กระจัดกระจาย เพราะเหตุไร ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี และ ชนเหล่าใดให้ผู้อื่นบูชายัญก็ดี อนึ่ง ชนเหล่าใด อนุโมทนามหายัญ เช่นนี้ ของบุคคลผู้บูชาอยู่ก็ดี ชนเหล่านั้นทั้งหมดย่อมไปสู่สุคติ.
[๘๑๐] ข้าแต่สมเด็จพระเอกราช ข้าพระบาทตระเตรียมยัญแล้วด้วยแก้วทุกอย่าง ตบแต่งไว้แล้วเพื่อพระองค์ ขอเดชะ เชิญเสด็จออกเถิด พระองค์ทรง บูชายัญแล้วเสด็จสู่สวรรค์ จักทรงบันเทิงพระหฤทัย.
[๘๑๑] หญิงสาว ๗๐๐ คน ผู้เป็นชายาของจันทกุมาร ต่างสยายผมแล้วร้องไห้ ดำเนินไปตามทาง ส่วนพวกหญิงอื่นๆ ออกแล้วด้วยความเศร้าโศก เหมือนเทวดาในนันทวัน ต่างก็สยายผมร้องไห้ไปตามทาง.
[๘๑๒] พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด ประดับกุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไปเพื่อ บูชายัญของสมเด็จพระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด ประดับกุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณ แก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไปทำความเศร้าพระหฤทัยให้แก่พระชนนี พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด ประดับกุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป ทำความเศร้าใจให้แก่ประชุมชน พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร เสวยกระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายให้ดีแล้ว ประดับกุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุตรนำไป บูชายัญของพระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร เสวย กระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับ กุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป ทำความ เศร้าพระหฤทัยให้แก่พระชนนี พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร เสวย กระยาหารอันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับ กุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ ถูกราชบุรุษนำไป ทำความ เศร้าใจให้แก่ประชุมชน ในกาลก่อน พวกพลช้างย่อมตามเสด็จ พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ผู้เสด็จขึ้นคอช้างตัวประเสริฐ วันนี้ พระจันทกุมารและพระสุริยกุมารทั้งสองพระองค์เสด็จดำเนินด้วย พระบาทเปล่า ในกาลก่อน พวกพลม้าย่อมตามเสด็จพระจันทกุมารและ พระสุริยกุมาร ผู้เสด็จขึ้นหลังม้าตัวประเสริฐ วันนี้ พระจันทกุมารและ พระสุริยกุมารทั้งสองพระองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ในกาล ก่อน พวกพลรถย่อมตามเสด็จพระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ผู้เสด็จ ขึ้นทรงรถอันประเสริฐ วันนี้ พระจันทกุมารและพระสุริยกุมารทั้งสอง พระองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ในกาลก่อน พระจันทกุมารและ พระสุริยกุมาร ราชบุรุษเชิญเสด็จออกด้วยม้าทั้งหลายอันตบแต่งเครื่อง ทองวันนี้ ทั้งสองพระองค์ต้องเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า.
[๘๑๓] นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทางทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยพระราชโอรส ๔ พระองค์นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทางทิศบูรพาแห่ง ปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วย พระราชธิดา ๔ พระองค์ นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทางทิศ บูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญ ด้วยพระมเหสี ๔ พระองค์ นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไปทาง ทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรง บูชายัญด้วยคฤหบดี ๔ คน นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไป ทางทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะ ทรงบูชายัญด้วยช้าง ๔ เชือก นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบิน ไปทางทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยม้า ๔ ตัว นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจงบินไป ทางทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะ ทรงบูชายัญด้วยโคอุสุภราช ๔ ตัว นกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาเนื้อ เจ้าจง บินไปทางทิศบูรพาแห่งปุบผวดีนคร ณ ที่นั้น พระเจ้าเอกราชผู้หลงใหล จะทรงบูชายัญด้วยสัตว์ทั้งปวงอย่างละ ๔.
[๘๑๔] นี่ปราสาทของท่านล้วนด้วยทองคำ เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่เรือนยอดของท่าน ล้วนด้วยทองคำ เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่พระอุทยานของท่าน มีดอกไม้บาน สะพรั่งตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่ป่าอโศกของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอดกาล ทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อ จะฆ่า นี่ป่ากรรณิการ์ของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่ป่าแคฝอยของท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่สวนมะม่วงของ ท่าน มีดอกบานสะพรั่งตลอดกาลทั้งปวง น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้ พระลูกเจ้า ทั้ง ๔ พระองค์ถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่สระโบกขรณีของท่าน ดารดาษ ไปด้วยดอกบัวหลวงและบัวขาบ มีเรือทองอันงดงามวิจิตรด้วยลาย เครือวัลย์ เป็นที่รื่นรมย์เป็นอันดี บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ถูก เขานำไปเพื่อจะฆ่า.
[๘๑๕] นี่ช้างแก้วของท่าน ชื่อเอราวัณ เป็นช้างงามมีกำลัง บัดนี้ พระลูกเจ้า ทั้ง ๔ นั้นถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่ม้าแก้วของท่าน เป็นม้ามีกีบไม่แตก เป็นม้าวิ่งได้เร็ว บัดนี้ พระลูกเจ้าทั้ง ๔ นั้นถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า นี่รถ ม้าของท่าน มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงนกสาลิกา เป็นรถงดงามวิจิตร ด้วยแก้ว พระลูกเจ้าเสด็จไปในรถนี้ ย่อมงดงามดังเทพเจ้าในนันทวัน บัดนี้ พระเจ้าลูกทั้ง ๔ นั้นถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า อย่างไร พระราชาผู้ หลงใหล จึงจักทรงบูชายัญด้วยพระราชโอรส ๔ พระองค์ ผู้งามเสมอ ด้วยทอง มีพระกายไล้ทาด้วยจุรณแก่นจันทน์ อย่างไร พระราชาผู้หลง ใหล จึงจักทรงบูชายัญด้วยพระราชธิดา ๔ พระองค์ ผู้งามเสมอด้วยทอง มีพระวรกายไล้ทาด้วยจุรณแก่นจันทน์ อย่างไร พระราชาผู้หลงใหล จักทรงบูชายัญด้วยพระมเหสี ๔ พระองค์ ผู้งามเสมอด้วยทอง มีพระวร กายไล้ทาด้วยจุรณแก่นจันทน์ อย่างไร พระราชาผู้หลงใหล จึงจักบูชายัญ ด้วยคฤหบดี ๔ คน ผู้งดงามเสมอด้วยทอง มีร่างกายไล้ทาด้วยจุรณ แก่นจันทน์ คามนิคมทั้งหลายจะว่างเปล่า ไม่มีมนุษย์ กลายเป็นป่าใหญ่ ไป ฉันใด เมื่อพระราชารับสั่งให้เอาพระจันทกุมารและพระสุริยกุมารบูชา ยัญ พระนครปุบผวดีก็จักร้างว่างเปล่า ไม่มีมนุษย์ กลายเป็นป่าใหญ่ไป ฉันนั้น.
[๘๑๖] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระบาทจักเป็นบ้า มีความเจริญถูกขจัด แล้ว มีสรีระเกลือกกลั้วด้วยธุลี ถ้าเขาฆ่าจันทกุมาร ลมปราณของข้า พระบาทก็จะแตกทำลาย ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระบาทจักเป็นผู้ มีความเจริญถูกขจัดแล้ว มีสรีระเกลือกกลั้วด้วยธุลี ถ้าเขาฆ่าสุริยกุมาร ลมปราณของข้าพระบาทก็จะแตกทำลาย.
[๘๑๗] สะใภ้เราเหล่านี้ คือ นางฆัฏฏิกา นางอุปรักขี นางโปกขรณี และ นางคายิกา ล้วนกล่าววาจาเป็นที่รักแก่กันและกันเพราะเหตุไร จึงไม่ ฟ้อนรำขับร้องให้จันทกุมารและสุริยกุมาร รื่นรมย์เล่า ใครอื่นที่จะเสมอ ด้วยนางทั้ง ๔ นั้นไม่มี.
[๘๑๘] ดูกรเจ้าขัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมีแก่เรา ในเมื่อจันท กุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า แม่ของเจ้าจงได้ประสบความโศกเศร้าใจ ของเรานี้ ดูกรเจ้าขัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมีแก่เรา ใน เมื่อสุริยกุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า แม่ของเจ้าจงได้ประสบความโศก เศร้าใจของเรานี้ ดูกรเจ้าขัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อมเกิดมี แก่เรา ในเมื่อจันทกุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า ภรรยาของเจ้าจงประสบ ความโศกเศร้าใจของเรานี้ ดูกรขัณฑหาละ ความโศกเศร้าใจใดย่อม เกิดมีแก่เรา ในเมื่อสุริยกุมารถูกเขานำไปเพื่อจะฆ่า ภรรยาของเจ้าจง ได้ประสบความโศกเศร้าใจของเรานี้ ดูกรเจ้าขัณฑหาละ เจ้าได้ให้ฆ่า พระกุมารทั้งหลายผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์ แม่ของเจ้าจง อย่าได้เห็นพวกลูกๆ และอย่าได้เห็นสามีเลย ดูกรเจ้าขัณฑหาละ เจ้า ได้ให้ฆ่าพระกุมารทั้งหลาย ผู้เป็นที่มุ่งหวังของโลกทั้งปวง แม่ของเจ้า จงอย่าได้เห็นพวกลูกๆ และอย่าได้เห็นสามีเลย ดูกรเจ้าขัณฑหาละ เจ้าได้ให้ฆ่าพระกุมารทั้งหลาย ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์ ภรรยาของเจ้า จงอย่าได้เห็นพวกลูกๆ และอย่าได้เห็นสามีเลย ดูกรเจ้า ขัณฑหาละ เจ้าได้ให้ฆ่าพระกุมารทั้งหลาย ผู้เป็นที่มุ่งหวังของโลก ทั้งปวง ภรรยาของเจ้าจงอย่าได้เห็นพวกลูกๆ และอย่าได้เห็นสามีเลย.
[๘๑๙] ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทาน ข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะเลี้ยงช้างและม้า ให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระ ราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะขน มูลช้างให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรด พระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิตเถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกจองจำด้วยโซ่ใหญ่ ก็จะ ขนมูลม้าให้เขา ขอเดชะ อย่าได้ทรงฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเสียเลย โปรดพระราชทานข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้เป็นทาสของขัณฑหาลปุโรหิต ตามที่พระองค์มีพระประสงค์เถิด พระเจ้าข้า ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย จะถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ก็จักเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีวิต ขอเดชะ หญิง ทั้งหลายผู้ปรารถนาบุตร แม้จะเป็นคนยากจน ย่อมวอนขอบุตรต่อ เทพเจ้า หญิงบางพวกละปฏิภาณแล้ว ไม่ได้บุตรก็มี หญิงเหล่านั้นย่อม กระทำความหวังว่า ขอลูกทั้งหลายจงเกิดแก่เรา แต่นั้นขอหลานจงเกิด อีก ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์รับสั่งให้ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อต้องการทรงบูชายัญ โดยเหตุอันไม่สมควร ข้าแต่สมเด็จพระบิดา คนทั้งหลายเขาได้ลูกเพราะความวิงวอนเทพเจ้า ขอพระองค์อย่ารับสั่งให้ ฆ่าข้าพระองค์ทั้งหลายเลย อย่าทรงบูชายัญนี้ด้วยบุตรทั้งหลายที่ได้มา โดยยากเลย พระเจ้าข้า ข้าแต่สมเด็จพระบิดา คนทั้งหลายเขาได้บุตร เพราะความวิงวอนเทพเจ้า ขอพระองค์อย่ารับสั่งให้ฆ่าข้าพระองค์ทั้ง หลายเลย พระเจ้าข้า ขอได้ทรงพระกรุณาโปรด อย่าได้พรากข้าพระองค์ ทั้งหลายผู้เป็นบุตรที่ได้มาด้วยความยากจากมารดาเลย พระเจ้าข้า.
[๘๒๐] ข้าแต่พระมารดา พระมารดาย่อมย่อยยับ เพราะทรงเลี้ยงลูกจันทกุมาร มาด้วยความลำบากมาก ลูกขอกราบพระบาทพระมารดา ขอพระราชบิดา จงทรงได้ปรโลกอันสมบูรณ์เถิด เชิญพระมารดาทรงสวมกอดลูก แล้ว ประทานพระยุคลบาทให้ลูกกราบไหว้ ลูกจะจากไป ณ บัดนี้ เพื่อ ประโยชน์แก่ยัญของสมเด็จพระราชบิดาเอกราช เชิญพระมารดาทรง สวมกอดลูก แล้วประทานพระยุคลบาทให้ลูกกราบไหว้ ลูกจะจากไป ณ บัดนี้ ทำความโศกเศร้าพระทัยให้พระมารดา เชิญพระมารดาทรงสวม กอดลูก แล้วประทานพระยุคลบาทให้ลูกกราบไหว้ ลูกจะจากไป ณ บัดนี้ ทำความโศกเศร้าใจให้แก่ประชุมชน.
[๘๒๑] ดูกรลูกโคตมี มาเถิด เจ้าจงรัดเมาลีด้วยใบบัว จงประดับดอกไม้อัน แซมด้วยกลีบจำปา นี่เป็นปกติของเจ้ามาเก่าก่อน มาเถิด เจ้าจงไล้ทา เครื่องลูบไล้ คือ จุรณจันทน์แดงของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าลูบไล้ด้วย จุรณจันทน์แดงนั้นดีแล้ว ย่อมงดงามในราชบริษัท มาเถิด เจ้าจงนุ่งผ้า กาสิกพัสตร์อันเป็นผ้าเนื้อละเอียดเป็นครั้งสุดท้าย เจ้านุ่งผ้ากาสิกพัสตร์ นั้นแล้ว ย่อมงดงามในราชบริษัท เชิญเจ้าประดับหัตถาภรณ์อันเป็น เครื่องประดับทองคำฝังแก้วมุกดาและแก้วมณี เจ้าประดับด้วยหัตถา ภรณ์นั้นแล้ว ย่อมงดงามในราชบริษัท.
[๘๒๒] พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองรัฐ ผู้เป็นทายาทของชนบท เป็นเจ้าโลกองค์นี้ จักไม่ทรงยังความสิเนหาให้เกิดในบุตรแน่ละหรือ.
[๘๒๓] ลูกทั้งหลายเป็นที่รักของเรา อนึ่ง แม้เจ้าทั้งหลายผู้เป็นภรรยาก็เป็นที่รัก ของเรา แต่เราปรารถนาสวรรค์ เหตุนั้นจึงได้ให้ฆ่าลูกทั้งหลาย.
[๘๒๔] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอจงทรงพระกรุณาโปรดรับสั่งให้ฆ่าข้าพระ บาทเสียก่อน ขอความทุกข์อย่าได้ทำลายหทัยของข้าพระบาทเลย พระ ราชโอรสของพระองค์เป็นสุขุมาลชาติ ประดับแล้วงดงาม ข้าแต่เจ้าชีวิต ขอได้โปรดฆ่าข้าพระบาทเสียก่อน ข้าพระบาทจักเป็นผู้มีความเศร้าโศก กว่าจันทกุมาร ขอพระองค์จงทรงทำบุญให้ไพบูลย์ ข้าพระบาททั้งสอง จะเที่ยวไปในปรโลก.
[๘๒๕] ดูกรจันทาผู้มีตางาม เจ้าอย่าชอบใจความตายเลย เมื่อโคตมีบุตรผู้อันเรา บูชายัญแล้ว พี่ผัว น้องผัวของเจ้าเป็นอันมาก จักยังเจ้าให้รื่นรมย์ยินดี.
[๘๒๖] เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางจันทาเทวีก็ร่ำตีพระองค์ด้วยฝ่า พระหัตถ์ ทรงรำพันว่า ไม่มีประโยชน์ด้วยชีวิต เราจักดื่มยาพิษตายเสีย ในที่นี้ พระญาติ พระมิตรของพระราชาพระองค์นี้ ผู้มีพระทัยดี ซึ่งจะ กราบทูลทัดทานพระราชาว่า อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระราชโอรสอันเกิดแต่ พระอุระเลย ย่อมไม่มีแน่แท้เทียว พระญาติ พระมิตรของพระราชาพระ องค์นี้ ผู้มีพระทัยดี ซึ่งจะกราบทูลทัดทานพระราชาว่า อย่าได้รับสั่งให้ ฆ่าพระราชโอรส อันเกิดแต่พระองค์เลย ย่อมไม่มีเป็นแน่แท้เทียว บุตร ของข้าพระบาทเหล่านี้ ประดับพวงดอกไม้ สวมกำไลทองต้นแขน ขอ พระราชาจงเอาบุตรของข้าพระบาทเหล่านั้นบูชายัญ แต่ขอพระราชทาน ปล่อยโคตมีบุตรเถิด ข้าแต่พระมหาราชา ขอจงทรงตัดแบ่งข้าพระบาท ให้เป็นร้อยส่วนแล้ว ทรงบูชายัญในสถานที่เจ็ดแห่ง อย่าได้ทรงฆ่า พระราชบุตรองค์ใหญ่ ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดังราชสีห์เลย ข้า แต่พระมหาราชา ขอจงตัดแบ่งข้าพระบาทให้เป็นร้อยส่วนแล้ว ทรง บูชายัญในสถานที่เจ็ดแห่ง อย่าได้ทรงฆ่าพระราชบุตรองค์ใหญ่ผู้เป็นที่ มุ่งหวังของโลกทั้งปวงเลย.
[๘๒๗] เครื่องประดับเป็นอันมากล้วนแต่ของดีๆ คือ มุกดา มณี แก้วไพฑูรย์ เราให้แก่เจ้า เมื่อเจ้ากล่าวคำดี นี้เป็นของที่เราให้แก่เจ้าครั้งสุดท้าย.
[๘๒๘] เมื่อก่อน พวงมาลาบานเคยสวมที่พระศอของพระกุมารเหล่าใด วันนี้ ดาบที่เขาลับคมดีแล้ว จักฟันที่พระศอของพระกุมารเหล่านั้น เมื่อก่อน พวงมาลาอันวิจิตรเคยสวมที่พระศอของพระกุมารเหล่าใด วันนี้ ดาบ อันเขาลับคมดีแล้ว จักฟันที่พระศอของพระกุมารเหล่านั้น ไม่ช้าแล้ว หนอ ดาบจักฟันที่พระศอของพระราชบุตรทั้งหลาย ก็หทัยของเราจะไม่ แตก แต่จะต้องมีเครื่องรัดอย่างมั่นคงเหลือเกิน พระจันทกุมารและ พระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันสะอาดประดับกุณฑลไล้ทากฤษณา และจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกเพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญของพระ เจ้าเอกราช พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอัน ขาวสะอาด ประดับกุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เพื่อ ประโยชน์แก่การบูชายัญของพระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและพระ สุริยกุมาร ทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาดประดับกุณฑลไล้ทากฤษณา และจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกทำความเศร้าพระหฤทัยแก่พระชนนี พระจันทกุมารและพระสุริยกุมารทรงผ้าแคว้นกาสีอันขาวสะอาด ประดับ กุณฑลไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกทำความเศร้าใจให้ แก่ประชุมชน พระจันทกุมารและพระสุริยกุมารเสวยพระกระยาหารอัน ปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับกุณฑลไล้ทา กฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกเพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญของ พระเจ้าเอกราช พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร เสวยพระกระยาหาร อันปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับกุณฑล ไล้ทากฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกกระทำความเศร้าพระทัยให้แก่ พระชนนี พระจันทกุมารและพระสุริยกุมาร เสวยพระกระยาหารอัน ปรุงด้วยรสเนื้อ ช่างสนานสระสรงพระกายดีแล้ว ประดับกุณฑลไล้ทา กฤษณาและจุรณแก่นจันทน์ เสด็จออกกระทำความเศร้าใจให้แก่ประ ชุมชน.
[๘๒๙] เมื่อเขาตกแต่งเครื่องบูชายัญทุกสิ่งแล้ว เมื่อพระจันทกุมารและพระ สุริยกุมารประทับนั่ง เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ พระราชธิดาของ พระเจ้าปัญจาลราช ประนมอัญชลีเสด็จดำเนินเวียนในระหว่างบริษัท ทั้งปวง ทรงกระทำสัจจกิริยาว่า ขัณฑหาละผู้มีปัญญาทราม ได้กระทำ กรรมอันชั่ว ด้วยความสัจจริงอันใด ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้ข้าพระเจ้า ได้อยู่ร่วมกับพระสวามี อมนุษย์เหล่าใดมีอยู่ในที่นี้ ยักษ์ สัตว์ที่เกิด แล้วและสัตว์ที่จะมาเกิดก็ดี ขอจงกระทำความขวนขวายช่วยเหลือ ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับพระสวามี เทวดาทั้งหลายที่มาแล้ว ในที่นี้ ปวงสัตว์ที่เกิดแล้วและสัตว์ที่จะมาเกิด ขอจงคุ้มครองข้าพเจ้า ผู้แสวงหาที่พึ่ง ผู้ไร้ที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ขออย่าให้ พวกข้าศึกชนะพระสวามีของข้าพเจ้าเลย.
[๘๓๐] ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับเสียงคร่ำครวญของพระนางจันทานั้นแล้ว ทรงกวัดแกว่งฆ้อน ยังความกลัวให้เกิดแก่พระเจ้าเอกราชนั้นแล้ว ได้ ตรัสกะพระราชาว่า พระราชากาลี จงรู้ไว้ อย่าให้เราตีเศียรของท่านด้วย ฆ้อนเหล็กนี้ ท่านอย่าได้ฆ่าบุตรองค์ใหญ่ผู้ไม่คิดประทุษร้าย ผู้องอาจดัง ราชสีห์ พระราชกาลี ท่านเคยเห็นที่ไหน คนผู้ปรารถนาสวรรค์ ฆ่า บุตร ภรรยา เศรษฐี และคฤหบดี ผู้ไม่คิดประทุษร้าย.
[๘๓๑] ขัณฑหาลปุโรหิตและพระราชา ได้ฟังพระดำรัสของท้าวสักกะ ได้เห็น รูปอันอัศจรรย์แล้ว ให้เปลื้องเครื่องพันธนาการของสัตว์ทั้งปวง เหมือน ดังเปลื้องเครื่องพันธนาการของคนผู้ไม่มีความชั่ว เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุด พ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่ประชุมอยู่ ณ ที่นั้นในกาลนั้นทุกคน เอา ก้อนดินคนละก้อนทุ่มลง การฆ่าซึ่งขัณฑหาลปุโรหิตได้มีแล้ว ด้วย ประการดังนี้.
[๘๓๒] คนผู้กระทำกรรมชั่วฉันใดนั้นแล้ว ต้องเข้านรกทั้งหมด คนทำกรรมชั่ว แล้ว ไม่พึงได้จากโลกนี้ไปสู่สุคติเลย.
[๘๓๓] เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่ นั้น ในกาลนั้น คือพระราชาทั้งหลาย ประชุมกันอภิเษกจันทกุมาร เมื่อ สัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ เทวดาทั้งหลายประชุมพร้อมกันอภิเษกพระจันทกุมาร เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ เทพกัญญาทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันอภิเษก พระจันทกุมาร เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่ประชุม พร้อมกัน ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ พระราชาทั้งหลายประชุมพร้อมกัน ต่างแกว่งผ้าและโบกธง เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้นในการนั้น คือ ราชกัญญาทั้งหลาย ประชุม พร้อมกันต่างก็แกว่งผ้าและโบกธง เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่อง จองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ เทพบุตร ทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันต่างแกว่งผ้าและโบกธง เมื่อสัตว์ทั้งปวงหลุด พ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ผู้ที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น ในกาลนั้น คือ เทพกัญญาทั้งหลาย ประชุมพร้อมกันต่างแกว่งผ้าและโบกธง เมื่อ สัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากเครื่องจองจำแล้ว ชนเป็นอันมากต่างก็รื่นรมย์ ยินดี พวกเขาได้ประกาศความยินดีในเวลาที่พระจันทกุมารเสด็จเข้าสู่ พระนคร และได้ประกาศความหลุดพ้นจากเครื่องจองจำของสัตว์ทั้งปวง.

จบ จันทกุมารชาดกที่ ๗

กลับที่เดิม