อรรถกถารุหกชาดกที่ ๑
            พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง ปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ เริ่มต้นว่า อมฺโภ รุหกจฺฉินฺนาปิ ดังนี้. เรื่องราวจักมีแจ้งใน อินทริยชาดกในอัฏฐกนิบาต.
            ก็ในเรื่องนี้พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงคนนี้ทำความพินาศให้แก่เธอ แม้เมื่อก่อนหญิงคนนี้ก็ได้ ทำอาการให้เธออาย ในท่ามกลางบริษัทพร้อมทั้งพระราชา แล้วออกจากเรือนไป แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสี ของพระองค์ ครั้นทรงเจริญวัย เมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรงครองราชย์โดยธรรม. พระองค์ มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อ รุหกะ. ภรรยาของรุหกะชื่อ ปุรณีพราหมณี. พระราชาพระราชทานม้า ประดับเครื่องอลังการแก่พราหมณ์. เขาขี่ม้าไปทำราชการ. ลำดับนั้น ประชาชนผู้ยืนอยู่ในที่นั้น ๆ เห็นเขานั่งบนหลังม้าที่ประดับแล้วผ่านไปมาอยู่ จึงสรรเสริญ ม้าเท่านั้นว่า แม่เจ้าโวยม้านี้งามอย่างประหลาด. รุหกปุโรหิต มาถึงเรือน ขึ้นเรือนเรียกภรรยามาพูดว่า นี่น้องม้าของเรา งามเหลือเกิน ประชาชนที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง สรรเสริญแต่ม้า ของเราเท่านั้น. ฝ่ายพราหมณีนั้นเป็นหญิง ค่อนข้างจะเป็น ชาตินักเลง เหลาะแหละ เพราะฉะนั้นนางจึงตอบเขาอย่างนี้ว่า นายท่านไม่รู้เหตุที่ทำให้ม้างาม ม้าตัวนี้งามเพราะอาศัยเครื่อง ม้าที่ประดับไว้ที่ตัว. หากท่านประสงค์จะงามเหมือนม้า จง ประดับเครื่องม้าแล้วขึ้นไประหว่างถนน แล้วซอยเท้าเหมือนม้า ไปเฝ้าพระราชา. แม้พระราชาก็จักยกย่องท่าน แม้พวกมนุษย์ ก็จักสรรเสริญท่านเท่านั้น. รุหกปุโรหิตเป็นพราหมณ์ค่อนข้าง บ้า ๆ บอ ๆ ฟังคำของพราหมณี ก็ไม่รู้ว่านางพูดกะเราเพราะ เหตุนี้ มุ่งแต่จะงามจึงได้ทำตามนั้น. พวกมนุษย์ที่เห็นต่างพากัน พูดเย้ยหยันว่า อาจารย์งาม. ส่วนพระราชารับสั่งกะเขาเป็นต้น ว่า อาจารย์จิตใจไม่ปกติไปแล้วหรือ เป็นบ้าไปแล้วหรือ แล้ว ทรงทำให้ปุโรหิตละอาย.
            ในกาลนั้นพราหมณ์ละอายว่า เราทำสิ่งอันไม่สมควรเสีย แล้ว จึงเกรี้ยวกราดนางพราหมณีว่า เราถูกนางทำให้ได้อาย ในระหว่างเสนากับพระราชานั้น เราจักโบยตีนางแล้วขับไล่นาง ไปเสีย แล้วกลับไปเรือน นางพราหมณีนักเลงรู้ว่า สามีโกรธ กลับมา จึงออกไปทางประตูเล็กก่อนแล้วไปพระราชวัง พัก อยู่ในพระราชวังสี่ห้าวัน. พระราชาทรงทราบเหตุนั้น จึงรับ สั่งให้เรียกปุโรหิตมาตรัสว่า อาจารย์ ธรรมดาสตรีย่อมมี ความผิดได้เหมือนกัน ควรยกโทษให้นางเสียเถิด เพื่อให้ปุโรหิต ยกโทษ จึงตรัสคาถาแรกว่า :-
            ดูก่อนรุหกะ สายธนูถึงขาดแล้วก็ยังต่อ กันได้อีก ท่านจงคืนดีเสียกับภรรยาเก่าเถิด อย่า ลุอำนาจความโกรธเลย.
            ความย่อในคาถานั้นมีดังนี้
            รุหกะผู้เจริญ สายธนูแม้ขาดแล้ว ก็ยังยัง คือทำให้ติดกันได้มิใช่หรือ ท่านก็เหมือนกันควร สมัครสมานกับภรรยาเก่าเสียเถิด อย่าลุอำนาจ ความโกรธเลย.
            รุหกะได้สดับพระราชดำรัสดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
            เมื่อป่านอ่อนยังมีอยู่ ช่างทำก็ยังมีอยู่ ข้าพระบาทจักกระทำสายอื่นใหม่ พอกันที สำหรับสายเก่า.
            ใจความแห่งคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อป่านอ่อน ยังมีและเมื่อช่างทำยังมี ข้าพระองค์จักทำสายอื่น ไม่ต้องการ สายเก่าที่ขาดแล้วนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้าพระองค์.
            ก็และครั้นปุโรหิตกราบทูลอย่างนี้แล้ว จึงไล่นางพราหมณี ออกไป นำนางพราหมณีอื่นมา.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ สัจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุกระสัน ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. นางปุราณีในครั้งนั้น ได้เป็นภรรยาเก่า ในครั้งนี้ รุหกะได้เป็น ภิกษุกระสัน ส่วนพระราชาพาราณสี คือเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถารุหกชาดกที่ ๑