พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง ปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น ว่า ปวาสา อาคโต ตาต ดังนี้.
            ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อน ภิกษุ ได้ยินว่าเธอกระสันจริงหรือ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า เพราะเหตุไรเธอจึงกระสัน กราบทูลว่า ข้าพระองค์เห็นหญิงงดงามคนหนึ่ง จึงกระสันเพราะอำนาจกิเลส พระพุทธเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อน ภิกษุ ธรรมดามาตุคามใคร ๆ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ แม้เมื่อก่อน เขาวางยามประตูรักษาไว้ ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ เธอจะต้องการ มาตุคามไปทำอะไร แม้ได้แล้ว ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ แล้วทรง นำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในกำเนิดนกแขกเต้า. ชื่อว่า ราธะ. นกแขกเต้านั้นมีน้องชื่อโปฏฐปาทะ. พรานคนหนึ่งจับ นกแขกเต้าสองพี่น้องในขณะยังอ่อนอยู่ไปให้แก่พราหมณ์คนหนึ่ง ในกรุงพาราณสี. พราหมณ์เลี้ยงดูนกแขกเต้าไว้ในฐานะบุตร. แต่นางพราหมณีของพราหมณ์เป็นหญิงไม่รักษาเนื้อรักษาตัว เป็นคนทุศีล. เมื่อพราหมณ์จะไปทำการค้าจึงเรียกลูกนกแขกเต้า นั้นมาสั่งว่า แน่ะลูกพ่อ พ่อจะไปทำการค้า เจ้าทั้งสองคอยดูการ กระทำของแม่เจ้าทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน พึงสืบดูว่า มีชายอื่นไปมาหรือไม่ ครั้นมอบหมายนางพราหมณีกับลูกนก- แขกเต้าแล้วก็ไป. นางพราหมณีตั้งแต่พราหมณ์ออกไปแล้ว ก็ ประพฤติอนาจาร. คนที่มา ๆ ไป ๆ ทั้งกลางคืนกลางวัน ช่างมาก มายเหลือเกิน นกโปฏฐปาทะเห็นดังนั้น จึงถามนกราธะว่า พราหมณ์ได้มอบพราหมณีนี้แก่เราไว้แล้วจึงไป และนางพราหมณี นี้ก็ทำการน่าอดสู เราจะว่าแกดีหรือ. นกราธะตอบว่า อย่าว่า แกเลยน้อง. นกโปฏฐปาทะ ไม่เชื่อฟังคำของนกราธะ จึงไปต่อว่า นางพราหมณีว่า แม่ เพราะอะไร แม่จึงทำการน่าอดสูอย่างนี้. นางพราหมณีอยากจะฆ่านกโปฏฐปาทะนักทำเป็นรัก เรียกมาพูด ว่า นี่ลูกเจ้าก็เป็นลูกของแม่ ตั้งแต่นี้ไปแม่จักไม่ทำอีก มานี่ก่อน ซิลูก พอนกโปฏฐปาทะมาก็ตะคอกว่า เจ้าพูดกะเรา เจ้าไม่รู้ ประมาณตน แล้วบิดคอเสียจนตายโยนลงไปในเตา. พราหมณ์ มาถึงพักผ่อนแล้วเมื่อจะถามพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อราธะแม่ ของเจ้าทำอนาจารหรือเปล่า จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
            ลูกรัก พ่อกลับมาจากที่ค้างแรม กลับมา เดี๋ยวนี้เอง ไม่นานเท่าไรนัก แม่ของเจ้าไม่ไป คบหาบุรุษอื่นดอกหรือ.
            อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า แน่ะพ่อราธะ พ่อกลับมา จากที่ค้างแรม พ่อเพิ่งมาเดี๋ยวนี้เอง มาไม่นานนัก ด้วยเหตุนั้น พ่อไม่รู้เรื่องราวจะขอถามเจ้า ดูก่อนลูก แม่ของเจ้าไม่คบหา ชายอื่นดอกหรือ.
            นกราธะตอบว่า ข้าแต่พ่อธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ กล่าวคำจริงหรือไม่จริงที่ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อจะแจ้งให้ทราบ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
            ธรรมดาบัณฑิตไม่พูดวาจาที่ประกอบ ด้วยความจริง แต่ไม่ดี ขืนพูดไปจะต้องนอนอยู่ ดุจนกแขกเต้าโปฏฐปาทะถูกเผานอนจมอยู่ใน เตาไฟฉะนั้น.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า คิรํ คือ คำพูด. จริงอยู่ คำพูดท่าน เรียกว่าคิระ เหมือนดังวาจาที่เปล่งออกในเวลานี้. ลูกนกแขกเต้า นั้นมิได้คำนึงถึงเพศ จึงกล่าวอย่างนั้น. อธิบายความในคาถานี้ ดังนี้. ข้าแต่พ่อ ธรรมดาบัณฑิตจะไม่กล่าวแม้คำที่ประกอบด้วย สัจจะคือ มีสภาพที่เป็นจริงและประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่ทำ ให้พ้นทุกข์และความจริงที่ไม่ดี คือ ไม่ทำให้พ้นทุกข์. บทว่า สเยถ โปฏฺฐปาโทว มุมฺมเร อุปกูสิโต ความว่า เหมือนนก โปฏฐปาทะ นอนไหม้อยู่ในเถ้ารึง ฉะนั้น. บาลีว่า อุปกุฏฺฐิโต ก็มี ความอย่างเดียวกัน.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ สัจธรรม ประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้ง อยู่ในโสดาปัตติผล. นกแขกเต้าโปฏฐปาทะในครั้งนั้นได้เป็น อานนท์ในครั้งนี้ แต่นกแขกเต้าราธะ คือเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาราธชาดกที่ ๘