พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ละ ความเพียรรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ ปส ฺเสน เสมาโน ดังนี้.ความพิศดารว่า สมัยนั้น พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายแม้ในกาลก่อน ได้กระทำความเพียรแม้ในที่อัน มิใช่ที่อยู่ แม้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ละความเพียร ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีต นิทานมาว่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพชื่อ โภชาชานียะ สมบูรณ์ด้วยอาการ ทั้งปวง ได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์นั้นบริโภคโภชนะ ข้าวสาลีมีกลิ่นหอมอันเก็บไว้ ๓ ปี ถึงพร้อมด้วยรสเลิศต่าง ๆ ในถาดทองอันมี ราคาแสนหนึ่ง ยืนอยู่ในภาคพื้นอันไล้ทาด้วยของหอมมีกำเนิด ๔ ประการ เท่านั้น สถานที่ยืนนั้นวงด้วยม่านผ้ากัมพลแดง เบื้องบนดาดเพดานผ้าอัน วิจิตรด้วยดาวทอง ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ ตามประทีปนํ้าหอม ก็ ขึ้นชื่อว่าพระราชาทั้งหลายผู้ไม่ปรารถนาราชสมบัติในนครพาราณสี ย่อมไม่มี

คราวหนึ่ง พระราชา ๗ พระองค์พากันล้อมนครพาราณสี ทรงส่งหนังสือแก่ พระเจ้าพาราณสีว่า จะให้ราชสมบัติแก่เราทั้งหลายหรือจะรบ. พระเจ้าพาราณสี ให้ประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสบอกข่าวนั้น แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ ทั้งหลาย บัดนี้ พวกเราจะกระทำอย่างไร ? อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ สมมติเทพ เบื้องต้นพระองค์ยังไม่ต้องออกรบก่อน พระองค์จงส่งทหารม้าชื่อ โน้นให้กระทำการรบ เมื่อทหารม้านั้นไม่สามารถข้าพระบาททั้งหลายจักรู้ใน ภายหลัง. พระราชารับสั่งให้เรียกทหารม้านั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เธอ จักอาจกระทำการรบกับพระราชา ๗ องค์หรือไม่. นายทหารม้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าสินธพชื่อโภชาชานียะไซร้ พระราชา ๗ พระองค์จงยกไว้ ข้าพระบาทจักอาจรบกับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป. พระราชา ตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ม้าสินธพโภชาชานียะ หรือม้าอื่นก็ช่างเถิด. นายทหารม้านั้น รับพระดำรัสแล้ว ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท ให้นำม้าสินธพโภชาชานียะมา แม้ตนก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าสินธพ ตัวประเสริฐ ออกจากพระนครไปประดุจฟ้าแลบ ทำลายกองพลที่ ๑ จับเป็น พระราชาได้องค์หนึ่ง พามามอบให้แก่พลในนครแล้วกลับไปอีก ทำลาย กองพลที่ ๒ กองพลที่ ๓ ก็เหมือนกัน จับเป็นพระราชาได้ ๕ องค์ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทำลายกองพลที่ ๖ ในคราวจับพระราชาองค์ที่ ๖ ม้า สินธพโภชาชานียะได้รับบาดเจ็ด เลือดไหล เวทนากล้าเป็นไป นายทหารม้า นั้นรู้ว่าม้าสินธพนั้นได้รับบาดเจ็บ จึงให้ม้าสินธพโภชาชานียะนอนที่ประตู พระราชวัง เริ่มทำเกราะให้หลวมเพื่อจะผูกเกราะม้าตัวอื่น พระโพธิสัตว์ทั้งที่ นอนทางข้างที่มีความผาสุกมาก ลืมตาขึ้นเห็นนายทหารม้า (ทำอย่างนั้น) จึง คิดว่า นายทหารม้านี้จะหุ้มเกราะม้าตัวอื่น และม้าตัวนี้จักไม่สามารถทำลาย กองพลที่ ๗ จับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ และกรรมที่เราทำไว้แล้วจักพินาศหมด แม้นายทหารม้าซึ่งไม่มีผู้เปรียบก็จักพินาศ แม้พระราชาก็จักตกอยู่ในเงื้อมมือ ของพระราชาอื่น เว้นเราเสียม้าอื่นชื่อว่าสามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้ว จับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่นั่นแล ให้เรียกนายทหาร ม้ามาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนนายทหารม้าผู้สหาย เว้นเราเสีย ชื่อว่าม้าอื่นผู้สามารถ เพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี เราจักไม่ทำ กรรมที่เรากระทำแล้วให้เสียหาย ท่านจงให้เราแลลุกขึ้นแล้วผูกเกราะเถิด ครั้น กล่าวแล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอน ตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอก ดู ก่อนนายสารถี ท่านจงประกอบฉันออกรบเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ ปสฺเสน เสมาโน ได้แก่ แม้ นอนโดยข้าง ๆ เดียว. บทว่า สลฺเลภิ สลฺลลีกโต ความว่า เป็นผู้แม้ถูก ศรทั้งหลายแล้ว. บทว่า เสยฺโยว วฬวา โภชฺโฌ ความว่า ม้ากระจอก ซึ่งไม่ได้เกิดในตระกูลม้า ม้าสินธพ ชื่อว่า วฬวะ ม้าโภชาชานียสินธพ ชื่อว่า โภชฌะ ดังนั้น ม้าโภชาชานียสินธพนั่นแหละ แม้ถูกลูกศรแทงแล้ว ก็ยังประเสริฐคือเลิศ อุดม กว่าม้ากระจอกนั่น. ด้วยบทว่า ยุญฺช มญฺเว สารถี นี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เพราะเหตุที่เราแล แม้จะไปด้วยอาการ อย่างนี้ก็ยังประเสริฐกว่า ฉะนั้น ท่านจงประกอบเราเถิด อย่าประกอบม้า ตัวอื่นเลย.

นายทหารม้าพยุงพระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้น พันแผลแล้วผูกสอดเรียบร้อย นั่งบนหลังของพระโพธิสัตว์นั้น ทำลายกองพลทับที่ ๗ จับเป็นพระราชาองค์ที่ ๗ แล้วมอบให้แก่พลของพระราชา คนทั้งหลายนำแม้พระโพธิสัตว์มายังประตู พระราชวัง พระราชาเสด็จออกเพื่อทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์นั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลย จงให้กระทำสบถแล้วปล่อยไป พระองค์จงประทานยศที่จะพึงประทานแก่ข้าพระบาทและนายทหารม้า ให้เฉพาะแก่นายทหารม้าเท่านั้น การจับพระราชา ๗ องค์ได้แล้ว ทำทหารผู้กระทำการรบ ให้พินาศ ย่อมไม่ควร แม้พระองค์ก็จง ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม เมื่อพระโพธิสัตว์ให้ โอวาทแก่พระราชาอย่างนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงถอดเกราะของพระโพธิสัตว์ออก เมื่อเกราะสักว่าถูกถอดออกเท่านั้น พระโพธิสัตว์นั้นดับไปแล้ว.

พระราชาทรง ให้ทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น ได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้า ทรงให้พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ ทรงกระทำสบถเพื่อไม่ประทุษร้ายพระองค์อีก แล้วทรงส่งไปยังที่ของตน ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยสมํ่าเสมอ ใน เวลาสุดสิ้นพระชนมายุ ได้เสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ได้กระทำความเพียรแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิดอย่างนี้ แม้ได้รับบาดเจ็บเห็น ปานนี้ ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจาก ทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไร จึงละความเพียรเสีย แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรตั้งอยู่ในพระอรหัตผล ฝ่ายพระศาสดาครั้น ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ นายทหารม้าในครั้งนั้น ได้ เป็นพระสารีบุตร ส่วนโภชาชานียสินธพในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.

จบโภชาชานียชาดกที่ ๓

กลับที่เดิม