พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มักโอ้อวดรูปหนึ่งตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี คำเริ่มต้นว่า ยนฺเต ปวิกตฺถิตํ ปุเร ดังนี้.
            ได้ยินว่า ภิกษุรูปหนึ่ง เที่ยวคุยโอ่ เย้ยหยัน หลอกลวง ในกลุ่มภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ทั้งที่เป็นนวกะ และที่เป็นมัชฌิมะ ด้วยอำนาจสมบัติ มีชาติเป็นต้นว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ว่าถึงชาติ กันละก็ ไม่มีทางที่จะเสมอด้วยชาติของเรา ว่าถึงโคตรก็ไม่มี ที่จะเสมอด้วยโคตรของเรา พวกเราเกิดในตระกูลมหากษัตริย์ ขึ้นชื่อเห็นปานนี้ ผู้ที่จะได้ชื่อว่าทัดเทียมกับเรา โดยโคตรหรือ ด้วยทรัพย์หรือด้วยถิ่นฐานของตระกูล ไม่มีเลย ทองเงินเป็นต้น ของพวกเรามีจนหาที่สุดมิได้ เพียงแต่พวกทาสกรรมกรของ พวกเรา ก็พากันกินข้าวสุกที่เป็นเนื้อข้าวสาลี นุ่งผ้าที่มาจาก แคว้นกาสีเป็นต้น ผัดเครื่องลูบไล้ที่มาแต่แคว้นกาสี เพราะ เป็นบรรพชิตดอก เดี๋ยวนี้พวกเราถึงบริโภคโภชนะเศร้าหมอง ครองจีวรเลว ๆ อย่างนี้.
            ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งสอบสวนถิ่นฐาน แห่งตระกูลของเธอได้แน่นอน ก็กล่าวความที่เธอคุยโอ้อวดนั้น แก่พวกภิกษุ พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภา พากันพูดถึงโทษ มิใช่คุณของเธอว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุโน้นบวชแล้วในพระศาสนา อันจะนำออกจากทุกข์ได้เห็นปานฉะนี้ ยังจะเที่ยวคุยโอ่ เย้ยหยัน หลอกลวงอยู่ได้
            พระบรมศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง อะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนั้นเที่ยว คุยโอ่ถึงในครั้งก่อน ก็เคยเที่ยวคุยโอ่ เย้ยหยัน หลอกลวงมาแล้ว ดังนี้แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ ในนิคมคามตำบลหนึ่ง เจริญวัยแล้วเล่าเรียนไตรเพท อันเป็น ที่ตั้งแห่งวิชชา ๑๘ ประการ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ เมืองตักกสิลา ถึงความสำเร็จศิลปะทุกประการได้นามว่า จูฬธนุคคหบัณฑิต. เขาออกจากตักกสิลานคร เสาะแสวงหา ศิลปะในลัทธิสมัยทุกอย่าง ลุถึงมหิสกรัฐ
            ก็ในชาดกนี้ มีแนวว่า พระโพธิสัตว์มีร่างกายเตี้ยอยู่หน่อยท่าทางเหมือนค่อม เขาดำริว่า ถ้าเราจักเฝ้าพระราชาองค์ใดองค์หนึ่ง ท้าวเธอจักกล่าวว่า เจ้ามีร่างกายเตี้ยอย่างนี้ จักทำราชการได้หรือ อย่ากระนั้นเลย เราหาคนที่สมบูรณ์ด้วยความสูง ความล่ำสันรูปงามสักคนหนึ่ง ทำเป็นโล่ห์ แล้วก็เลี้ยงชีวิตอยู่หลังฉากของคนผู้นั้น คิดแล้ว ก็เที่ยวเสาะหาชายที่มีรูปร่างอย่างนั้น ไปถึงที่ทอหูกของช่าง หูกผู้หนึ่ง ชื่อว่า ภีมเสน ทำปฏิสันถารกับเขา พลางถามว่า สหายเธอชื่อไร ?
            เขาตอบว่า ฉันชื่อภีมเสน.
            จูฬ. ก็เธอเป็นผู้มีรูปงาม สมประกอบทุกอย่างอย่างนี้ จะกระทำงานเลว ๆ ต่ำ ๆ นี้ทำไม ?
            ภีมเสน. ฉันไม่อาจอยู่เฉย ๆ ได้ (โดยไม่ทำงาน)
            จูฬ. สหายเอ๋ย อย่าทำงานนี้เลย ในชมพูทวีปทั้งสิ้น จะหานายขมังธนูที่พอจะทัดเทียมกับฉันไม่มีเลย แต่ถ้าเราเข้าเฝ้า พระราชาองค์ไหน ท้าวเธอน่าจะกริ้วฉันได้ว่า เจ้านี่เตี้ย ๆ อย่างนี้ จะทำราชการได้อย่างไรกัน เธอพึงไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นนายขมังธนู ดังนี้ พระราชาจักพระราชทาน บำเหน็จให้เธอแล้ว พระราชทานเบี้ยเลี้ยงเนือง ๆ ฉันจะคอย ทำงานที่เกิดขึ้นแก่เธอขออาศัยดำรงชีพอยู่เบื้องหลังเงาของ เธอ ด้วยวิธีอย่างนี้เราทั้งสองคนก็จักเป็นสุข ท่านจงทำตาม คำของเรา
            ภีมเสนตกลงรับคำ. จูฬธนุคคหบัณฑิตจึงพาเขาไป พระนครพาราณสี กระทำตนเองเป็นผู้ปรนนิบัติ ยกเขาขึ้นหน้า หยุดยืนที่ประตูพระราชฐาน ให้กราบทูลพระราชา ครั้นได้รับ พระบรมราชานุญาตว่า พากันมาเถิดแล้ว ทั้งสองคนก็เข้าไป ถวายบังคมพระราชาแล้วยืนอยู่
            ครั้นมีพระราชดำรัสว่า เจ้า ทั้งสองพากันมาทำไม
            ภีมเสนจึงกราบทูลว่าข้าพระองค์เป็น นายขมังธนู ทั่วพื้นชมพูทวีป จะหานายขมังธนูที่ทัดเทียมกับ ข้าพระองค์ไม่มีเลย.
            รับสั่งถามว่า ดูก่อนพนายเจ้าได้อะไรถึง จักบำรุงเรา ? กราบทูลว่า
            เมื่อได้พระราชทรัพย์พันกระษาปณ์ ทุก ๆ กึ่งเดือน จึงจะขอเข้ารับราชการ พระเจ้าข้า.
            รับสั่งถามว่า ก็บุรุษนี้เล่าเป็นอะไรของเจ้า ?
            กราบทูลว่า เป็นผู้ปรนนิบัติ พระเจ้าข้า.
            รับสั่งว่า ดีละ จงบำรุงเราเถิด. จำเดิมแต่นั้นภีมเสน ก็เข้ารับราชการ แต่ราชกิจที่เกิดขึ้นแล้ว พระโพธิสัตว์จัดทำ แต่ผู้เดียว.
            ก็โดยสมัยนั้น ที่แคว้นกาสี ณ ป่าแห่งหนึ่ง มีเสือร้าย สะกัดทางสัญจรของพวกมนุษย์ จับเอาพวกมนุษย์ไปกิน เสียเป็นอันมาก. ชาวเมืองพากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้ภีมเสนเข้าเฝ้า
            ตรัสถามว่า พ่อคุณ พ่ออาจจักจับเสือตัวนี้ได้ไหม ?
            ภีมเสนกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่อาจจับเสือได้ จะได้ชื่อว่า นายขมังธนูได้อย่างไร ? พระราชาพระราชทานรางวัลแก่เขาแล้วทรงส่งไป เขาไปถึง เรือนบอกแก่พระโพธิสัตว์.
            พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดีแล้ว เพื่อน ไปเถิด.
            ภีมเสน ถามว่า ก็ท่านเล่าไม่ไปหรือ ?
            พระโพธิสัตว์ ตอบว่า ฉันไม่ไปดอก แต่จักบอกอุบายให้ ภีมเสนกล่าวว่า จงบอกเถิดเพื่อน.
            พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านอย่ารีบไปที่อยู่ ของเสือลำพังผู้เดียวเป็นอันขาด แต่ต้องประชุมชาวชนบท เกณฑ์ให้ถือธนูไปสักพันหรือสองพัน แล้วไปที่เสืออยู่นั้น พอรู้ ว่าเสือมันลุกขึ้น ต้องรีบหนีเข้าพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง นอนหมอบ ส่วน พวกชนบทจะพากันรุมตีเสือจนจับได้ ครั้นพวกนั้นจับเสือได้แล้ว ท่านต้องเอาฟันกัดเถาวัลย์เส้นหนึ่ง จับปลายเดินไปที่นั้น ถึงที่ ใกล้ ๆ เสือตายแล้วพึงกล่าวว่าพ่อคุณเอ๋ย ใครทำให้เสือตัวนี้ ตายเสียเล่า เราคิดว่า จักผูกเสือด้วยเถาวัลย์ เหมือนเขาผูกวัว จูงไปสู่ราชสำนักให้จงได้ เข้าไปสู่พุ่มไม้เพื่อหาเถาวัลย์ เมื่อเรา ยังไม่ทันได้นำเถาวัลย์มา ใครฆ่าเสือตัวนี้ให้ตายเสียเล่า เมื่อ เป็นเช่นนี้ ชาวชนบทเหล่านั้นต้องสะดุ้งกลัว กล่าวว่า เจ้านาย ขอรับ โปรดอย่ากราบทูลพระราชาเลย จักพากันให้ทรัพย์มาก เสือก็จักเป็นอันแกคนเดียวจับได้ ทั้งยังจักได้ทรัพย์เป็นอันมาก จากสำนักพระราชาอีกด้วย ภีมเสนรับคำว่า ดีจริง ๆ แล้วไปจับ เสือ ตามแนวที่พระโพธิสัตว์แนะให้นั่นแหละ ทำป่าให้ปลอดภัย แล้ว มีมหาชนห้อมล้อมมาสู่พระนครพาราณสี
            เข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์จับเสือได้แล้ว ทำป่าให้ปลอดภัย แล้ว พระราชาทรงยินดี พระราชทานทรัพย์ให้มากมาย. ครั้นต่อมาในวันรุ่งขึ้น
            พวกชาวเมืองพากันมากราบทูลว่า กระบือดุ สะกัดทางแห่งหนึ่ง พระราชาก็ส่งภีมเสนไป โดยทำนอง เดียวกัน เขาก็จับกระบือแม้นั้นมาได้ ด้วยคำแนะนำที่พระโพธิสัตว์ บอกให้ เหมือนกับตอนจับเสือฉะนั้น. พระราชาก็ได้พระราชทาน ทรัพย์ให้เป็นอันมากอีก. เกิดมีอิสสริยยศใหญ่ยิ่ง เขาเริ่มมัวเมา ด้วยความมัวเมาในความใหญ่โต กระทำการดูหมิ่นพระโพธิสัตว์ มิได้เชื่อถือถ้อยคำของพระโพธิสัตว์ กล่าวคำหยาบคายสามหาว เป็นต้นว่า เราไม่ได้อาศัยท่านเลี้ยงชีพดอก ท่านคนเดียวเท่านั้น หรือที่เป็นลูกผู้ชาย.
            ครั้นอยู่ต่อมาไม่กี่วัน พระราชาประเทศใกล้เคียงพระองค์ หนึ่ง ยกทัพมาล้อมประชิดพระนครพาราณสีไว้ พลางส่งพระราชสาสน์ถวายพระราชาว่า พระองค์จักยอมถวายราชสมบัติ แก่หม่อมฉันหรือว่าจักรบ. พระราชาทรงส่งภีมเสนออกไปว่า เจ้าจงออกรบ เขาสอดสวมเครื่องรบครบครัน ครองเพศเป็น พระราชา นั่งเหนือหลังช้างอันผูกเครื่องเรียบร้อย.
            แม้พระโพธิสัตว์ ก็สอดสวมเครื่องรบพร้อมสรรพ นั่งกำกับมาท้ายที่นั่งของ ภีมเสนนั่นเอง เพราะกลัวเขาจะตาย. พญาช้างห้อมล้อมด้วย มหาชน เคลื่อนขบวนออกโดยประตูพระนคร ลุถึงสนามรบ ภีมเสนพอได้ฟังเสียงกลองรบเท่านั้นก็เริ่มสั่นสะท้าน พระโพธิสัตว์คิดว่า น่ากลัวภีมเสนจักตกหลังช้างตายเสียในบัดดล จึงเอาเชือกรัดภีมเสนเข้าไว้แน่น เพื่อไม่ให้ตกช้าง. ภีมเสน ครั้นเห็นสนามรบแล้วยิ่งกลัวตายเป็นกำลัง ถึงกับอุจจาระ ปัสสาวะราดรดหลังช้าง.
            พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ภีมเสนเอย การกระทำในตอนหลัง ช่างไม่สมกับคำพูดครั้งก่อน ๆ ของท่าน เสียเลย ครั้งก่อนดูท่านใหญ่โตราวกับผู้เจนสงคราม เดี๋ยวนี้สิ ประทุษร้ายหลังช้างเสียแล้ว กล่าวคาถานี้ ใจความว่า :- "ภีมเสนเอย ที่ท่านคุยโอ่ไว้แต่ก่อน แล้ว ภายหลังกลับปล่อยอุจจาระไหลออกมา คำคุย ถึงการรบ กับความกระสับกระส่ายของท่าน ดูช่างไม่สมกันเลย" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยนฺเต ปวิกตฺถิตํ ปุเร ความว่า คำใด คือคำที่ท่านโอ้อวดกล่าวคำข่มไว้แต่ก่อนว่า แกคนเดียว หรือที่เป็นลูกผู้ชาย ข้าไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือ แม้ถึงข้าก็เป็นทหาร ชำนาญศึก ดังนี้ นี้เป็นคำก่อนหนึ่งละ. บทว่า อถ เต ปูติสรา สชํ ความว่า ครั้นภายหลัง กระแส มูตรและคูถ อันได้นามว่า กระแสเน่า เพราะมันเป็นของเน่าด้วย เป็นของไหลได้ด้วย เหล่านี้นั้น ไหลเลอะเทอะออกมา. บทว่า ปจฺฉา ได้แก่ในเวลาต่อมาจากที่คุยอวดไว้ก่อนนั้น อธิบายว่า ในบัดนี้ คือที่ สนามรบนี้. บทว่า อุภยํ น สเมติ ภีมเสน ความว่า ดูก่อนภีมเสน คำทั้งสองนี้ ดูช่างไม่สมกันเลย. คำไหนบ้าง ? คือคำที่คุยโอ่ถึงการรบ กับความกระสับกระส่ายของ ท่านนี้. มีอธิบายว่า ได้แก่คำที่กล่าวถึงการรบที่พูดไว้ครั้งก่อน กับความกระสับกระส่าย ความลำบาก คือความคับแค้นถึงกับ ปล่อยคูถและมูตรราดรดหลังช้างไม่สมกันเลย.
            พระโพธิสัตว์ ตำหนิเขาอย่างนี้แล้ว ปลอบว่า อย่ากลัว เลย เพื่อนเอ๋ย เมื่อเรายังอยู่ จะเดือดร้อนไปใย ดังนี้แล้ว ให้ ภีมเสนลงเสียจากหลังช้าง กล่าวว่า จงไปอาบน้ำเถิด ส่งกลับไป ดำริว่า วันนี้เราควรแสดงตน แล้วไสช้างเข้าสู่สนามรบ บรรลือ สีหนาท โจมตีกองพลแตก ให้ล้อมจับเป็นพระราชาผู้เป็นศัตรู ไว้ได้ แล้วไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสี.
            พระราชาทรงยินดี พระราชทานยศใหญ่ แก่พระโพธิสัตว์. จำเดิมแต่นั้นมา นามว่า จูฬธนุคคหบัณฑิต ก็กระฉ่อนไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น. พระโพธิสัตว์ ได้ให้บำเหน็จแก่ภีมเสนแล้วส่งกลับถิ่นฐานเดิม กระทำบุญ มีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
            พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้คุยโอ้อวดแม้ในกาลก่อนก็ได้คุย โอ้อวดแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า ภีมเสนในครั้งนั้นได้มาเป็น ภิกษุผู้มักโอ้อวด ส่วนจูฬธนุคคหบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาภีมเสนชาดกที่ ๑๐