๑. บาลีเป็น มนมฺหิ แต่อฏฺ€กถาเป็น ปนมฺหิ ฯ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภปัญหาในปุถุชน มีบุคคลเป็นที่ ๕ ตรัสพระธรรมเทศนา นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปโรสหสฺสมฺปิ สมาคตานํ ดังนี้.
            เรื่องจักปรากฏชัดเจนในสรภังคชาดก ก็สมัยหนึ่ง ภิกษุ ทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนากันถึงเรื่องคุณของ พระเถระเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พยากรณ์ปัญหาที่พระทศพลตรัสโดยย่อได้โดยพิสดาร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่ง ประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
            เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล ให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้ เท่านั้น ที่สารีบุตรพยากรณ์ปัญหาที่เรากล่าวอย่างย่อได้โดย พิสดาร แม้ในกาลก่อน ก็พยากรณ์ได้แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำ เอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ เจริญวัย แล้ว เล่าเรียนสรรพศิลปวิทยา ในเมืองตักกสิลา ละกามทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิดได้แล้ว อยู่ในป่าหิมพานต์ แม้บริวารของท่านก็ได้บวชเป็นดาบส ๕๐๐ รูป
            คราวนั้นเป็นฤดูฝน อันเตวาสิกผู้ใหญ่ของท่าน พาคณะฤๅษี ประมาณครึ่งหนึ่ง ไปสู่ถิ่นของมนุษย์ เพื่อต้องการรสเค็ม รสเปรี้ยว ในกาลนั้น ประจวบเป็นสมัยที่พระโพธิสัตว์จะทำกาละ พวกอันเตวาสิกทั้งหลาย พากันถามการบรรลุคุณพิเศษกะท่าน ว่า
            ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านได้คุณพิเศษชนิดไหน ?
            ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย
            แล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เพราะว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะได้อรูปสมาบัติ ก็มิได้บังเกิดใน อรูปภพ เป็นสถานที่อันมิบังควร พวกอันเตวาสิกคิดกันว่า ท่านอาจารย์ไม่มีคุณพิเศษเลย ดังนี้แล้ว ไม่กระทำสักการะ ในป่าช้า อันเตวาสิกผู้ใหญ่กลับมาแล้ว ถามว่า ท่านอาจารย์ ไปไหน ?
            ครั้นทราบว่า ทำกาละเสียแล้ว จึงกล่าวว่า เออก็ พวกเธอถามถึงคุณพิเศษที่ท่านได้บรรลุกะท่านหรือเปล่า ?
            พวกเราถามแล้ว ขอรับ. ท่านตอบว่าอย่างไร ?
            ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย เหตุนั้นพวกเราจึงไม่ทำ สักการะแก่ท่าน
            อันเตวาสิกผู้ใหญ่กล่าวว่า พวกเธอมิได้รู้ ความหมายแห่งคำของอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ
            แม้ถึงอันเตวาสิกผู้ใหญ่นั้น จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวก อันเตวาสิกเหล่านั้น ก็ไม่ยอมเชื่อ พระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั้น ดำริว่า พวกอันธพาลไม่เชื่อถ้อยคำอันเตวาสิกผู้ใหญ่ของเรา เราต้องกระทำเหตุนี้ให้ปรากฏแก่อันเตวาสิกเหล่านั้น แล้วมา จากพรหมโลก ยืนอยู่ในอากาศ ด้วยอานุภาพอันใหญ่ เบื้องบน อาศรมบท เมื่อจะพรรณนาปัญญานุภาพของอันเตวาสิกผู้ใหญ่ กล่าวคาถานี้ ความว่า :- "แม้จะมีผู้มาประชุมกันตั้งพันกว่า พวก เหล่านั้นก็ไม่มีปัญญา พึงคร่ำครวญไปตั้ง ๑๐๐ ปี บุรุษผู้มีปัญญารู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าว แล้ว ผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรสหสฺสมฺปิ แปลว่า แม้เกิน กว่าพัน. บทว่า สมาคตานํ ความว่า พวกคนเขลาผู้ไม่สามารถ ทราบความหมายของคำที่เรากล่าวแล้วมาประชุมกันแล้ว. ด้วยบทว่า กนฺเทยฺยุ เต วสฺสสตํ อปญฺญา นี้ พระโพธิสัตว์ แสดงว่า พวกเหล่านั้นที่มารวมกันอย่างนี้ ไร้ปัญญา เหมือนพวก ดาบสโง่เหล่านี้ พากันร้องไห้คร่ำครวญกันไปตั้งร้อยปี แม้ ตั้งพันปี แม้ตั้งแสนปี ถึงแม้จะพากันร้องไห้ ก็ไม่พึงรู้ถึงความ หมาย หรือเหตุได้เลย. บทว่า เอโกว เสยฺโย ปุริโส สปญฺโญ ความว่า บุรุษที่ เป็นบัณฑิตคนเดียวเท่านั้น ดีกว่า ประเสริฐกว่าพวกคนพาล เห็นปานนั้น แม้ตั้งพันกว่า. มีปัญญาเช่นไร ? ผู้มีปัญญารู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าวแล้ว เหมือน อย่างอันเตวาสิกผู้ใหญ่นี้.
            พระมหาสัตว์ ยืนอยู่ในอากาศนั่นแหละ แสดงธรรมชี้แจง ให้คณะดาบสรู้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ไปสู่พรหมโลก ดังเดิม พวกดาบส แม้เหล่านั้น ครั้นสิ้นชีวิตต่างก็ไปเกิดใน พรหมโลก.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า อันเตวาสิกผู้ใหญ่ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนมหาพรหมได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาปโรสหัสสชาดกที่ ๙