พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เจริญ ด้วยจีวร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาจฺจนฺตํ นิกติปฺปญฺโ ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุผู้อยู่ในพระเชตวันวิหารรูปหนึ่ง เป็นผู้ฉลาดในกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง มีการตัด การขัด การจัด และการเย็บผ้าที่จะพึงทำในจีวร ภิกษุนั้นย่อมเพิ่มจีวรด้วยความเป็นผู้ฉลาดนั้น เพราะฉะนั้น จึงปรากฏชื่อว่า จีวรวัฑฒกะ ผู้เจริญด้วยจีวร. ถามว่า ก็ภิกษุนี้กระทำอย่างไร ? ตอบว่า ภิกษุนี้เอาผ้าเก่าที่ครํ่าคร่ามาแสดงหัตถกรรมคือทำด้วยมือ กระทำจีวรสัมผัส ได้ดี น่าพอใจ ในเวลาเสร็จการย้อม ได้ย้อมด้วยนํ้าแป้ง ขัดด้วยหอยสังข์ กระทำให้ขึ้นเงาเป็นที่พอใจแล้วเก็บไว้. ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่รู้จักทำจีวรกรรม จึงถือเอาผ้าสาฎกทั้งหลายใหม่ ๆ ไปยังสำนักของภิกษุนั้น จึงกล่าวว่า พวก ผมไม่รู้จักทำจีวร ขอท่านจงทำจีวรให้แก่พวกผม. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มี อายุทั้งหลาย จีวรเมื่อกระทำย่อมสำเร็จช้า จีวรที่เราทำไว้เท่านั้นมีอยู่ ท่าน ทั้งหลายจงวางผ้าสาฎกเหล่านี้ไว้ แล้วจงถือเอาจีวรที่ทำไว้แล้วนั้นไปเถอะ กล่าวแล้วจึงนำออกมาให้ดู. ภิกษุเหล่านั้นเห็นวรรณสมบัติของจีวรนั้นเท่านั้น ไม่รู้ถึงภายใน สำคัญว่า มั่นคงดี จึงให้ผ้าสาฎกใหม่ทั้งหลายแก่พระจีวรวัฑฒกะ แล้วถือเอาจีวรนั้นไป. จีวรนั้นอันภิกษุเหล่านั้นซักด้วยนํ้าร้อนในเวลาเปื้อน เปรอะนิดหน่อย มันจึงแสดงปรกติของตน. ที่ที่เก่าครํ่าคร่าปรากฏในที่นั้น ๆ ภิกษุเหล่านั้นต่างมีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ ภิกษุนั้นเอาผ้าเก่าลวงภิกษุ ทั้งหลายที่มาแล้ว ๆ ด้วยอาการอย่างนี้ จนปรากฏไปในที่ทั้งปวง

แม้ในบ้าน แห่งหนึ่งก็มีพระจีวรวัฑฒกะรูปหนึ่ง ล่อลวงชาวโลก เหมือนพระจีวรวัฑฒกะ รูปนี้ในพระเชตวันวิหารฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนคบของภิกษุนั้น จึง บอกว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า พระจีวรวัฑฒกะรูปหนึ่งในพระเชตวัน ล่อ ลวงชาวโลกอย่างนี้. ลำดับนั้น พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอกนั้น ได้มีความคิด ดังนี้ว่า เอาเถอะ เราจะลวงพระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงรูปนั้น แล้วกระทำจีวร เก่าให้เป็นที่น่าพอใจยิ่ง แล้วย้อมอย่างดี ได้ห่มจีวรนั้นไปยังพระเชตวันวิหาร ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะชาวกรุง พอเห็นจีวรนั้นเท่านั้นเกิดความโลภอยากได้ จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ จีวรนี้ท่านทำเองหรือ ? พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอก กล่าวว่า ขอรับท่านผู้มีอายุ ผมทำเอง. พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงให้จีวรผืนนี้แก่ผมเถิด ท่านจักได้ผืนอื่น. พระจีวร วัฑฒกะบ้านนอกกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ พวกผมเป็นพระบ้านนอก หาปัจจัย ได้ยาก ผมให้จีวรผืนนี้แก่ท่านแล้ว ตัวเองจักห่มอะไร. พระจีวรวัฑฒกะ ชาวกรุงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าสาฎกใหม่ ๆ ในสำนักของผมมีอยู่ ท่านจง ถือเอาผ้าสาฎกเหล่านั้นกระทำจีวรของท่านเถิด. พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอก กล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ผมแสดงหัตถกรรมในจีวรนี้ ก็เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ผมจะอาจทำได้อย่างไร ท่านจงถือเอาจีวรผืนนั้น แล้วให้จีวรที่ทำด้วยผ้าเก่า แก่พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงนั้น แล้วถือเอาผ้าสาฎกใหม่ ๆ ลวงพระจีวรวัฑฒกะ ชาวกรุงนั้นแล้วหลีกไป. ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ก็ห่มจีวร นั้น พอล่วงไป ๒ - ๓ วัน จึงซักด้วยนํ้าร้อน เห็นว่าเป็นผ้าเก่าครํ่าคร่าก็ละอาย. ความที่พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงนั้นถูกลวง เกิดปรากฏไปในท่ามกลางสงฆ์ว่า เขาว่าพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ถูกพระจีวรวัฑฒกะบ้านนอกลวง เอาแล้ว.

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งกล่าวเรื่องนั้นในโรงธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนา กันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? ภิกษุเหล่านั้นพากันกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ย่อมล่อลวงภิกษุอื่นในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ล่อลวงมาแล้ว เหมือนกัน ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะชาวบ้านนอก ได้ล่อลวงพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ ในพระเชตวันรูปนี้ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ล่อลวง แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นไม้ซึ่งตั้งอาศัย สระปทุมแห่งหนึ่งอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง. ในกาลนั้น คราวฤดูร้อน นํ้าในสระ แห่งหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่นัก ได้น้อยลง แต่ในสระนั้นมีปลาเป็นอันมาก. ครั้งนั้น นกยางตัวหนึ่งเห็นปลาทั้งหลายแล้วคิดว่า เราจักลวงกินปลาเหล่านี้ ด้วยอุบาย สักอย่าง จึงไปนั่งคิดอยู่ที่ชายนํ้า. ลำดับนั้น ปลาทั้งหลายเห็นนกยางนั้นจึง ถามว่า เจ้านาย ท่านนั่งคิดถึงอะไรอยู่หรือ ? นกยางกล่าวว่า เรานั่งคิดถึง พวกท่าน. ปลาทั้งหลายถามว่า เจ้านาย ท่านคิดถึงเราอย่างไร. นกยาง กล่าวว่า เรานั่งคิดถึงพวกท่านว่า นํ้าในสระนี้น้อย ที่เที่ยวก็น้อย และความ ร้อนมีมาก บัดนี้ ปลาเหล่านี้จักกระทำอย่างไร. ลำดับนั้น พวกปลาจึงกล่าว ว่า เจ้านาย พวกเราจะกระทำอย่างไร. นกยางกล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะ กระทำตามคำของเรา เราจะเอาจงอยปากคาบบรรดาพวกท่านคราวละตัว นำ ไปปล่อยยังสระใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งดารดาษด้วยปทุม ๕ สี. ปลาทั้งหลายกล่าว ว่า เจ้านาย ตั้งแต่ปฐมกัปมา ชื่อว่านกยางผู้คิดดีต่อพวกปลา ย่อมไม่มี ท่านประสงค์จะกินบรรดาพวกเราทีละตัว พวกเราไม่เชื่อท่าน. นกยางกล่าวว่า เราจักไม่กิน ก็ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเราว่าสระนํ้ามี พวกท่านจงส่งปลาตัวหนึ่ง ไปดูสระนํ้าพร้อมกับเรา. ปลาทั้งหลายเชื่อนกยางนั้น คิดว่า ปลาตัวนี้สามารถ ทั้งทางนํ้าและทางบก จึงได้ให้ปลาทั้งใหญ่ทั้งดำตัวหนึ่งไปด้วยคำว่า ท่านจง เอาปลาตัวนี้ไป. นกยางนั้นคาบปลาตัวนั้นนำไปปล่อยในสระ แสดงสระทั้ง หมดแล้ว นำกลับมาปล่อยในสำนักของปลาเหล่านั้น. ปลานั้นจึงพรรณนา สมบัติของสระแก่ปลาเหล่านั้น. ปลาเหล่านั้นได้ฟังถ้อยคำของปลาตัวนั้น เป็น ผู้อยากจะไป จึงพากันกล่าวว่า ดีละ เจ้านาย ท่านจงคาบพวกเราไป. นก ยางคาบปลาตัวทั้งดำทั้งใหญ่ตัวแรกนั้นนั่นแหละ แล้วนำไปยังฝั่งของสระนํ้า แสดงสระนํ้าให้เห็นแล้วซ่อนที่ต้นกุ่มซึ่งเกิดอยู่ริมสระนํ้า แล้วสอดปลานั้นเข้า ในระหว่างค่าคบ จิกด้วยจะงอยปากให้ตายแล้วกินเนื้อ ทิ้งก้างให้ตกลงที่โคน ต้นไม้แล้วกลับไป พูดว่า ปลาตัวนั้นเราปล่อยไปแล้ว ปลาตัวอื่นจงมา แล้ว คาบเอาทีละตัวโดยอุบายนั้น กินปลาหมด กลับมาอีก แม้ปลาตัวหนึ่งก็ไม่ เห็น.

ก็ในสระนี้มีปูเหลืออยู่ตัวหนึ่ง นกยางเป็นผู้อยากจะกินปูแม้ตัวนั้นจึง กล่าวว่า ปูผู้เจริญ เรานำปลาทั้งหมดนั้นไปปล่อยในสระใหญ่อันดารดาษด้วย ปทุม มาเถิดท่าน แม้ท่านเราก็จักนำไป. ปูถามว่า ท่านเมื่อจะพาเราไปจัก พาไปอย่างไร ? นกยางกล่าวว่า เราจักคาบพาเอาไป. ปูกล่าวว่า ท่านเมื่อ พาไปอย่างนี้ จักทำเราให้ตกลงมา เราจักไม่ไปกับท่าน. นกยางกล่าวว่า อย่ากลัวเลย เราจักคาบท่านให้ดีแล้วจึงไป. ปูคิดว่า ชื่อว่าการคาบเอาปลา ไปปล่อยในสระ ย่อมไม่มีแก่นกยางนี้ ก็ถ้านกยางจักปล่อยเราลงในสระ ข้อนี้ เป็นการดี หากจักไม่ปล่อย เราจักตัดคอมันเอาชีวิตเสีย. ลำดับนั้น ปูจึงกล่าว กะนกยางนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนนกยางผู้สหาย ท่านจักไม่อาจคาบเอาเราไปให้ ดีได้ ก็เราคาบด้วยจึงจะเป็นการคาบที่ดี ถ้าเราจักได้เอาก้ามคาบคอท่านไซร้ เราจักกระทำคอของท่านให้เป็นของอันเราคาบดีแล้ว จึงจักไปกับท่าน. นก ยางนั้นคิดแต่จะลวงปูนั้น หารู้ไม่ว่า ปูนี้ลวงเรา จึงรับคำว่าตกลง. ปูจึง เอาก้ามทั้งสองของมันคาบคอนกยางนั้นไว้แน่น ประหนึ่งคีบด้วยคีมของช่าง ทอง แล้วกล่าวว่า ท่านจงไปเดี๋ยวนี้. นกยางนั้นนำปูนั้นไปให้เห็นสระแล้ว บ่ายหน้าไปทางต้นกุ่ม. ปูกล่าวว่า ลุง สระนี้อยู่ข้างโน้น แต่ท่านจะนำไป ข้างนี้. นกยางกล่าวว่า เราเป็นลุงที่น่ารัก แต่เจ้าไม่ได้เป็นหลานเราเลยหนอ แล้วกล่าวว่า เจ้าเห็นจะทำความสำคัญว่า นกยางนี้เป็นทาสของเรา พาเรา เที่ยวไปอยู่ เจ้าจงดูก้างปลาที่โคนต้นกุ่มนั่น แม้เจ้า เราก็จักกินเสีย เหมือน กินปลาทั้งหมดนั้น. ปูกล่าวว่า ปลาเหล่านั้น ท่านกินได้ เพราะความที่ตน เป็นปลาโง่ แต่เราจักไม่ให้ท่านกินเรา แต่ท่านนั่นแหละจักถึงความพินาศ ด้วยว่า ท่านไม่รู้ว่าถูกเราลวง เพราะความเป็นคนโง่ เราแม้ทั้งสอง เมื่อจะ ตายก็จักตายด้วยกัน เรานั่นจักตัดศีรษะของท่านให้กระเด็นลงบนภาคพื้น กล่าว แล้วจึงเอาก้ามปานประหนึ่งคีมหนีบคอนกยางนั้น. นกยางนั้นอ้าปาก นํ้าตา ไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง ถูกมรณภัยคุกคาม จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย เราจักไม่กินท่าน ท่านจงให้ชีวิตเราเถิด. ปูกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้นท่าน ร่อนลงแล้วปล่อยเราลงในสระ. นกยางนั้นหวนกลับมาร่อนลงยังสระนั่นแหละ แล้ววางปูไว้บนหลังเปือกตม ณ ที่ริมสระ. ปูตัดคอนกยางนั้นขาดจมลงไป ในนํ้าเหมือนตัดก้านโกมุทด้วยกรรไกรฉะนั้น. เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นกุ่มเห็นความ อัศจรรย์นั้น เมื่อจะให้สาธุการทำป่าให้บันลือลั่น จึงกล่าวคาถานี้ด้วยเสียงอัน ไพเราะว่า บุคคลผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น ย่อมไม่ได้ ความสุขเป็นนิตย์ เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่น ย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้ เหมือนนก ยางถูกปูหนีบคอฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาจฺจนฺตํ นิกติปฺปญฺโญ นิกตฺยา สุขเมธติ ความว่า การหลอกลวง เรียกว่า นิกติ บุคคลผู้มีปัญญาชื่อว่า นิกติ คือผู้มีปัญญาหลอกลวง ย่อมไม่ถึงความสุขโดยส่วนเดียว คือไม่อาจ ดำรงอยู่ในความสุขนั้นแหละ ตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะการลวง คือการ หลอกลวงนั้น แต่ว่าย่อมถึงแต่ความพินาศโดยส่วนเดียวเท่านั้น. บทว่า อาราเธติ แปลว่า ย่อมได้เฉพาะ อธิบายว่า บุคคลผู้ลามกมีปัญญาหลอก ลวง คือ มีปัญญาอันสำเหนียกความเป็นคนคดโกง ย่อมได้เฉพาะคือย่อม ประสบผลแห่งบาปที่ตนได้กระทำไว้. ย่อมประสบผลบาปอย่างไร ? ย่อม ประสบผลบาป เหมือนนกยางคอขาดเพราะปูฉะนั้น อธิบายว่า บาปบุคคล ย่อมประสบ คือ ย่อมได้เฉพาะภัยในปัจจุบันหรือในโลกหน้า เพราะบาปที่ ตนทำไว้ เหมือนนกยางถึงการถูกตัดคอขาดเพราะปูฉะนั้น. มหาสัตว์เมื่อจะ ประกาศเนื้อความนี้ จึงแสดงธรรมยังป่าให้บันลือลั่น.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจีวรวัฑฒกะชาวกรุง ถูกภิกษุจีวระวัฑฒกะชาวบ้านนอกนั้นนั่นแหละ ลวงเอาแล้วในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในอดีตกาลก็ถูกลวงมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรม เทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า นกยางในครั้งนั้น ได้เป็นพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ปูในครั้งนั้นได้เป็นพระ จีวรวัฑฒกะชาวบ้านนอก ส่วนรุกขเทวดาในครั้งนั้น ได้เป็นเรา เองแล.

จบพกชาดกที่ ๘

กลับที่เดิม