พระศาสดาเมื่อเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท ถึงบ้าน นฬกปานคาม ประทับอยู่ในเกตกวัน ใกล้นฬกปานโบกขรณี ทรงปรารภท่อนไม้อ้อทั้งหลาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทิสฺวา ปทมนุตฺติณฺณํ ดังนี้. ได้ยินว่า ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายอาบนํ้าในสระโบกขรณีชื่อว่า นฬกปานะ แล้วให้พวกสามเณรเอาท่อนไม้อ้อมาเพื่อต้องการทำกล่องเข็ม เห็นท่อนไม้อ้อเหล่านั้นทะลุตลอด จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ให้ถือเอาท่อนไม้อ้อทั้งหลายมา เพื่อ ต้องการทำกล่องเข็ม ท่อนไม้อ้อเหล่านั้นเป็นรูทะลุตลอด ตั้งแต่โคนจนถึง ปลาย นี่เหตุอะไรหนอ พระเจ้าข้า ? พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นการอธิษฐานเดิมของเรา แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ ได้ยินว่า

ในอดีตกาลแม้ในกาลก่อน ป่าชัฏนั้นเป็นป่า มีผีเสื้อนํ้า ตนหนึ่งเคี้ยวกินคนผู้ลงไป ๆ ในสระโบกขรณีแม้นั้น ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ เป็นพระยากระบี่มีขนาดเท่าเนื้อละมั่ง แวดล้อมด้วยหมู่วานรแปดหมื่นตัว บริหาร ฝูงอยู่ในป่านั้น พระยากระบี่นั้นได้ให้โอวาทแก่หมู่วานรว่า พ่อทั้งหลาย ในป่า นี้มีต้นไม้พิษบ้าง สระโบกขรณีที่เกิดเองอันอมนุษย์หวงแหนบ้าง มีอยู่ในป่า นั้นนั่นแหละ ท่านทั้งหลายเมื่อจะเคี้ยวกินผลไม้น้อยใหญ่ที่ยังไม่เคยเคี้ยวกิน หรือเมื่อจะดื่มนํ้าที่ยังไม่เคยดื่ม ต้องสอบถามเราก่อน หมู่วานรเหล่านั้นรับ คำแล้ว วันหนึ่งไปถึงที่ที่ไม่เคยไป เที่ยวไปในที่นั้นหลายวันทีเดียวเมื่อจะ แสวงหานํ้าดื่มเห็นสระโบกขรณีสระหนึ่ง ยังไม่ดื่มนํ้า นั่งคอยการมาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มาถึงแล้วจึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงยังไม่ดื่ม นํ้า พวกวานรกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าคอยการมาของท่าน พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านทำดีแล้ว จึงเดินวนเวียนสระโบกขรณีนั้น กำหนด รอยเท้า เห็นแต่รอยเท้าลงไม่เห็นรอยเท้าขึ้น พระโพธิสัตว์นั้นรู้ว่า สระ โบกขรณีนี้อมนุษย์หวงแหนโดยไม่ต้องสงสัยจึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย ท่าน ทั้งหลายไม่ดื่มนํ้า ทำดีแล้ว สระโบกขรณีนี้อมนุษย์หวงแล้ว.

ฝ่ายผีเสื้อนํ้ารู้ว่า วานรเหล่านั้นไม่ลง จึงแปลงเป็นผู้มีท้องเขียว หน้าเหลือง มือเท้าแดงเข็ม รูป ร่างน่ากลัว ดูน่าเกลียด แยกนํ้าออกมากล่าวว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึง นั่งอยู่ จงลงสระโบกขรณีนี้ดื่มนํ้าเถิด.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ถามผีเสื้อนํ้า นั้นว่า ท่านเป็นผีเสื้อนํ้าเกิดอยู่ในสระนี้หรือ ? ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เออ เราเป็น ผู้เกิดแล้ว พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านย่อมได้คนที่ลงไป ๆ ยังสระโบกขรณีหรือ ? ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เออ เราได้ เราไม่ปล่อยใคร ๆ จนชั้นที่สุดนกที่ลงในสระ โบกขรณีนี้ แม้ท่านทั้งหมดเราก็จักกิน. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกเราจักไม่ ให้ท่านกินตัวเรา. ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า ก็ท่านทั้งหลายจักดื่มนํ้ามิใช่หรือ ? พระพระโพธิสัตว์กล่าวว่า เออ พวกเราจักดื่มนํ้า และจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของท่าน ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจักดื่มนํ้าอย่างไร พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า ก็ท่านย่อมสำคัญหรือว่า จักลงไปดื่ม ด้วยว่าพวกเราจะไม่ลงไป เป็น วานรทั้งแปดหมื่น ถือท่อนไม้อ้อคนละท่อน จักดื่มนํ้าในสระโบกขรณีของท่าน เหมือนดื่มนํ้าด้วยก้านบัว เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านจักไม่อาจกินพวกเรา.

พระศาสดาครั้นทรงรู้แจ้งความนี้ เป็นพระอภิสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้พร้อมยิ่ง ได้ตรัส ๒ บทแรกแห่งคาถานี้ว่า พระยากระบี่ไม่เห็นรอยเท้าขึ้น เห็นแต่รอยเท้า ลง จึงกล่าวว่า พวกเราจักดื่มนํ้าด้วยไม้อ้อ ท่านจัก ฆ่าเราไม่ได้. เนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระยา กระบี่นั้นเป็นมหาบุรุษไม่ได้เห็นรอยเท้าขึ้นแม้แต่รอยเดียวในสระโบกขรณีนั้น ได้เห็นแต่รอยเท้าลงเท่านั้น ครั้นเห็นอย่างนั้นคือไม่เห็นรอยเท้าขึ้น เห็นแต่ รอยเท้าลง จึงรู้ว่า สระโบกขรณีนี้ อมนุษย์หวงแหนแน่แท้ เมื่อจะเจรจากับ ผีเสื้อนํ้านั้นจึงกล่าวว่า พวกเราจักดื่มนํ้าด้วยไม้อ้อ อธิบายความของคำนั้นว่า พวกเราจักดื่มนํ้าในสระโบกขรณีของท่านด้วยไม้อ้อ พระมหาสัตว์กล่าวสืบไป ว่า ท่านจักฆ่าเราไม่ได้ อธิบายว่า เราพร้อมทั้งบริษัทดื่มนํ้าด้วยไม้อ้ออย่างนี้ แม้ท่านก็จักฆ่าไม่ได้.

ก็พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงให้นำท่อนไม้อ้อมาท่อนหนึ่ง รำพึงถึงบารมีทั้งหลายแล้วกระทำสัจกิริยาเอาปากเป่า ไม้อ้อได้เป็นโพรงตลอด ไป ไม่เหลือปล้องอะไร ๆ ไว้ภายใน พระโพธิสัตว์ให้นำท่อนไม้อ้อแม้ท่อน อื่นมาแล้วได้เป่าให้ไปโดยทำนองนี้ ก็เมื่อเป็นดังกล่าวมาฉะนี้ ไม่อาจให้เสร็จ ลงได้ เพราะฉะนั้น ไม่ควรเชื่ออย่างนั้น ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานว่า ไม้อ้อแม้ทั้งหมดที่เกิดรอบสระโบกขรณีนี้ จงเป็นรูตลอด ก็เพราะอุปจารแห่ง ประโยชน์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเป็นสภาพยิ่งใหญ่ การอธิษฐานย่อมสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา ไม้อ้อที่เกิดรอบสระโบกขรณีแม้ทุกต้นเกิดเป็นรูเดียวตลอด.

จริงอยู่ ในกัปนี้ ชื่อว่าปาฏิหาริย์อันตั้งอยู่ตลอดกัปมี ๔ ประการเป็น ไฉน ? เครื่องหมายกระต่ายบนดวงจันทร์จักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑ ที่ที่ไฟดับ ในวัฏฏกชาดกไฟจักไม่ไหม้ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑ สถานที่เป็นที่อยู่ของฆฏีการ ช่างหม้อ ฝนไม่รั่วรดจักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑ ไม้อ้อที่ตั้งอยู่รอบสระ โบกขรณีนี้จักเป็นรูเดียว (ไม่มีข้อ) ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑ ชื่อว่าปาฏิหาริย์อัน ตั้งอยู่ชั่วกัป ๔ ประการนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้.

พระโพธิสัตว์ครั้นอธิษฐานอย่างนี้แล้ว จึงนั่งถือไม้อ้อลำหนึ่ง ฝ่าย วานรแปดหมื่นตัวแม้เหล่านั้น ก็ถือไม้อ้อลำหนึ่ง ๆ นั่งล้อมสระโบกขรณี ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เอาไม้อ้อสูบนํ้ามาดื่ม วานรแม้เหล่านั้น ทั้งหมดนั่งอยู่ ที่ฝั่งนั่นแหละดื่มนํ้าแล้ว เมื่อวานรเหล่านั้นดื่มนํ้าอย่างนี้ ผีเสื้อนํ้าไม่ได้วานร ตัวไร ๆ ก็เสียใจ จึงไปยังนิเวศน์ของตนนั่นเอง ฝ่ายพระโพธิสัตว์พร้อมทั้ง บริวารก็เข้าป่าไปเหมือนกัน.

ส่วนพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความที่ไม้อ้อทั้ง หลายเหล่านี้เป็นไม้มีรูเดียวนั่น เป็นการอธิษฐานอันมีในกาลก่อนของเราเอง ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ผีเสื้อนํ้าในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ในบัดนี้วานรแปดหมื่นใน ครั้งนั้น ได้เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนพระยากระบี่ผู้ฉลาดใน อุบายในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.

จบ นฬปานชาดกที่ ๑๐

กลับที่เดิม