พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภสภาวธรรมที่ทำให้คนเศร้าหมอง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอกา อิจฺฉา ปุเร อาสิ ดังนี้.
            ได้ยินว่า บุรุษชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว บรรพชาถวายชีวิตในพระศาสนา กล่าวคือ พระรัตนตรัย เป็นพระโยคาวจรผู้ปฏิบัติเคร่งครัด ไม่ว่างเว้นพระกรรมฐาน วันหนึ่งเที่ยวไปบิณฑบาตในพระนคร สาวัตถี เห็นหญิงคนหนึ่งตกแต่งตัวสวยงามไม่สำรวมจักษุ จ้อง ดูนาง ด้วยอำนาจของความงาม. กิเลสภายในของเธอหวั่นไหว เป็นเหมือนต้นไม้มียางอันถูกกรีดด้วยมีดฉะนั้น.
            จำเดิมแต่นั้น เธอก็ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ไม่ได้ความสบายกาย และความ เบาใจเลยทีเดียว ดูวุ่นวายคล้ายกับชมด ไม่มีความยินดีในพระศาสนา ปล่อยผมและขนรุงรังเล็บยาว จีวรก็เศร้าหมอง. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหาย เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งอินทรีย์ของ เธอ พากันถามว่า ดูก่อนผู้มีอายุ เป็นอย่างไรเล่า อินทรีย์ของเธอ จึงไม่เหมือนก่อน ๆ. เธอตอบว่า ผู้มีอายุ ผมกระสัน (หมดความ ยินดีในพระศาสนา). ภิกษุเหล่านั้นก็นำเธอไปยังสำนักของพระ ศาสดา.
            พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ พาภิกษุผู้ไม่ปรารถนามาหรือ ?
            ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ภิกษุรูปนี้ไม่ยินดีเสียแล้วพระเจ้าข้า.
            ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่ว่า เธอไม่ยินดีเสียแล้ว ?
            ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นความจริงพระเจ้าข้า.
            ตรัสถามว่า ใคร ทำให้เธอกระสันเล่า ?
            ภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์กำลังเที่ยวบิณฑบาต ได้เห็นหญิงคนหนึ่ง ไม่ สำรวมจักษุมองดูนาง ลำดับนั้นกิเลสของข้าพระองค์ก็กำเริบ เหตุนั้นข้าพระองค์จึงกระสัน พระเจ้าข้า.
            พระศาสดาตรัสกะ เธอว่าดูก่อนภิกษุ การที่เธอทำลายอินทรีย์ มองดูวิสภาคารมณ ์ด้วยอำนาจแห่งความงาม กิเลสกำเริบนี้ไม่อัศจรรย์ ในครั้งก่อน แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ข่มกิเลสได้ แล้วด้วยกำลังฌาน มีจิตบริสุทธิ์ เที่ยวไปในอากาศได้ เมื่อ ทำลายอินทรีย์มองดูวิสภาคารมณ์ ก็เสื่อมจากฌาน กิเลสกำเริบ เสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง
            ลมมีกำลังถอนภูเขาสิเนรุได้ ที่ไหน จะไม่พัดภูเขาโล้น เพียงเท้าช้างให้ปลิวไป ลมที่โค่นต้นหว้าใหญ่ ่ที่ไหนเล่า จะไม่พัดกอไม้อันงอกขึ้นที่ตลิ่งนั้นให้ลอยไปได้ อนึ่ง เล่า ลมที่พัดมหาสมุทรให้แห้งได้ ไฉนเล่าจึงจะไม่พัดน้ำในบ่อน้อย ให้เหือดแห้งไป กิเลสอันกระทำความไม่รู้ แก่พระโพธิสัตว์ ผู้ มีความรู้สูงส่ง ผู้มีจิตผ่องแผ้วได้ปานนี้ จักยำเกรงอะไรในเธอ เล่า สัตว์แม้นบริสุทธิ์ต้องเศร้าหมอง แม้เพรียบพร้อมด้วยยศ อันสูงส่ง ก็ยังถึงความสิ้นยศได้ ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีสมบัติมาก ตระกูลหนึ่ง ในแคว้นกาสี บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เรียนจบ ศิลปะทุกประเภท ละกามเสียแล้วไปบวชเป็นฤาษี กระทำกสิณบริกรรม ให้อภิญญาสมาบัติเกิดขึ้น แล้วยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน พำนักอาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ
            กาลครั้งหนึ่งท่านเข้ามา ท่าน มาจากป่าหิมพานต์ เพื่อบริโภคโภชนะมีรสเค็ม รสเปรี้ยวบ้าง บรรลุถึงกรุงพาราณสีพำนักอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งขึ้น กระทำสรีรกิจเสร็จแล้ว ครองผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังสือเฉวียงบ่า เกล้าผมเรียบร้อยแล้ว ทรงบริขาร เที่ยวภิกษาจารอยู่ในกรุงพาราณสี ถึงประตูพระราชนิเวศน์. พระราชทรงเลื่อมใสใน อิริยาบถของท่าน รับสั่งให้นิมนต์มา ให้นั่งเหนืออาสนะอันมีค่า มากทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชานียาหารอันประณีต ท่านกระทำ อนุโมทนาแล้ว ทรงอาราธนาให้พำนักในพระราชอุทยาน.
            พระดาบสก็รับพระราชอายาจนการ ฉันในพระราชวัง ถวายโอวาท ราชสกุล พำนักอยู่ในพระราชอุทยาน ๑๖ ปี. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบปรามปัจจันตชนบทอันกำเริบ ตรัสสั่ง พระมเหษีพระนามว่า มุทุลักขณา ว่า เธอจงอย่าประมาท จง ปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ แล้วเสด็จไป.
            พระโพธิสัตว์ ตั้งแต่เวลาที่พระราชาเสด็จไปแล้ว ก็ไปสู่ พระราชวัง ตามเวลาที่ตนพอใจ. อยู่มาวันหนึ่ง พระนางมุทุลักขณา ทรงเตรียมอาหารสำหรับพระโพธิสัตว์เสร็จ ทรงดำริว่า วันนี้พระคุณเจ้า คงช้า ก็ทรงสรงสนานด้วยพระสุคันโธทก ตกแต่ง พระองค์ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้ลาดพระยี่ภู่น้อย ณ พื้น ท้องพระโรง ประทับเอนพระกายรอพระโพธิสัตว์จะมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ กำหนดเวลาของตนแล้ว ออกจากฌานเหาะไปส ู่พระราชนิเวศน์ทันที พระนางมุทุลักขณา ทรงสดับเสียงผ้า เปลือกไม้ รับสั่งว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว รีบเสด็จลุกขึ้น. เมื่อ พระนางรีบเสด็จลุกขึ้น ผ้าที่ทรงเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงก็หลุดลง.
            พอดีพระดาบสเข้าทางช่องพระแกล แลเห็นรูปารมณ์อันเป็น วิสภาคของพระเทวี ก็ทำลายอินทรีย์เสียตลึงดูด้วยอำนาจความ งาม ที่นั้นกิเลสที่อยู่ภายในของท่านก็กำเริบเป็นเหมือนต้นไม้ มียางที่ถูกมีดกรีด ทันใดนั้นเอง ฌานของท่านก็เสื่อม เป็นเหมือน กาปีกหักเสียแล้ว.
            พระโพธิสัตว์ยืนตลึงรับอาหารแล้ว ก็หา บริโภคไม่ เสียวสะท้านไปเพราะกิเลสทั้งหลาย ลงจากปราสาท เดินไปพระราชอุทยาน เข้าบรรณศาลา วางอาหารไว้ใต้ที่นอน อันเป็นกระดานเลียบ วิสภาคารมณ์ติดตาตรึงใจ ไฟกิเลสแผดเผา ซูบเซียวเพราะขาดอาหาร นอนซมบนกระดานเลียบถึง ๗ วัน.
            ในวันที่ ๗ พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบ แล้ว เสด็จกลับมา ทรงประทักษิณพระนครแล้ว ยังไม่เสด็จไป พระราชนิเวศน์ทีเดียว ทรงพระดำริว่า เราจักพบพระผู้เป็นเจ้า ก่อน ดังนี้แล้ว เสด็จเลยไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็น ท่านนอน ทรงดำริว่า ชะรอยจะเกิดความไม่สำราญสักอย่างหนึ่ง รับสั่งให้ทำความสะอาดบรรณศาลา พลางทรงนวดเฟ้นเท้าทั้งสอง รับสั่งถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่สบายไปหรือ ?
            พระดาบสถวาย พระพรว่า มหาบพิตร ความไม่สำราญอย่างอื่นไม่มีแก่อาตมาภาพ แต่เพราะอำนาจกิเลส อาตมาภาพมีจิตกำหนัดเสียแล้ว.
            รับสั่ง ถามว่า พระคุณเจ้าข้าจิตของพระคุณเจ้า ปฏิพัทธ์ในนางคน ไหน ?
            ถวายพระพรว่า จิตของอาตมาภาพปฏิพัทธ์ในพระนางมุทุลักขณา.
            รับสั่งว่า ดีแล้วพระคุณเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีถวาย พระนางมุทุลักขณาแด่พระคุณเจ้า แล้วทรงพาพระดาบสเข้า พระราชนิเวศน์ ให้พระเทวีประดับพระองค์ด้วยเครื่องต้น เครื่อง ทรง งามสรรพ และได้พระราชทานแก่พระดาบส
            แต่เมื่อจะ พระราชทานนั้น ได้ทรงพระราชทานสัญญาลับแด่พระนางมุทุลักขณาว่า เธอต้องพยายามป้องกันพระผู้เป็นเจ้าด้วยกำลังของ ตน. พระนางรับสนองพระราชโองการว่า พะยะค่ะ กระหม่อมฉัน จักรักษาตนให้พ้นมือพระคุณเจ้า.
            ดาบสก็พาพระเทวีลงจาก พระราชนิเวศน์ เวลาที่จะออกพ้นประตูใหญ่ พระนางตรัสกะ ท่านว่า ท่านเจ้าค่ะ เราควรจะได้เรือน ท่านจงไปกราบทูลขอ พระราชทานเรือนสักหลังหนึ่งเถิด ดาบสก็ไปกราบทูลขอพระราชทานเรือน. พระราชาพระราชทานเรือนร้างหลังหนึ่ง ซึ่ง มนุษย์ใช้เป็นวัจจกุฏิ ท่านก็พาพระเทวีไปที่เรือนนั้น
            พระนาง ไม่ทรงประสงค์จะเข้าไป ท่านทูลถามว่าเหตุไร จึงไม่เสด็จเข้า ไป ? พระนางรับสั่งว่า เพราะเรือนสกปรก.พระดาบสทูลถาม ว่า บัดนี้เราควรจะทำอย่างไร ? พระนางรับสั่งว่า ต้องทำความ สะอาดเรือนนั้นแล้วส่งดาบสไปสู่ราชสำนัก มีพระเสาวนีย์ว่า ท่านจงไปเอาจอบมา เอาตะกร้ามา ครั้นดาบสนำมาแล้ว ก็ให้ โกยสิ่งสกปรกและขยะเอาไปทิ้ง
            เสร็จแล้วให้ไปขนเอาโคมัย มาฉาบไว้ ครั้นแล้วก็ตรัสว่า ท่านต้องไปขนเตียงมา ขนตั่งมา แล้วให้พระดาบสขนมาทีละอย่าง มิหนำซ้ำ ยังแกล้งใช้ให้ตักน้ำ เป็นต้นอีกด้วย. พระดาบสเอาหม้อไปตักน้ำมาจนเต็มตุ่ม เตรียม น้ำสำหรับอาบ ปูที่นอน.
            ที่นั้น พระนางเทวีทรงจับพระดาบส ผู้กำลังนั่งร่วมกันบนที่นอน ที่สีข้าง ฉุดให้ก้มลงมาตรงหน้า พลางตรัสว่า ท่านไม่รู้ตัวว่า เป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์เลยหรือเจ้าคะ ?
            พระดาบส กลับได้สติในเวลานั้นเอง. แต่ตลอดเวลาที่ ผ่านมา ท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย. ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย กระทำ ความไม่รู้ตัวได้ถึงอย่างนี้.
            ก็ในอธิการนี้ ควรกล่าวอ้างพระพุทธพจน์มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามฉันทนิวรณ์ กระทำ ให้มืด กระทำให้ไม่รู้ตัว ดังนี้ ไว้ด้วย. พระดาบสกลับได้สติ คิดว่า ตัณหานี้เมื่อเจริญขึ้น จักไม่ให้เรายกศีรษะขึ้นได้จาก อบายทั้ง ๔ เราควรถวายคืนพระนางเทวีนี้แด่พระราชา แล้ว กลับเข้าสู่ป่าหิมวันต์ในวันนี้ทีเดียว
            ดังนี้แล้ว พาพระนางเทวี เข้าเฝ้าพระราชาถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร อาตมาภาพ ไม่มีความต้องการพระเทวีของมหาบพิตร เพราะอาศัยพระนาง ผู้เดียว ตัณหาจึงเจริญแก่อาตมาภาพทุกอย่างเลย แล้วกล่าว คาถานี้ ความว่า :-
            "ครั้งก่อน เรายังไม่ได้ประสบพระนางมุทุลักขณา ความปรารถนามีอย่างเดียว ครั้นได้ พบพระนางผู้มีพระเนตรแวววาวเข้าแล้ว ความ ปรารถนาช่วยให้ความปรารถนาเกิดได้ต่าง ๆ" ดังนี้.
            ในคาถานั้นประมวลอรรถาธิบายได้ดังนี้ :- ขอถวาย พระพรมหาบพิตร ครั้งก่อนอาตมาภาพยังไม่ได้รับพระราชทาน พระเทวีมุทุลักขณา ของมหาบพิตรองค์นี้ อาตมาภาพมีความ ปรารถนาอย่างเดียว เกิดความต้องการขึ้นอย่างเดียวเท่านั้นว่า โอหนอ เราพึงได้พระนาง แต่พออาตมาภาพได้รับพระราชทาน พระนาง ผู้มีพระเนตรแวววาว มีพระเนตรกว้าง มีดวงพระเนตร งามขำเข้าแล้ว ทีนั้นความปรารถนาข้อแรกของอาตมา ช่วยให้ ้กำเนิดเกิดความปรารถนาสืบต่อเนื่องขึ้นไป เช่น ความ ปรารถนาเรื่องเรือน ความปรารถนาในเครื่องอุปกรณ์ ความ ปรารถนาในเครื่องอุปโภคเป็นต้น ก็ความปรารถนาของอาตมา นั้นเล่า เมื่อพอกพูนเข้าอย่างนี้จักไม่ยอมให้อาตมาภาพยกศรีษะ ขึ้นได้จากอบาย พอกันทีสำหรับพระนางนี้ ที่จะเป็นภรรยาของ อาตมาภาพ ขอมหาบพิตร จงรับมเหษีของมหาบพิตรคืนไป ส่วนอาตมาภาพจักไปหิมพานต์.
            ทันใดนั้นเอง พระดาบสก็ทำฌานที่เสื่อมไปให้เกิดขึ้น นั่งในอากาศแสดงธรรม ถวายโอวาทแด่พระราชา แล้วไปสู่ ป่าหิมพานต์ทางอากาศทันที ไม่มาสู่ประเทศ ที่ชื่อว่าเป็นถิ่น ของมนุษย์อีกเลยแต่เจริญพรหมวิหาร ไม่เสื่อมจากฌาน บังเกิด ในพรหมโลกแล้ว.
            พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ ภิกษุนั้นประดิษฐานใน พระอรหัตผล. พระศาสดาทรงสืบต่ออนุสนธิ ประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ มุทุลักขณา ได้มาเป็นอุบลวัณณา ส่วนฤาษีได้มาเป็นเราตถาคตฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถามุทุลักขณาชาดกที่ ๖