พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภฝนที่พระองค์ทรงบันดาลให้ตกลง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺนา ดังนี้
            ดังได้สดับมา ในสมัยหนึ่ง ในแคว้นโกศล ฝนไม่ตกเลย. ข้าวกล้าทั้งหลายเหี่ยวแห้ง ตระพังสระโบกขรณีและสระใน ที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง แม้โบกขรณีเชตวัน ณ ที่ใกล้ซุ้มพระทวาร เชตวัน ก็ขาดน้ำ. ฝูงกาและนกเป็นต้น รุมกันเอาจะงอยปาก อันเทียบได้กับปากคีม จิกทึ้งฝูงปลาและเต่าอันหลบคุดเข้าสู่ เปือกตม ออกมากิน ทั้ง ๆ ที่กำลังดิ้นอยู่
            พระศาสดา ทอดพระเนตรเห็นความพินาศของฝูงปลาและเต่า พระมหากรุณา เตือนพระทัยให้ทรงอุตสาหะ จึงทรงพระดำริว่า วันนี้เราควรจะ ให้ฝนตก ครั้นราตรีสว่างแล้ว ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ เสร็จ ทรงกำหนดเวลาภิกษาจาร มีพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ด้วยพระพุทธลีลา ภายหลังภัตรเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว เมื่อเสด็จจากพระนคร สาวัตถี สู่พระวิหาร ประทับยืนที่บันไดโบกขรณีเชตวัน ตรัส เรียกพระอานนทเถรเจ้ามาว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงเอาผ้า อาบน้ำมา เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน
            พระอานนทเถรเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในโบกขรณี เชตวันแห้งขอด เหลือแต่เพียงเปือกตมเท่านั้น มิใช่หรือพระเจ้าข้า ? ตรัสว่า อานนท์ ธรรมดาว่า กำลังของพระพุทธเจ้า ใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด พระเถรเจ้าได้นำมา ทูลถวาย พระศาสดาทรงนุ่งผ้าอุทกสาฎก ด้วยชายข้างหนึ่ง อีกชายหนึ่งทรงคลุมพระสรีระ ประทับยืนที่บันได ตั้งพระทัย ว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน.
            ทันใดนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ ก็ สำแดงอาการร้อน ท้าวเธอรำพึงว่า อะไรเล่าหนอ ทรงทราบ เหตุนั้น จึงมีเทวบัญชาเรียกวลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝนมาเฝ้า พลางตรัสว่า พ่อเทพบุตร พระบรมศาสดา ทรงตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน ประทับยืนอยู่ ณ บันได เธอจงกระทำแคว้นโกศลทั้งสิ้น ให้มีเมฆพะยับพะโยมเป็น อันเดียวกัน บันดาลให้ฝนตกโดยเร็วเถิด วลาหกเทวราช รับ เทวบัญชาแล้ว นุ่งก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ห่มก้อนหนึ่ง ขับเพลง เมฆสังคีต(๑) บ่ายหน้าไปทางโลกธาตุด้านตะวันออก เหาะไปแล้ว ณ ทิศาภาคตะวันออก ก็ปรากฏกลุ่มเมฆกลุ่มหนึ่ง มีขนาดเท่า ลานนวดข้าว ซ้อนเป็นชั้น ๆ ตั้งร้อยชั้นพันชั้น คำรณคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนก็ตกลงมา ด้วยอาการประหนึ่งว่า คว่ำหม้อ เทลงมา แคว้นโกศลทั้งสิ้น ท่วมท้นเหมือนห้วงน้ำไหลบ่าท่วมอยู่ ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย ครู่เดียวเท่านั้น ก็เต็มสระโบกขรณีเชตวัน น้ำท่วมจดถึงแคร่บันได.
            พระบรมศาสดาลงสรงในสระโบกขรณีเชตวันแล้ว ทรง ครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคด ทรงครองสุคตจีวรเฉวียง พระอังสา แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จพระดำเนินไป ประทับนั่ง เหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่ปูลาดไว้ในบริเวณพระคันธกุฏี เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรปฏิบัติแล้ว ก็เสด็จอุฏฐาการ ประทับยืน ณ พื้นขั้นบันไดแก้วมณี ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วทรง ส่งกลับไป เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏีที่มีกลิ่นจรุงใจ ทรงบรรทม สีหไสยา ด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา ต่อเวลาเย็น
            พวกภิกษุประชุม กันในธรรมสภา ยกเรื่องขึ้นสนทนากันว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู พระคุณสมบัติคือ ขันติ พระเมตตา ๑. ขับเพลิงในคัมภีร์เมฆฑูต และคัมภีร์ภาควัตคีตา และพระกรุณาของพระทศพล ในเมื่อข้าวกล้าต่าง ๆ กำลังเหี่ยวแห้ง ชลาลัยทุกแห่งก็เหือดหายฝูงปลาและเต่า ประสบทุกข์ ใหญ่หลวง พระองค์ทรงอาศัยพระกรุณา ทรงครองผ้าอุทกสาฎก ด้วยมุ่งพระทัยจักให้มหาชนพ้นจากความทุกข์ ประทับยืน ณ บันไดขั้นแรกแห่งโบกขรณีเชตวัน ทรงบันดาลให้ฝนตก เหมือน ห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าท่วมโกศลรัฐทุกส่วน โดยเวลาเพียงครู่เดียว ทรงปลดเปลื้องมหาชนจากทุกข์กาย ทุกข์ใจ แล้วเสด็จเข้า พระวิหาร.
            พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฏี เสด็จมาสู่ ธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุม สนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรง ทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตทำให้ฝนตก ในเมื่อมหาชนพากันลำบาก แม้ในกาลก่อน เมื่อตถาคตเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน แม้ในคราวเป็นราชา ของฝูงปลา ก็ได้ทำให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ : -
            ในอดีตกาล มีลำห้วยแห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยชัฏแห่ง เถาวัลย์ อยู่ตรงโบกขรณีเชตวันนี้ ณ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล นี้แหละ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดปลา มีฝูงปลาเป็น บริวารอยู่ในลำห้วยนั้น
            แม้ในคราวนั้น แคว้นนั้นฝนก็ไม่ตก เหมือนคราวนี้ ข้าวกล้าของพวกมนุษย์เหี่ยวแห้ง ในบึงเป็นต้น ขาดน้ำ ฝูงปลาและเต่าพากันคุดเข้าเปือกตม. แม้ที่ลำห้วยนั้น ฝูงปลาก็พากันคุดเข้าโคลนตม ซุกซ่อนในที่นั้น ๆ ฝูงกาเป็นต้น ก็พากันรุมจิกทึ้งออกมาจิกกินด้วยจะงอยปาก. พระโพธิสัตว์ เห็นความพินาศของหมู่ญาติ ก็ดำริว่า ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้ว ใครเล่าที่จะได้ชื่อว่าสามารถปลดเปลื้องทุกข์ของพวกปลา เหล่านี้ เป็นไม่มี เราจักทำสัจจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องฝูง ญาติ จากทุกข์คือความตายให้จงได้
            แล้วแหวกตมสีดำออก พญาปลาใหญ่ สีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน ลืมตาทั้งคู่ อันเปรียบ ได้กับแก้วมณี สีแดงที่เจียรนัยแล้ว มองดูอากาศ บรรลือเสียง กล่าวแก่เทวราชปัชชุนนะว่า ข้าแต่พระปัชชุนนะผู้เจริญ ข้าพเจ้า อาศัยหมู่ญาติเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าผู้ทรงศีลลำบากอยู่ ทำไมท่านไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่ จะกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยได้ชื่อว่า กัดกินมัจฉาชาติ ตั้งต้นแต่ปลาเล็กแม้มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ถึงสัตว์มีปราณ อื่น ๆ เล่า ข้าพเจ้าก็มิได้เคยแกล้งปลงชีวิตเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอท่านจงให้ฝนตกลงมา ปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์ เทอญ
            เมื่อจะเรียกเทวราชปัชชุนนะ ประหนึ่งสั่งงานคนรับใช้ กล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ข้าแต่พระปัชชุนนะ ท่านจงคำรณคำราม ให้ขุมทรัพย์ของกาพินาศไป จงทำลายฝูงกาด้วย ความโศก และจงปลดเปลื้องข้าพเจ้าจากความ โศกเถิด" ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺน ความว่า เมฆเรียกกันว่า ท้าวปัชชุนะ ก็พญาปลานี้ เรียกวลาหกเทวราช เจ้าแห่งฝน ผู้ได้นามด้วยอำนาจแห่งเมฆ. ได้ยินว่า พญาปลานั้น มีความประสงค์ดังนี้ว่า ธรรมดาว่าฝนไม่คำรณคำราม ไม่ให ้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ แม้จะตกกระหน่ำก็ไม่งาม เพราะฉะนั้น ท่านจงคำรณคำราม ให้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ให้ฝนตกเถิด.
            บทว่า นิธึ กากสฺส นาสย ความว่า ฝูงกาพากันจิกทึ้ง ฝูงปลาที่พากันคุดเข้าเปือกตมซุกอยู่ ออกมาด้วยจะงอยปาก กินเป็นอาหาร เพราะเหตุนั้นฝูงปลาที่คุดอยู่ในเปือกตม จึง เรียกว่า ขุมทรัพย์ของกาเป็นต้นเหล่านั้น เมื่อท่านให้ฝนตก ปกปิดเสียด้วยน้ำแล้ว ก็เป็นอันทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกานั้นเสีย. บทว่า กากํ โสกาย รนฺเธหิ ความว่า ฝูงกาเมื่อลำห้วย มีน้ำเต็มแล้ว ไม่ได้ฝูงปลาเป็นอาหารก็ต้องเศร้าโศก เมื่อท่าน กระทำให้ลำห้วยนี้เต็มเปี่ยม ก็เป็นอันทำลายฝูงกานั้นด้วยความ โศก ท่านจงยังฝนให้ตก เพื่อระงับความโศก คือเพื่อความโล่งใจ ของปลา. อธิบายว่า ฝูงกาจะถึงความเศร้าโศก อันมีลักษณะ หม่นไหม้ในภายใน ได้ด้วยวิธีใด ท่านโปรด กระทำวิธีนั้นเถิด. จ อักษร ในบทคาถาว่า มญฺจ โสกา ปโมจย นี้ มีการ ประมวลมาเป็นอรรถ ความก็ว่า ท่านโปรดให้ข้าพเจ้าและฝูง ญาติทั้งหมด พ้นจากความเศร้าโศก อันเกิดแต่ความตายนี้เถิด. พระโพธิสัตว์เรียกท้าวปัชชุนนะ เหมือนสั่งบังคับคนรับใช้ อย่างนี้ ให้ฝนห่าใหญ่ตกทั่วแคว้นโกศล ให้มหาชนพ้นจาก มรณทุกข์ ในปริโยสานกาลของชีวิตก็ได้ไปตามยถากรรม.
            พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตยังฝนให้ตก แม้ในกาลก่อน ถึงเกิด ในกำเนิดปลา ก็ให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำ พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า ฝูงปลา ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท ปัชชุนนะเทวราชได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนพญาปลาได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถามัจฉชาดกที่ ๕