พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง ปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า อุเทตยญฺจกฺขุมา เอกราชา ดังนี้.
            ภิกษุทั้งหลายนำภิกษุนั้นไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระองค์ ตรัสถามว่า เธอกระสันจริงหรือ ภิกษุกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า เมื่อตรัสถามว่า เธอเห็นอะไรจึงกระสัน กราบทูลว่า เห็นมาตุคาม คนหนึ่งซึ่งประดับตกแต่งกาย. พระศาสดารับสั่งกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามทำไมจักไม่รบกวนจิตคนเช่นเธอ แม้บัณฑิตแต่ก่อน พอได้ยินเสียงมาตุคาม กิเลสที่สงบมาเจ็ดร้อยปี ได้โอกาสยังกำเริบได้ทันที สัตว์ทั้งหลายแม้บริสุทธิ์ ยังเศร้าหมอง ได้ แม้สัตว์ผู้เปี่ยมด้วยยศสูง ยังถึงความพินาศได้ จะกล่าวไป ทำไมถึงสัตว์ผู้ไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดนกยูง ในเวลาเป็น ฟอง มีกระเปาะฟองคล้ายสีดอกกรรณิการ์ตูม ครั้นเจาะกระเปาะ ฟองออกมาแล้ว มีสีดุจทองคำ น่าดู น่าเลื่อมใส มีสายแดงพาด ในระหว่างปีก. นกยูงนั้นคอยระวังชีวิตของตน อาศัยอยู่ ณ พื้นที่เขาทัณฑกหิรัญแห่งหนึ่ง ใกล้แนวเขาที่สี่เลยแนวเขาที่สาม ไป. ตอนสว่างนกยูงทองจับอยู่บนยอดเขา มองดูพระอาทิตย์ กำลังขึ้น เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐ เพื่อรักษาป้องกันตัว ณ ภูมิภาคที่หาอาหาร จึงกล่าวคาถาเป็นต้นว่า :-
            พระอาทิตย์นี้เป็นดวงตาของโลก เป็น เจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก กำลังอุทัยขึ้นมาทอ แสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้า ขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งทอแสงอร่าม สว่างไปทั่วปฐพี ข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มกัน แล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า อุเทติ ได้แก่พระอาทิตย์ขึ้นจาก ทิศปราจีน. บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ มีดวงตาด้วยดวงตาที่ให้แก่ประชาชน เพราะกำจัดความมืด ทำให้ผู้อยู่ในจักรวาฬทั้งสิ้นได้ดวงตา. บทว่า เอกราชา ความว่า ชื่อว่าเป็นเอกราช เพราะประเสริฐ ที่สุด ในระหว่างสิ่งที่ทำให้โลกสว่าง ในจักรวาลทั้งสิ้น. บทว่า หริสฺสวณโณ คือมีสีดุจทอง อธิบายว่า มีสีงามยิ่งนัก. บทว่า ปฐวิปฺปภาโส คือมีแสงสว่างเหนือแผ่นดิน. บทว่า ตํ ตํ นมสฺสามิ คือข้าพเจ้าขอนอบน้อม คือไหว้ท่านผู้เจริญเช่นนั้น. บทว่า ตยชฺช คุตฺตา วิหเรมุ ทิวสํ ได้แก่ ขอให้ท่านรักษาคุ้มครอง ในวันนี้ ข้าพเจ้าพึงอยู่เป็นสุขตลอดวันนี้ ด้วยการอยู่ในอิริยาบถทั้งสี่.
            พระโพธิสัตว์ครั้นนอบน้อมพระอาทิตย์ด้วยคาถานี้ อย่าง นี้แล้ว จึงนมัสการพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานไปแล้วใน อดีต และพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยคาถาที่สองว่า :-
            พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรม ทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับความนอบ น้อมของข้าพเจ้า และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ ขอนอบน้อมแด่ผู้ หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุติธรรมของท่าน ผู้หลุดพ้นแล้ว นกยูงนั้นเจริญพระปริตรนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร.
            ในบทเหล่านั้นบทว่า เย พฺราหฺมณา ได้แก่พราหมณ์ผู้ บริสุทธิ์ลอยบาปเสียแล้วเหล่าใด. บทว่า เวทคู ความว่าชื่อว่า ผู้รู้ไตรเพท เพราะถึงฝั่งแห่งพระเวท. อนึ่งเพราะถึงฝั่งด้วยพระเวท บ้าง. แต่ในที่นี้มีอธิบายว่า พราหมณ์เหล่าใดกระทำสังขตธรรม และอสังขตธรรมทั้งปวงที่ตนรู้แล้ว ปรากฏแล้ว ทำลายยอดมาร ทั้งสาม ยังหมื่นโลกธาตุให้บรรลือ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ควงไม้โพธิล่วงฝั่งแห่งสงสารได้แล้ว. บทว่า เต เม นโม คือ ขอพราหมณ์เหล่านั้นจงรับความนอบน้อมนี้ของข้าพเจ้า. บทว่า เต จ มํ ปาลยนฺตุ ความว่า อนึ่งขอท่านผู้เจริญเหล่านั้นที่ข้าพเจ้า นอบน้อมแล้วอย่างนี้ จงรักษา คือ ดูแลคุ้มครองข้าพเจ้า. บทว่า นมตฺถุ พุทฺธานํ ฯเปฯ นโมวิมุตฺติยา ความว่า ขอความนอบน้อม ของข้าพเจ้านี้ จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเสด็จปรินิพพาน ล่วงไปแล้ว. คือขอจงมีแด่พระปรีชาตรัสรู้อันได้แก่ ญาณ ในมรรคสี่ ผลสี่ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ขอจง มีแด่พระองค์ผู้หลุดพ้นแล้วด้วยความหลุดพ้น คือพระอรหัตตผล ของพระองค์. และความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์ คือ ตทังค- วิมุติ พ้นชั่วคราว ๑ วิกขัมภนวิมุติ พ้นด้วยการข่มไว้ ๑ สมุจเฉท- วิมุติ พ้นเด็ดขาด ๑ ปฏิปัสสัทธิวุมิต พ้นด้วยสงบ ๑ นิสสรณ- วิมุติ พ้นด้วยออกไป ๑. ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้านี้ จงมีแก่ ความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์เหล่านั้น.
            หลายบทว่า อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร จรติ เอลน นี้ พระศาสดาตรัสเมื่อได้บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว. บทนั้นมี อธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกยูงนั้นครั้นเจริญปริตรนี้ คือการป้องกันนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหารนานาชนิด เพื่อต้องการดอกไม้ผลไม้เป็นต้นในที่หาอาหารของตน.
            นกยูงครั้นเที่ยวไปตลอดวันอย่างนี้แล้ว ตอนเย็นก็จับอยู่ บนยอดเขามองดูดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังตก ระลึกถึงพระพุทธคุณ เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐอีก เพื่อรักษาคุ้มกันในที่อยู่จึงกล่าว คำมีอาทิว่า อเปตยํ ดังนี้
            ความว่า :-
            ดวงอาทิตย์นี้เป็นดวงตาของโลก เป็น เจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอกมีสีทองส่องแสงสว่าง ไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป เพราะเหตุนั้น ข้าพ- เจ้าจักขอนอบน้อมดวงอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีทอง ส่องแสงสว่างไปทั่วปฐพี ข้าพเจ้าอันท่านคุ้ม ครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน.
            พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวท ใน ธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับและจง คุ้มครองข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แด่พระโพธิญาณ แด่ท่าน ผู้หลุดพ้นแล้ว แด่วิมุติธรรมของท่าน ผู้หลุด พ้นแล้ว นกยูงนั้น ครั้นเจริญพระปริตรนี้แล้ว จึงพักอยู่.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า อเนติ ได้แก่ล่วงลับไป คือ ตกไป. แม้บทว่า อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร วาสมกปฺปยิ นี้ พระศาสดา ก็ตรัสเมื่อบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว. บทนั้นมีอธิบายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นกยูงนั้นครั้นเจริญพระปริตร คือการป้องกันนี้ แล้ว จึงพักอยู่ ณ ที่อยู่นั้น. ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรนี้ นกยูง มิได้มีความกลัว ความสยดสยองตลอดคืนตลอดวัน.
            ลำดับนั้นพรานชาวบ้านเนสาทคนหนึ่ง อยู่ไม่ไกลกรุง- พาราณสีท่องเที่ยวไปในหิมวันตประเทศ เห็นนกยูงโพธิสัตว์ จับอยู่บนยอดเขาทัณฑกหิรัญ จึงกลับมาบอกลูก. อยู่มาวันหนึ่ง พระนางเขมาพระเทวีของพระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงสุบินเห็น นกยูงสีทองแสดงธรรม ขณะตื่นพระบรรทมได้กราบทูลสุบิน แด่พระราชาว่า ขอเดชะข้าแต่พระองค์หม่อมฉันประสงค์จะฟัง ธรรมของนกยูงสีทองเพคะ. พระราชาจึงมีพระดำรัสถามพวก อำมาตย์. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า พวกพราหมณ์คงจะทราบ พ่ะย่ะค่ะ พราหมณ์ทั้งหลายสดับพระราชปุจฉาแล้ว จึงพากัน กราบทูลว่า ขอเดชะนกยูงสีทองมีอยู่แน่ พระเจ้าข้า พระราชา ตรัสถามว่ามีอยู่ที่ไหนเล่า จึงกราบทูลว่า พวกพรานจักทราบ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้ประชุมพวกพรานแล้วตรัสถาม. ครั้นแล้วบุตรพรานคนนั้นก็กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราช นกยูงสีทองมีอยู่จริงอาศัยอยู่ ณ ทัณฑกบรรพต พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปจับนกยูงนั้นมาอย่าให้ตาย. พรานจึงเอาบ่วงไปดักไว้ที่ ณ ที่นกยูงหาอาหาร. แม้ในสถานที่ ที่นกยูงเหยียบ บ่วงก็หาได้กล้ำกรายเข้าไปไม่. พรานไม่สามารถ จับนกยูงได้ ท่องเที่ยวอยู่ถึงเจ็ดปี ได้ถึงแก่กรรมลง ณ ที่นั้นเอง. แม้พระนางเขมาราชเทวี เมื่อไม่ได้สมพระประสงค์ก็สิ้นพระชนม์. พระราชาทรงกริ้วว่า พระเทวีได้สิ้นพระชนม์ลงเพราะอาศัย นกยูง จึงให้จารึกอักษรไว้ในแผ่นทองว่า ในหิมวันตประเทศ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อทัณฑกบรรพต นกยูงสีทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ผู้ได้กินเนื้อของมัน ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย จะมีอายุยืน แล้วเก็บแผ่นทองไว้ในหีบทอง. ครั้นพระราชาสวรรคตแล้ว พระราชาองค์อื่นครองราชสมบัติ ทรงอ่านข้อความในสุพรรณบัฎ มีพระประสงค์จะไม่แก่ไม่ตาย จึงทรงส่งพรานคนอื่นไป ให้ เที่ยวแสวงหา. แม้พรานนั้นไปถึงที่นั้นแล้วก็ไม่สามารถจะจับ พระโพธิสัตว์ได้ ได้ตายไปในที่นั้นเอง. โดยทำนองนี้พระราชา สวรรคตไปหกชั่วพระองค์ ครั้นถึงองค์ที่เจ็ดครองราชสมบัติ จึงทรงส่งพรานคนหนึ่งไป. พรานนั้นไปถึงแล้วก็รู้ถึงภาวะที่ บ่วงมิได้กล้ำกรายแม้ในที่ที่นกยูงโพธิสัตว์เหยียบ และการที่ นกยูงโพธิสัตว์เจริญพระปริตรป้องกันตนก่อนแล้ว จึงบินไปหา อาหาร จึงขึ้นไปยังปัจจันตชนบท จับนางนกยูงได้ตัวหนึ่ง ฝึก ให้รู้จักฟ้อนด้วยเสียงปรบมือ และให้รู้จักขันด้วยเสียงดีดนิ้ว. ครั้นฝึกนางนกยูงจนชำนาญดีแล้ว จึงพามันไป เมื่อนกยูงทอง ยังไม่เจริญพระปริตรปักโคนบ่วงดักไว้ในเวลาเช้า ทำสัญญาณ ให้นางนกยูงขัน. นกยูงทองได้ยินเสียงมาตุคาม ซึ่งเป็นข้าศึกแล้ว. ก็เร่าร้อนด้วยกิเลสไม่อาจเจริญพระปริตรได้ จึงบินโผไปติด บ่วง. พรานจึงจับนกยูงทองไปถวายพระเจ้าพาราณสี. พระราชา ทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของนกยูงทอง ก็ทรงพอพระทัย พระราชทานที่ให้จับ. นกยูงทองโพธิสัตว์จับอยู่เหนือคอนที่เขา จัดแต่งให้จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราชเพราะเหตุไรจึงมีรับสั่งให้จับ ข้าพเจ้า. พระราชาตรัสว่า ข่าวว่าผู้ใดกินเนื้อเจ้า ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ ตาย ข้าพเจ้าต้องการกินเนื้อเจ้าจะได้ไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงให้จับ เจ้ามา. นกยูงทองทูลว่า ข้าแต่มหาราช คนทั้งหลายกินเนื้อ ข้าพเจ้าจะไม่แก่ไม่ตายก็ช่างเถิด แต่ข้าพเจ้าจักตายหรือ. รับ สั่งว่าจริงเจ้าต้องตาย. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเมื่อข้าพเจ้า ต้องตาย ผู้ที่กินเนื้อข้าพเจ้าแล้วทำอย่างไรจึงไม่ตายเล่า. รับสั่ง ว่า เจ้ามีตัวเป็นสีทอง เพราะฉะนั้นมีข่าวว่า ผู้ที่กินเนื้อเจ้าแล้ว จักไม่แก่ไม่ตาย. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพเจ้ามีสีทอง เพราะไม่มีเหตุหามิได้ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในนครนี้แหละ ทั้งตนเองก็รักษาศีลห้า แม้ชนทั้งหลายทั่วจักรวาฬ ก็ให้รักษาศีล ข้าพเจ้าสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ ดำรงอยู่ในภพนั้นจนตลอดอายุ จุติจากนั้นแล้ว จึงมาเกิดใน กำเนิดนกยูง เพราะผลแห่งอกุศลกรรมอื่น อีกอย่างหนึ่งแต่ตัว มีสีทองก็ด้วยอานุภาพศีลห้าที่รักษาอยู่ก่อน. รับสั่งถามว่า เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นเจ้าจักรพรรดิ์รักษาศีลห้า ตัวมีสีเป็นทอง เพราะผลของศีล ข้อนี้ข้าพเจ้าจะเชื่อได้อย่างไร มีใครเป็นพยาน. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มี. รับสั่งถามว่า ใครเล่า. กราบทูล ว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งเป็นเจ้าจักรพรรดิ์ ข้าพเจ้านั่งรถ สำเร็จด้วยแก้วเจ็ดประการ เที่ยวไปในอากาศ รถของข้าพเจ้า นั้นจมอยู่ภายใต้ภาคพื้นสระมงคลโบกขรณี โปรดให้ยกรถนั้นขึ้น จากสระมงคลโบกขรณีเถิด รถนั้นจักเป็นพยานของข้าพเจ้า. พระราชารับสั่งว่า ดีละแล้วให้วิดน้ำออกจากสระโบกขรณี ยก รถขึ้นได้จึงทรงเชื่อคำของพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์แสดง ธรรมถวายพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมที่ปรุงแต่งทั้งหมด ที่เหลือนอกจากพระอมตมหานิพพานแล้ว ชื่อว่าไม่เที่ยง มีความ สิ้นและความเสื่อมเป็นธรรมดา เพราะมีแล้วกลับไม่มี ดังนี้แล้ว ให้พระราชาดำรงอยู่ในศีลห้า. พระราชาทรงเลื่อมใสบูชา พระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ได้ทรงกระทำสักการะเป็นอันมาก. นกยูงทองถวายราชสมบัติคืนแด่พระราชา พักอยู่ ๒-๓ วัน จึง ถวายโอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงไม่ประมาทเถิด แล้วบินขึ้นอากาศไปยังภูเขาทัณฑกหิรัญ. ฝ่ายพระราชาดำรง อยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ สัจธรรม ประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสัน ตั้งอยู่ในพระอรหัต. พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นอานนท์ในบัดนี้. ส่วนนกยูงทองได้เป็นเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาโมรชาดกที่ ๙