พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว ธมฺมทฺธชํ กตฺวา ดังนี้.
            ความย่อว่า ในครั้งนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลความ ที่ภิกษุนั้นเป็นผู้หลอกลวงให้ทรงทราบแล้ว พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อนภิกษุ นี้ก็หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดัง ต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหนู อาศัย ความเจริญเติบโต มีร่างกายอ้วนใหญ่คล้ายกับลูกสุกรอ่อน มี หนูหลายร้อยเป็นบริวาร ท่องเที่ยวอยู่ในป่า
            ครั้งนั้น มีหมาจิ้งจอก ตัวหนึ่ง ท่องเที่ยวไปตามประสา เห็นฝูงหนูนั้นคิดว่า เราจักลวง กินหนูเหล่านี้ แล้วแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์สูดดม ยืนด้วยเท้า ข้างเดียว ในที่ไม่ไกลกับที่อาศัยของฝูงหนู พระโพธิสัตว์เที่ยว หากินเห็นมันแล้ว คิดว่า หมาจิ้งจอกนี้คงเป็นผู้มีศีล จึงเดินไปสู่ สำนักของมัน พลางถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านชื่ออะไรเล่า ?
            มันตอบว่า เราชื่อธรรมิกะ
            ถามว่า ท่านไม่ยืนเหนือแผ่นดิน สี่เท้า ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเพราะเหตุไร ?
            ตอบว่า เมื่อเราเหยียบ แผ่นดินสี่เท้าละก็ แผ่นดินไม่อาจทนอยู่ได้ เหตุนั้น เราต้องยืน เท้าเดียวเท่านั้น
            ถามว่า ทำไมต้องยืนอ้าปากด้วยเล่า ?
            ตอบว่า เราไม่กินอาหารอื่น กินลมอย่างเดียว
            ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงต้องจ้องมองดวงอาทิตย์ด้วยเล่า ?
            ตอบว่า เรานอบน้อม พระอาทิตย์
            พระโพธิสัตว์ฟังคำของมันแล้ว มั่นใจว่า สุนัขจิ้งจอก ตัวนี้คงมีศีลเป็นแน่ แต่นั้นก็ไปสู่ที่บำรุงของมันกับฝูงหนู ทั้ง เวลาเย็น เวลาเช้า ครั้นในเวลาที่หนูผู้โพธิสัตว์นั้นทำการบำรุง แล้วไป หมาจิ้งจอกก็จับเอาหนูตัวสุดท้าย กินเนื้อเสียแล้ว เช็ด ปากยืนอยู่ ฝูงหนูบางตาลงโดยลำดับ พวกเราต้องเบียดเสียด กันอยู่ เดี๋ยวนี้ดูหลวม ที่อยู่แม้เท่านั้น ก็ยังไม่เต็ม นี่มันเรื่อง อะไรกัน ?
            แล้วพากันบอกเรื่องราวแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ คิดว่า เหตุไรเล่าหนอ พวกหนูจึงเบาบางไป ตั้งข้อสงสัยในหมาจิ้งจอก
            ดำริว่า ต้องสอบสวนหมาจิ้งจอกนั้นในเวลาบำรุง ให้ พวกหนูออกหน้า ตนเองอยู่หลังเพื่อน หมาจิ้งจอกวิ่งไปสะกัด พระโพธิสัตว์ไว้ พระโพธิสัตว์เห็นมันกอดจับตน ก็หันกลับ พูดว่า เจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ การบำเพ็ญพรตของเจ้านี้ มิใช่ เป็นไปเพื่อความประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่เจ้าประพฤติแอบอ้าง เอาธรรมเป็นธงขึ้นไว้ เพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า "ผู้ใดแล เทิดธรรมเป็นธงชัย ให้สัตว์ ทั้งหลายตายใจ ซ่อนตนประพฤติชั่ว ความ ประพฤติของผู้นั้น ชื่อว่า เป็นความประพฤติ ของแมว" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย เว ความว่าในหมู่ชนมีกษัตริย์ เป็นต้น คนใดคนหนึ่งก็ตาม. บทว่า ธมฺมทฺชชํ กตฺวา ความว่า เทิดทูนกุศลกรรมบท สิบประการเป็นธง คือ ธรรม เสมือนว่าตนปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ เชิดชูขึ้นแสดง. บทว่า วิสฺสาสยิตฺวา ความว่า ทำให้ฝูงสัตว์เกิดความ วางใจ ด้วยสำคัญผิดว่า ผู้นี้มีศีล. บทว่า พิฬารนฺนาม ตํ วตํ ความว่า พรตของผู้ที่เทิดธรรม เป็นธงอยู่อย่างนี้ แล้วซ่อนกระทำความชั่วอยู่ลับ ๆ นั้น ย่อม ชื่อว่า เป็นพรตอันประกอบด้วยความล่อลวง.
            พระยาหนูกล่าวพลาง กระโดดขึ้นเกาะคอมันไว้ กัดที่ซอกคอ ใต้คาง ให้ถึงความสิ้นชีวิต ฝูงหนูกลับมากัดกินหมาจิ้งจอก เสียงดังมุ่มม่ำ ๆ แล้วพากันไป ได้ยินว่าหนูพวกที่มาก่อนก็ได้ กินเนื้อ พวกที่มาทีหลังก็ไม่ได้ นับแต่นั้นมาพวกหนูก็หมดภัย ได้ความสุข.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้ ส่วนพญาหนู ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถามูสิกชาดกที่ ๘