พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเถระผู้เฒ่า ๒ องค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ เริ่มต้นว่า พหุจินฺตี อปฺปจินฺตี จ ดังนี้:-
            ได้ยินว่า พระเถระผู้เฒ่า ๒ องค์นั้น อยู่จำพรรษาใน อรัญญาวาสแห่งหนึ่งในชนบท คิดกันว่าเราทั้งสองจักไปเฝ้า พระศาสดา แล้วเตรียมเสบียงไว้ มัวผลัดอยู่ว่า ไปวันนี้เถิด ไปพรุ่งนี้เถิด จนล่วงไปเดือนหนึ่ง แล้วก็อีกเดือนหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะตนเป็นคนเกียจคร้าน และเพราะความเป็นห่วงที่อยู่
            ต่อ ๓ เดือนล่วงไปแล้ว จึงได้ออกจากที่นั้นไปสู่พระเชตวัน เก็บบาตรจีวรไว้ในที่อยู่ของภิกษุผู้ชอบพอกัน แล้วพากันไปเฝ้า พระศาสดา.
            ครั้งนั้นพวกภิกษุพากันถามพระเถระผู้เฒ่าทั้งสองว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ นานจริงหนอที่ท่านทั้งสองมิได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เหตุไรท่านทั้งสองจึงได้ชักช้าอย่างนี้ ?
            พระเถระผู้เฒ่าทั้งสอง ก็พากันเล่าเรื่องนั้น ครั้งนั้นความเกียจคร้าน โอ้เอ้ ของท่านทั้งสอง ก็ระบือไปในหมู่สงฆ์ แม้ในธรรมสภา พวกภิกษุก็อาศัยความ เป็นผู้เกียจคร้านของท่านทั้งสองนั้นแหละ ตั้งเป็นเรื่องขึ้น.
            พระ ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ นั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
            เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล ให้ทรงทราบแล้ว มีรับสั่งให้เรียกท่านทั้งสองมาเฝ้า ตรัสถามว่า ได้ยินว่าพวกเธอเกียจคร้าน โอ้เอ้ จริงหรือ ?
            ครั้นท่านทั้งสอง ทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เธอทั้งสองเป็นผู้เกียจคร้าน แม้ในกาลก่อน ก็เป็นผู้เกียจคร้านและยังเป็นผู้มีความอาลัย ห่วงใยในที่อยู่ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี มีปลา ๓ ตัวอยู่ในพระนครพาราณสี ปลา ทั้ง ๓ นั้น มีชื่อดังนี้ คือ พหุจินตี อัปปจินตี และมิตจินตี. ปลา ทั้ง ๓ พากันออกจากป่ามาสู่ถิ่นมนุษย์
            ในปลาทั้ง ๓ นั้น มิตจินตี บอกกับปลาทั้งสองอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าถิ่นมนุษย์นี้ เต็มไปด้วย ความรังเกียจ มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า พวกชาวประมงพากันวางข่าย และไซเป็นต้น มีประการต่าง ๆ แล้วจับเอาปลา พวกเราพากัน เข้าป่าตามเดิมเถอะ
            ปลาทั้งสองนอกนี้ ต่างพูดผลัดว่า พวกเรา จะไปกันวันนี้ หรือพรุ่งนี้ค่อยไปเถิด เพราะความเป็นผู้เกียจคร้าน และเพราะความติดใจในเหยื่อ จนเวลาล่วงไปถึง ๓ เดือน ครั้งนั้น พวกชาวประมงพากันวางข่ายในแม่น้ำ ปลาพหุจินตี และ ปลาอัปปจินตี เมื่อออกหาอาหาร พากันว่ายไปข้างหน้า ไม่ กำหนดกลิ่นข่าย เพราะความเป็นสัตว์โง่ ตกเข้าไปในท้องข่าย ทันที
            ปลามิตจินตีตามมาข้างหลัง กำหนดกลิ่นข่ายได้ และรู้ว่า ปลาทั้งคู่นั้นเข้าไปในท้องข่ายเสียแล้ว คิดว่า เราจักให้ทานชีวิต แก่ปลาอันธพาล ผู้เกียจคร้านคู่นี้ไว้ แล้วก็ว่ายไปสู่ที่ท้องข่าย ข้างนอก ทำให้น้ำป่วนปั่น ทำเป็นทีว่าท้องข่ายขาดแล้วโดด ออกไปได้ แล้วก็โดดไปข้างหน้าข่าย ว่ายเข้าไปสู่ท้องข่ายอีก ทำให้น้ำป่วนปั่นเป็นทีว่าทำให้ข่ายส่วนหลังขาด โดดออกไปได้ แล้วก็โดดออกไปทางเบื้องหลังข่าย
            พวกประมงสำคัญว่า ปลา พากันชำแรกข่ายไปได้ ก็ช่วยกันจับปลายข่ายยกขึ้น ปลาทั้งสอง นั้นก็รอดจากข่ายตกลงไปในน้ำ เป็นอันว่าปลาทั้งสองนั้น อาศัย ปลามิตจินตี จึงได้มีชีวิต
            พระศาสดาครั้นทรงนำเอาเรื่องในอดีต นี้มาสาธกแล้ว ได้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถานี้ ความว่า :- "ปลาสองตัว คือปลาพหุจินตี และปลาอัปปจินตี ติดอยู่ในข่าย ปลาชื่อมิตจินตีได้ช่วย ให้พ้นจากข่าย ปลาทั้งสองตัวจึงได้มาพร้อมกัน กับปลามิตจินตี ในแม่น้ำนั้น" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุจินฺตี ความว่า ปลาที่ได้ นามอย่างนี้ว่า พหุจินตี เพราะมีความคิดมาก มีความตรึกตรอง มาก แม้ในชื่อทั้งสองนอกนี้ ก็มีนัยนี้แหละ. บทว่า อุโภ ตตฺถ สมาคตา ความว่า ปลาทั้งคู่เข้าไป ติดข่าย อาศัยปลามิตจินตี จึงรอดชีวิตกลับมา ร่วมกับปลา มิตจินตี ในน่านน้ำนั้นอีก.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้เฒ่า (ทั้งสององค์) ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ปลาพหุจินตี และปลาอัปปจินตี ในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุคู่นี้ ส่วนปลามิตจินตี ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถามิตจินติชาดกที่ ๔