พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภมตกภัตจึง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอวญฺเจ สตฺตา ชาเนยฺยุํ ดังนี้. ความพิสดารว่า ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลาย ฆ่าแพะเป็นต้น เป็น อันมาก ให้มตกภัตอุทิศญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นมนุษย์ เหล่านั้นกระทำอย่างนั้น จึงทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ มนุษย์ทั้งหลายทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้ชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้มีอยู่หรือ พระเจ้าข้า ? พระศาสดาตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความเจริญอะไร ๆ ในปาณาติบาต แม้ที่เขากระทำ ด้วยคิดว่า พวกเราจักให้มตกภัต ดังนี้ ย่อมไม่มี แม้ในกาลก่อน บัณฑิต ทั้งหลายนั่งในอากาศ แสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปาณาติบาตนี้ ให้ชนชาว ชมพูทวีปทั้งสิ้นละกรรมนั่น แต่บัดนี้ กรรมนั่นกลับปรากฏขึ้นอีก เพราะสัตว์ ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้อยู่ในสังเขปแห่งภพ แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อ ไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้สำเร็จไตรเพทคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับ แพะมาตัวหนึ่ง กล่าวกะอันเตวาสิกทั้งหลายว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงนำ แพะตัวนี้ไปยังแม่นํ้า เอาระเบียบดอกไม้สวมคอ เจิมประดับประดาแล้วนำมา อันเตวาสิกทั้งหลายรับคำแล้ว พาแพะนั้นไปยังแม่นํ้า ให้อาบนํ้า ประดับแล้ว พักไว้ที่ฝั่งแม่นํ้า แพะนั้นเห็นกรรมเก่าของตนเกิดความโสมนัสว่า เราจักพ้น จากทุกข์ชื่อเห็นปานนี้ ในวันนี้ จึงหัวเราะลั่นประดุจต่อยหม้อดิน กลับคิดว่า พราหมณ์นี้ฆ่าเราแล้วจักได้ความทุกข์ที่เราได้แล้ว เกิดความกรุณาพราหมณ์ จึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง

ลำดับนั้น มาณพเหล่านั้นจึงถามแพะนั้นว่า ดูก่อน แพะผู้สหาย ท่านหัวเราะและร้องไห้เสียงดังลั่น เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึง หัวเราะ และเพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้ ? แพะกล่าวว่า ท่านทั้งหลายพึงถาม เหตุนี้กะเรา ในสำนักแห่งอาจารย์ของท่าน. มาณพเหล่านั้นจึงพาแพะนั้นไป แล้วบอกเหตุนี้แก่อาจารย์ อาจารย์ได้ฟังคำของมาณพเหล่านั้นแล้วถามแพะว่า ดูก่อนแพะ เพราะเหตุไร ท่านจึงหัวเราะ เพราะเหตุไรท่านจึงร้องไห้ ? แพะ หวนระลึกถึงกรรมที่ตนกระทำด้วยญาณเครื่องระลึกชาติได้กล่าวแก่พราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นท่านนั่นแหละ คิดว่าจักให้มตกภัต จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต เพราะเราฆ่าแพะตัว หนึ่ง เรานั้นจึงถึงการถูกตัดศีรษะใน ๔๙๙ อัตภาพ นี้เป็นอัตภาพที่ ๕๐๐ ของ เราซึ่งตั้งอยู่ในที่สุด เรานั้นเกิดความโสมนัสว่า วันนี้ เราจักพ้นจากทุกข์เห็น ปานนี้ ด้วยเหตุนี้จึงหัวเราะ แต่เราเมื่อร้องไห้ ได้ร้องไห้เพราะความกรุณา ท่าน ด้วยคิดว่า เบื้องต้น เราฆ่าแพะตัวหนึ่ง ถึงความทุกข์คือการถูกตัดศีรษะ ถึง ๕๐๐ ชาติ จักพ้นจากทุกข์นั้น ในวันนี้ ส่วนพราหมณ์ฆ่าเราแล้วจักได้ ทุกข์คือการถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติ เหมือนเรา.

พราหมณ์กล่าวว่า ดูก่อนแพะ ท่านอย่ากลัวเลย เราจักไม่ฆ่าท่าน. แพะกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านพูดอะไร เมื่อท่านจะฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดี วันนี้เราไม่อาจพ้นจากความตายไปได้. พราหมณ์ กล่าวว่า ดูก่อนแพะ ท่านอย่ากลัว เราจักถือการอารักขาท่าน เที่ยวไปกับท่าน เท่านั้น. แพะกล่าวว่า พราหมณ์ อารักขาของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปที่ เรากระทำมีกำลังมาก. พราหมณ์ให้ปล่อยแพะแล้วกล่าวว่า เราจักไม่ให้แม้ ใคร ๆ ฆ่าแพะตัวนี้ จึงพาพวกอันเตวาสิกเที่ยวไปกับแพะนั่นแหละ แพะพอ เขาปล่อยเท่านั้น ก็ชะเง้อคอเริ่มจะกินใบไม้ ซึ่งอาศัยหลังแผ่นหินแห่งหนึ่ง เกิดอยู่ ทันใดนั้นเอง ฟ้าก็ผ่าลงที่หลังแผ่นหินนั้น เสก็ดหินชิ้นหนึ่งแตกตก ลงที่คอแพะซึ่งชะเง้ออยู่ ตัดศีรษะขาดไป มหาชนประชุมกัน

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในที่นั้น พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อมหาชนเห็น อยู่นั่นแล นั่งขัดสมาธิในอากาศด้วยเทวานุภาพกล่าวว่า สัตว์เหล่านั้นรู้ผล ของบาปอยู่อย่างนี้ชื่อแม้ไฉนไม่ควรกระทำปาณาติบาต เมื่อจะแสดงธรรมด้วย เสียงอันไพเราะ จึงกล่าวคาถานี้ว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติสมภพนี้เป็น ทุกข์ สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวญฺเจ สตฺตา ชาเนยฺยํ ความว่า สัตว์เหล่านี้ พึงรู้อย่างนี้. พึงรู้อย่างไร ? พึงรู้ว่า ชาติสมภพนี้เป็นทุกข์ อธิบายว่า ถ้าว่า พึงรู้ว่าความเกิดในภพนั้น ๆ และความสมภพกล่าวคือความ เจริญของผู้ที่เกิดโดยลำดับนี้ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ ทั้งหลายมีชรา พยาธิ มรณะ ความประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความพลัด พรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก และการถูกตัดมือตัดเท้าเป็นต้น. บทว่า น ปาโณ ปาณินํ หญฺเ ความว่า สัตว์ไร ๆ รู้อยู่ว่าชาติสมภพชื่อว่าเป็นทุกข์เพราะ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ว่า ผู้ทำสัตว์อื่นให้เจริญ ย่อมได้ความเจริญในชาติสมภพ เมื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น ย่อมได้รับการเบียดเบียนดังนี้ จึงไม่ควรฆ่าสัตว์อื่น อธิบายว่า สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์เพราะเหตุไร ? เพราะผู้มีปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้า โศก อธิบายว่า เพราะบุคคลผู้มีปกติฆ่าสัตว์ด้วยการเข้าไปตัดชีวิตินทรีย์ของ สัตว์อื่น ด้วยประโยคอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาประโยคทั้ง ๖ มีสาหัตถิก- ประโยคเป็นต้น เสวยมหันตทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ นี้ คือในมหานรก ๘ ขุม ใน อุสสทนรก ๑๖ ขุม ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานมีประการต่าง ๆ ในเปรตวิสัย และในอสุรกาย ชื่อว่าย่อมเศร้าโศกด้วยความเศร้าโศกอันมีความเผาไหม้ใน ภายในเป็นลักษณะ ตลอดกาลนาน อีกอย่างหนึ่ง สัตว์รู้ว่า แพะนี้เศร้าโศก แล้ว เพราะมรณภัย ฉันใด ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน แม้ ฉันนั้น ดังนี้แล้วไม่ควรฆ่าสัตว์ อธิบายว่า ใคร ๆ ไม่ควรกระทำกรรมคือ ปาณาติบาต ก็บุคคลผู้หลงเพราะโมหะ เมื่ออวิชชากระทำให้เป็นคนบอดแล้ว ไม่เห็นโทษนี้ย่อมกระทำปาณาติบาต.

พระโพธิสัตว์แสดงธรรมโดยเอาภัยในนรกมาขู่ด้วยประการอย่างนี้. มนุษย์ทั้งหลายฟังธรรมเทศนานั้นแล้ว กลัวภัยในนรก พากันงดเว้นจาก ปาณาติบาต ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมแล้ว ยังมหาชนให้ตั้งอยู่ใน เบญจศีลแล้วไปตามยถากรรม ฝ่ายมหาชนตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ กระทำบุญมีทานเป็นต้น ทำเทพนครให้เต็มแล้ว. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบต่ออนุสนธิ ทรงประชุมชาดกว่า ภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นเราได้เป็นรุกขเทวดาแล.

จบมตกภัตตชาดกที่ ๘

กลับที่เดิม