พระบรมศาสดา เมื่อเสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวมคธ ทรงปรารภพวกมนุษย์ชาวบ้านที่เป็นพาล ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "เสยฺโย อมิตฺโต" ดังนี้. :- ได้ยินมาว่า ในสมัยหนึ่งพระตถาคตเจ้าเสด็จจากพระนคร สาวัตถี ไปสู่แคว้นมคธ ขณะกำลังเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ นั้น ทรงบรรลุถึงบ้านตำบลหนึ่ง. แม้บ้านหมู่นั้น ก็หนาแน่นไป ด้วยพวกมนุษย์อันธพาลโดยมาก.

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพวกมนุษย์ อันธพาล ประชุมปรึกษากันว่า ท่านทั้งหลาย พวกยุงมันรุมกัด เรา ขณะที่ไปทำการงานในป่า เพราะเหตุนั้น การงานของเรา ทั้งหลายจึงขาดไป พวกเราจักถือธนูแลอาวุธ ครบมือทีเดียว พา กันไปรบกับฝูงยุง ฆ่ามันเสีย แทงมันเสีย ให้ตายให้หมด ดังนี้แล้ว พากันไปป่า ต่างก็หมายมั่นว่า เราจักแทงฝูงยุง กลับไปทิ่มแทง ประหารกันเอง ต่างคนต่างก็เจ็บป่วยกลับมา นอนอยู่ภายในบ้าน ก็มี ที่กลางบ้านก็มี ที่ประตูบ้านก็มี. พระบรมศาสดา แวดล้อม ด้วยพระภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปสู่บ้านนั้นเพื่อบิณฑบาต. หมู่คน ที่เป็นบัณฑิตที่เหลือ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสร้างมณฑปที่ ประตูบ้าน ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายบังคมพระศาสดา นั่งอยู่แล้ว. ครั้งนั้น พระศาสดา ทอด พระเนตรเห็นคนทั้งหลาย ล้มนอนเจ็บในที่นั้น ๆ ก็ตรัสถามอุบาสก เหล่านั้นว่า คนเหล่านี้ไปทำอะไรกันมา จึงได้เจ็บป่วยกันมาก มาย ? อุบาสกเหล่านั้นก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนเหล่านี้คบคิดกันว่า พวกเราจักทำการรบกับฝูงยุง แล้วพา กันยกไป กลับไปรบกันเอง เลยเจ็บป่วยไปตาม ๆ กัน. พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่พวกมนุษย์อันธพาลคบคิด กันว่า เราจักประหารฝูงยุง กลับประหารตนเอง แม้ในครั้งก่อน ก็เคยเป็นพวกมนุษย์ที่คิดว่าจักประหารยุง แต่กลับประหารผู้อื่น มาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงดุษณี ต่อเมื่อพวกมนุษย์เหล่านั้น ทูลอาราธนา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เลี้ยงชีวิตด้วยการค้า. ครั้งนั้นที่บ้าน ชายแดนแห่งหนึ่ง ในแคว้นกาสี มีพวกช่างไม้อาศัยอยู่มาก ด้วยกัน. ช่างไม้หัวล้านคนหนึ่ง ในหมู่ช่างไม้เหล่านั้น กำลัง ตากไม้ ขณะนั้นมียุงตัวหนึ่ง บินมาจับที่ศีรษะ ซึ่งคล้ายกับ กระโหลกทองแดงคว่ำ แล้วกัดศีรษะด้วยจงอยปาก เหมือนกับ ประหารด้วยหอก. ช่างไม้จึงบอกลูกของตน ผู้นั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า ไอ้หนู ยุงมันกัดศรีษะพ่อ เจ็บเหมือนถูกแทงด้วยหอก จงฆ่า มันเสีย. ลูกพูดว่า พ่อจงอยู่นิ่ง ๆ ฉันจะฆ่ามัน ด้วยการตบครั้ง เดียวเท่านั้น. แม้ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์ ก็กำลังเที่ยวแสวงหา สินค้าของตนอยู่ ลุถึงบ้านนั้น นั่งพักอยู่ในโรงของช่างไม้นั้น. เป็นเวลาเดียวกันกับที่ช่างไม้นั้น บอกลูกว่า ไอ้หนู ไล่ยุงนี้ที. ลูกขานรับว่า จ่ะพ่อ ฉันจะไล่มัน พูดพลางก็เงื้อขวานเล่มใหญ่ คมกริบ ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฟันลงมาเต็มที่ ด้วยคิดว่าจักประหาร ยุง เลยผ่าสมองของบิดาเสียสองซีก. ช่างไม้ถึงความตายในที่นั้น เอง.

พระโพธิสัตว์เห็นการกระทำของลูกช่างไม้แล้ว ได้คิดว่า ถึงปัจจามิตรเป็นบัณฑิตก็ยังดีกว่า เพราะเขายังเกรงอาญา แผ่นดิน ไม่ถึงกับฆ่ามนุษย์ได้ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า "ศัตรูผู้มีความรู้ ประเสริฐกว่ามิตรผู้ ปราศจากความรู้ ไม่ประเสริฐเลย เพราะลูกชาย ผู้โง่เขลา คิดว่าจักฆ่ายุง กลับผ่าหัวของพ่อเสีย" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺโย ความว่า ประเสริฐ คือ สูงสุด. บทว่า มติยา อุเปโต ความว่า ประกอบด้วยปัญญา. บทว่า เอลมูโค แปลว่า เซ่อเซอะ คือโง่เขลา. บทว่า ปุตฺโต ปิตุ อพฺภิทา อุตฺตมงฺคํ ความว่า เพราะ ความที่ตนเป็นคนโง่เขลา แม้เป็นบุตร คิดว่า เราจักฆ่ายุง ก็ยัง ผ่าหัวสมองของพ่อเสียแล่งเป็น ๒ ซีก เพราะเหตุนั้น บัณฑิต ถึงจะเป็นศัตรู ก็ยังดีกว่ามิตรที่โง่ ๆ. พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ก็ลุกขึ้นไปทำงาน ตามหน้าที่. แม้พวกที่เป็นญาติก็ได้จัดการทำสรีรกิจของช่างไม้.

พระบรมศาสดาตรัสว่า อุบาสกทั้งหลาย แม้ในครั้งก่อน ก็ได้เคยมีมนุษย์ที่ได้คิดว่า เราจักประหารยุง แต่กลับประหาร คนอื่นมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า ก็พ่อค้าบัณฑิตที่กล่าวคาถาแล้ว หลีกไป ได้มาเป็นเราตถาคตนี้แล.

จบ อรรถกถามกสชาดกที่ ๔

กลับที่เดิม