พระบรมศาสดา บรรทมเหนือแท่นปรินิพพาน ทรง ปรารภคำของพระอานนทเถระเจ้าที่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าเสด็จปรินิพพาน ในพระนครเล็ก ๆ นี้เลย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่ม ต้นว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ดังนี้.
            ความย่อว่า เมื่อพระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน มหาวิหาร ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้าปรินิพพานแล้ว ณ ห้อง ที่ท่านเกิด ในหมู่บ้านนาลกะ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๒ พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพานในวันอมาวสี (สิ้นเดือน) ในกาฬปักษ์ ของเดือน ๑๒ นั่นเอง. พระศาสดาทรงพระดำริว่า เมื่อคู่อัครสาวกปรินิพพานแล้วอย่างนี้ แม้เราก็จักปรินิพพานในเมืองกุสินารา
            เสด็จจาริกไปโดยลำดับในเมืองนั้น เสด็จบรรทมด้วย อนุฏฐานไสยาเหนือพระแท่น ผันพระเศียรทางอุตตรทิศ ระหว่าง ไม้รังทั้งคู่.
            ครั้งนั้น พระอานนทเถระเจ้า กราบทูลวิงวอนพระองค์ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพาน ในเมืองเล็ก ๆ นี้ เป็นเมืองดอน เป็นเมืองเขิน เป็นเมืองกิ่ง เชิญ พระองค์เสด็จปรินิพพาน ณ เมืองมหานคร เมืองใดเมืองหนึ่ง บรรดามหานคร มีจัมปากะและราชคฤห์เป็นต้นอื่น ๆ
            พระศาสดา ตรัสว่า อานนท์ เธออย่ากล่าวว่า นครนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองดอน เมืองกิ่ง ครั้งก่อนในรัชกาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์สุทัสสนะ เราอยู่ในเมืองนี้ ในครั้งนั้นเมืองนี้แวดล้อมด้วยกำแพง ๑๒ โยชน์ เป็นมหานครมาแล้ว พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา ทรงนำ เอาเรื่องในอดีตมาสาธก มหาสุทัสสนสูตรดังต่อไปนี้ :-
            ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระนางสุภัททาเทวี ทอดพระเนตรเห็น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จลงจากปราสาทสุธัมมา เสด็จบรรทม โดยอนุฏฐานไสยา โดยพระปรัสเบื้องขวา เหนือพระแท่น อันสมควร ล้วนแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ อันราชบุรุษจัดไว้ ในป่าตาลไม่ไกลนัก จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระนครแปดหมื่นสี่พัน มีราชธานีกุสาวดี เป็นประมุขเหล่านี้ เป็นของทูลกระหม่อมโปรดพอพระทัยในพระนครเหล่านี้เถิด
            พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสว่า เทวี อย่าได้พูดอย่างนี้เลย จง ตักเตือนเราอย่างนี้เถิดว่า พระองค์จงกำจัดความพอใจในพระนคร เหล่านี้เสียให้จงได้เถิด อย่าทรงกระทำความเพ่งเล็งเลย
            พระเทวี ทูลถามว่า เพราะเหตุไรเล่า พระเจ้าข้า ?
            ตรัสว่า เราจักต้อง ตายในวันนี้.
            ทันใดนั้นพระเทวีทรงพระกรรแสงเช็ดพระเนตร ตรัสคำอย่างนั้นกะพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยากลำบาก เอาแต่ ทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหล่าสตรีแปดหมื่นสี่พันนางแม้ที่เหลือ ก็พากันร้องไห้ร่ำไร ถึงในหมู่อำมาตย์เป็นต้น แม้คนเดียวก็ไม่อาจ อดกลั้นความโศกไว้ได้ ต่างร้องไห้ระงมทั่วกัน
            พระโพธิสัตว์ ห้ามคนทั้งหมดว่า อย่าเลยพนาย อย่าได้ส่งเสียงคร่ำครวญไปเลย เพราะสังขารที่ชื่อว่า เที่ยง แม้เท่าเมล็ดงาไม่มีเลย ทุกอย่าง ไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดาทั้งนั้น เมื่อจะทรงสั่งสอน พระเทวี ตรัสพระคาถานี้ ความว่า
            "สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความ เกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้น เสียได้เป็นสุข" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ความว่า ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ สังขารทั้งหลายมีขันธ์และอายตนะ เป็นต้น อันปัจจัยมีประมาณเท่าใดมาประชุมก่อกำเนิดไว้ ทั้งหมด นั้น ชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งหมด เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้ รูป ไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง จักษุไม่เที่ยง ฯลฯ ธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง รวมความว่าสิ่งที่ยังความยินดีให้เกิด ทั้งที่มีวิญญาณ และหาวิญญาณมิได้ มีอันใดบ้าง อันนั้นทั้งหมด ไม่เที่ยงทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จงกำหนดถือเอาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ. เพราะเหตุไร ? เพราะเป็นอุปปาทวยธรรม คือ เพราะสังขาร เหล่านี้ทั้งหมดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วย และมีความเสื่อม เป็นธรรมดาด้วย ล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับเป็น สภาวะทั้งนั้น เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบเถิดว่า เป็นของ ไม่เที่ยง ก็เพราะไม่เที่ยง จึงเกิดแล้วก็ดับ คือแม้จะเกิดแล้ว ถึงความดำรงอยู่ได้ ก็ต้องดับทั้งนั้น แท้จริง สังขารเหล่านี้ ทุกอย่างกำลังเกิด ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น กำลังสลาย ชื่อว่าย่อมดับ เมื่อความเกิดขึ้นแห่งสังขารเหล่านั้น มีอยู่ ชื่อว่า ฐีติ จึงมีได้ เมื่อ ฐีติมีอยู่ ชื่อว่า ภังคะ จึงมีได้ เพราะเมื่อสังขารไม่เกิดขึ้น ฐีติก็มีไม่ได้, ฐีติขณะปรากฏแล้ว ชื่อว่าความไม่แตกดับ ก็ ไม่มี เพราะฉะนั้น สังขารแม้ทั้งหมด ถึงขณะทั้ง ๓ แล้ว ก็ย่อมดับไปในขณะนั้น ๆ เอง เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้ แม้ทั้งหมด จึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง ได้ ไม่ยั่งยืน เปื่อยเน่า หวั่นไหว โยกคลอน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน แปรผันได้ เป็นของชั่วคราว ไร้สาระ เป็นเช่นกับของหลอกลวง พยับแดด และฟองน้ำ ด้วยอรรถว่า เป็นของเป็นไปชั่วขณะ. ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ เพราะเหตุไรเธอจึงยังสุขสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นสุข) ให้บังเกิดขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เล่า อย่าได้ถือเอาอย่างนั้นเลย. บทว่า เตสํ วูปสโม สุโข ความว่า ดูก่อนพระนางสุภัททาเทวี ผู้เจริญ สภาพที่ชื่อว่าระงับเสียซึ่งสังขารเหล่านั้น เพราะระงับ ดับเสียได้ ซึ่งวัฏฏะทั้งมวล ได้แก่พระนิพพาน และพระนิพพาน นี้อย่างเดียวเท่านั้น ชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว อื่น ๆ ที่จะชื่อว่า เป็นสุขไม่มีเลย ดังนี้.
            พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วย อมตมหานิพพาน ด้วยประการฉะนี้แล้ว ทรงประทานโอวาท แม้แก่มหาชนที่เหลือว่า ท่านทั้งหลาย จงให้ทาน จงรักษาศีล จงกระทำอุโบสถกรรม ดังนี้แล้ว ได้เป็นผู้มีเทวโลกเป็นที่ไป ในเบื้องหน้า.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า สุภัททาเทวีในครั้งนั้น ได้มาเป็นราหุลมารดา ขุนพลแก้ว ได้มาเป็นพระราหุล ส่วนพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้มาเป็นเรา ตถาคตฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถามหาสุทัสสนชาดกที่ ๕