พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมิตรผู้ชี้ขาดการงานของท่านอนาถบิณฑิกะ ตรัส พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กเร สริกฺโข ดังนี้.
            ความโดยย่อมีว่า พวกมิตรผู้คุ้นเคย ญาติพวกพ้องของ ท่านอนาถบิณฑิกะ ร่วมกันห้ามปรามบ่อย ๆ ว่า ท่านมหาเศรษฐี คนผู้นี้ไม่ทัดเทียมกับท่าน โดยชาติ โคตร ทรัพย์ และธัญญชาติเป็น ต้น ทั้งไม่เหมือนท่านไปได้เลย เหตุไรท่านจึงทำความ สนิทสนมกับคนผู้นี้ อย่ากระทำเลย ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกะ กลับพูดว่า ธรรมดาความสนิทสนมกันฉันท์มิตร กับคนที่ต่ำกว่า ก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี คนที่สูงกว่าก็ดี ควรกระทำทั้งนั้น แล้ว ไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนพวกนั้น เมื่อจะไปบ้านส่วย ก็ตั้งบุรุษ ผู้นั้นให้เป็นผู้ดูแลสมบัติแล้วจึงไป เรื่องราวทั้งหมด พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องกาฬกรรณีนั่นแล
            แปลก แต่ว่า ในเรื่องนี้ เมื่อท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลเรื่องราวในเรือน ของตนแล้ว พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ธรรมดามิตร ที่จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี ก็ความเป็นผู้สามารถรักษามิตรธรรม ไว้ได้เป็นประมาณในเรื่องมิตรนี้ ธรรมดามิตร เสมอด้วยตน ก็ดี ต่ำกว่าตนก็ดี ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบไว้ เหตุว่ามิตรเหล่านั้น แม้ทั้งหมด ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตนได้ทั้งนั้น บัดนี้ ท่านอาศัยมิตรผู้ชี้ขาดการงานของตน จึงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ ได้สืบไป ส่วนโบราณกบัณฑิต อาศัยมิตรผู้ชี้ขาด จึงเป็นเจ้าของ วิมานได้ ดังนี้ อันท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลอาราธนา จึงทรง นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดาที่ กอหญ้าคา ในอุทยานของพระราชา ก็ในอุทยานนั้นแล มีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรง ถึงพร้อมด้วยปริมณฑล กิ่งก้านและค่าคบ ได้รับการยกย่องจากราชสำนัก เรียกกันว่า ต้นสมุขกะ(๑)บ้าง เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง บังเกิดที่ต้นไม้นั้น พระโพธิสัตว์ได้มีความสนิทสนมกับเทวราชนั้น
            ครั้งนั้นพระราชา เสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้น หวั่นไหวครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความหวั่นไหว ของเสานั้นแด่พระราชา พระราชารับสั่งให้หาพวกนายช่าง มาเฝ้า ตรัสว่า พ่อคุณ เสาแห่งมงคลปราสาทเสาเดียวหวั่นไหว เสียแล้ว พวกเจ้าจงเอาเสาไม้แก่นมาต้นหนึ่ง ทำเสานั้นไม่ให้ หวั่นไหวเถิด
            พวกช่างเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของ พระราชาว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วพากันแสวงหาต้นไม้ที่เหมาะ แก่เสานั้น ไม่พบในที่อื่น จึงเข้าไปสู่อุทยาน เห็นต้นสมุขกะนั้น แล้ว พากันไปสำนักพระราชา เมื่อมีพระดำรัสถามว่า อย่างไร เล่าพ่อทั้งหลาย ต้นไม้ที่เหมาะสมแก่เรานั้น พวกเจ้าเห็นแล้ว หรือ ?
            จึงกราบทูลว่า เห็นแล้วพระเจ้าข้า ก็แต่ว่า ไม่อาจตัด ต้นไม้นั้นได้
            รับสั่งถามว่า เพราะเหตุไรเล่า ?
            พากันกราบทูล ว่า พวกข้าพระองค์ ไม่เห็นต้นไม้ในที่อื่น พากันเข้าสู่พระอุทยาน ในพระอุทยานนั้นเล่า เว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว ก็ไม่เห็นต้นไม้อื่น ๆ ดังนั้น โดยที่เป็นมงคลพฤกษ์ พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัด ต้นไม้นั้น พระเจ้าข้า
            รับสั่งว่า จงพากันไปตัดเถิด ทำปราสาท ให้มั่นคงเถิด เราจักตั้งต้นอื่นเป็นมงคลพฤกษ์แทน
            พวกช่างไม้ เหล่านั้น รับพระดำรัสแล้วพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยาน ตกลงกันว่า จักตัดในวันพรุ่งนี้ แล้วกระทำพลีกรรมแก่ต้นไม้ เสร็จพากันออกไป รุกขเทวดารู้เหตุนั้นแล้ว คิดว่า พรุ่งนี้ วิมาน ของเราจักฉิบหาย เราจักพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ไหนกันเล่า เมื่อ ไม่เห็นที่ควรไปได้ ก็กอดคอลูกน้อย ๆ ร่ำไห้
            หมู่รุกขเทวดา ที่รู้จักมักคุ้นของเทวดานั้น ก็พากันไต่ถามว่า เรื่องอะไรเล่า ?
            ครั้นฟังเรื่องนั้น แม้พวกตนก็มองไม่เห็นอุบายที่จะห้ามช่างไม่ได้ ้ พากันทอดทิ้งเทวดานั้น เริ่มร้องไห้ไปตามกัน
            ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักไปเยี่ยมรุกขเทวดา จึงไปที่นั้น ฟังเหตุนั้นแล้ว ก็ปลอบเทวดาเหล่านั้นว่า ช่างเถิด อย่ามัวเสียใจเลย เราจักไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้เวลาพวก ช่างมา พวกท่านคอยดูเหตุการณ์ของเราเถิด
            ครั้นรุ่งขึ้น เวลา ที่พวกช่างไม้พากันมา ก็แปลงตัวเป็นกิ้งก่าวิ่งนำหน้าพวก ช่างไม้ไป เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์ กระทำประหนึ่งว่า ต้นไม้นั้นเป็นโพรง ไต่ขึ้นตามไส้ของต้นไม้ โผล่ออกทางยอด นอนผงกหัวอยู่ นายช่างใหญ่เห็นกิ้งก่านั้นแล้ว ก็เอามือตบ ต้นไม้นั้น แล้วตำหนิต้นไม้ใหญ่มีแก่นทึบตลอดว่า ต้นไม้นี้มีโพรง ไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสีย แล้ว พากันหลีกไป
            รุกขเทวดาอาศัยพระโพธิสัตว์ คงเป็นเจ้าของ วิมานอยู่ได้ เพื่อเป็นการต้อนรับรุกขเทวดานั้น เทวดาที่รู้จัก มักคุ้นจำนวนมากประชุมกัน รุกขเทวดาดีใจว่า เราได้วิมาน แล้ว เมื่อจะกล่าวคุณของพระโพธิสัตว์ ในท่ามกลางที่ประชุม เทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทพยเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ ก็มิได้รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ ส่วนเทวดากุสนาฬิ ได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้ เพราะ ญาณสมบัติของตน ธรรมดามิตร ไม่เลือกว่าเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่า หรือต่ำกว่า ควรคบไว้ทั้งนั้น มิตรแม้ทุก ๆ คน อาจบำบัดทุกข์ ที่บังเกิดแก่เพื่อนฝูง ให้คงคืนตั้งอยู่ในความสุขได้ ตามกำลัง ของตนทีเดียว ครั้นพรรณนามิตรธรรมแล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :- บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือ เลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อัน อุดมให้ได้ ดูเราผู้เป็นรุกขเทวดา และเทวดาผู้ เกิดที่กอหญ้าคาคบกันฉะนั้น ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า กเร สริกฺขโก ความว่า แม้คน เสมอกัน ด้วยฐานะมีชาติเป็นต้น ก็ควรคบกันไว้. บทว่า อถวาปิ เสฏฺโฐ ความว่า แม้เป็นผู้สูงกว่า คือยิ่งกว่า ด้วยชาติเป็นต้น ก็ควรคบไว้. บทว่า นิหีนโก จาปิ กเรยฺย เอโก ความว่า ถึงจะเป็นคน ต่ำต้อยด้วยชาติเป็นต้นคนหนึ่ง ก็พึงกระทำมิตรธรรมไว้ ท่าน แสดงความหมายว่า เหตุนั้น คนเหล่านี้แม้ทั้งหมด ควรทำให้ เป็นมิตรไว้ทั้งนั้น. ถามว่า เพราะอะไร ? ตอบว่า เพราะมิตรเหล่านั้นเมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึง ทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ขยายความว่า ก็เพราะคนเหล่านี้ ทั้งหมด เมื่อความพิบัติเกิดขึ้นแก่สหายแล้ว ก็ช่วยแบ่งเบาภาระ ที่มาถึงตน กระทำประโยชน์อย่างสูงให้ได้ คือช่วยปลดเปลื้อง สหายนั้นจากทุกข์กาย ทุกข์ใจได้ เพราะเหตุนั้น มิตรแม้จะ ต่ำต้อยกว่า ก็ควรคบไว้ทีเดียว จะป่วยกล่าวไปใยถึงมิตรนอกนี้ ในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นข้ออุปมาเหมือนข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่ ไม้รุจา และเทวดาเกิดที่กอหญ้าคา มีศักดาน้อย ต่างกระทำ ความสนิทสนมฉันมิตรกันไว้ ถึงในเราสองคนนั้น ข้าพเจ้าแม้ จะมีศักดามาก ก็ไม่อาจบำบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้ เพราะเป็น คนเขลา ไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดา น้อย ก็เป็นบัณฑิต จึงพ้นจากทุกข์ได้ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น แม้คนอื่น ๆ ประสงค์จะพ้นทุกข์ ก็ไม่จำต้องคำนึงถึงความ เสมอกัน และความวิเศษกว่ากัน พึงคบมิตรทั้งต่ำ ทั้งประณีต.
            รุจาเทวดา แสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ ดำรงอยู่ ชั่วอายุขัยแล้ว ไปตามยถากรรมพร้อมกับกุสนาฬิเทวดา.
            พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า รุจาเทวดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนกุสนาฬิเทวดา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถากุสนาฬิชาดกที่ ๑