อรรถกถากัลยาณธรรมชาดกที่ ๑
            พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง ปรารภแม่ผัวหูหนวกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำ เริ่มต้นว่า กลฺยาณธมฺโม ดังนี้.
            ความพิสดารมีอยู่ว่า ในกรุงสาวัตถีมีกุฎุมพีคนหนึ่ง เป็น คนมีศรัทธา เลื่อมใสถึงไตรสรณคมน์ ถือศีลห้า. วันหนึ่งเขาถือ เภสัชมีเนยใสเป็นต้นเป็นอันมาก กับดอกไม้ของหอม และผ้า เป็นต้น ไปด้วยคิดว่า จักฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาใน พระวิหารเชตวัน. ในเวลาที่กุฎุมพีไป ณ ที่นั้น แม่ยายเตรียม ของเคี้ยวของบริโภคประสงค์จะเยี่ยมลูกสาว ได้ไปยังเรือนนั้น. แต่แม่ยายหูค่อนข้างตึง. ครั้นนางบริโภคร่วมกับลูกสาว อิ่มหนำสำราญแล้ว จึงถามลูกสาวว่า นี่ลูก ผัวของเองอยู่ด้วย ความรักบันเทิงใจไม่ทะเลาะกันดอกหรือ. ลูกสาวพูดว่า แม่พูด อะไรอย่างนั้น คนที่เพียบพร้อมด้วยผัวและมารยาทเช่นลูกเขย ของแม่ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก. อุบาสิกาฟังคำลูกสาวไม่ถนัด ถือเอาแต่บทว่าบวชแล้วเท่านั้น จึงตะโกนขึ้นว่า อ้าวทำไมผัว ของเองจึงบวชเสียเล่า. บรรดาผู้อยู่เรือนใกล้เคียงทั้งสิ้น ได้ยิน ดังนั้นพากันพูดว่า เขาว่ากุฎุมพีของพวกเราบวชเสียแล้ว. บรรดา ผู้ที่เดินผ่านไปมาทางประตู ได้ยินเสียงของคนเหล่านั้น จึงถามว่า นั่นอะไรกัน. ชนเหล่านั้นตอบว่า เขาว่ากุฎุมพีในเรือนนี้บวช เสียแล้ว.
            ฝ่ายกุฎุมพีนั้นครั้นสดับธรรมของพระทศพลแล้ว ก็ออก จากวิหารกลับเข้าเมือง. ขณะนั้นชายคนหนึ่งพบเข้าในระหว่าง ทางจึงพูดว่า ข่าวว่าท่านบวช บุตรภรรยาบริวารในเรือนท่าน พากันร้องไห้คร่ำครวญ. ทันใดนั้นเขาได้ความคิดขึ้นมาว่า แท้จริงเรามิได้บวชเลย คน ๆนี้ว่าเราบวช เสียงดีเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ควรให้หายไป เราควรจะบวชในวันนี้แหละ เขาจึงกลับ จากที่นั้นทันทีไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อรับสั่งถามว่า อุบาสก ท่านทำพุทธุปัฏฐากเพิ่งกลับไปเดี๋ยวนี้เอง ไฉนจึงมาเดี๋ยวนี้อีก จึงเล่าเรื่องถวายแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ธรรมดาเสียงดี เกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรให้หายไปเสีย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์มี ความประสงค์จะบวชจึงได้มา. ครั้นเขาบรรพชาอุปสมบทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหัต. ได้ยินว่า เหตุการณ์ นี้ปรากฏเลื่องลือไปในคณะสงฆ์. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลายกุฎุมพีชื่อโน้น ได้เกิดความคิดขึ้นว่า เสียงดีเกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรให้หายไปแล้ว จึงบรรพชา เวลานี้บรรลุพระอรหัตแล้ว. พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไร กัน เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายแม้บัณฑิตแต่ก่อน ได้ความคิดว่า เสียงดี เกิดขึ้นแล้วไม่ควรให้เสียไป จึงพากันบวชแล้วทรงนำเรื่องใน อดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐี ครั้นเจริญ วัยแล้วก็ได้รับตำแหน่งเศรษฐี เมื่อบิดาถึงแก่กรรม. วันหนึ่ง เศรษฐีออกจากบ้าน ไปประกอบราชกรณียกิจ. ครั้งนั้น แม่ยาย ของเศรษฐีได้ไปยังเรือนนั้นด้วยคิดว่า จักเยี่ยมลูกสาว. แม่ยาย นั้นค่อนข้างหูตึงเรื่องทั้งหมดเหมือนกับเรื่องในปัจจุบัน. ชาย คนหนึ่งเห็นเศรษฐีประกอบราชกรณียกิจเสร็จแล้วกลับมาเรือน จึงพูดว่าในเรือนของท่านเกิดร้องไห้กันยกใหญ่ เพราะได้ข่าวว่า ่ท่านบวชเสียแล้ว. พระโพธิสัตว์ได้ความคิดขึ้นว่า ธรรมดาเสียงดี เกิดขึ้นแล้วไม่ควรให้หายไปเสีย จึงกลับจากนั้นไปเฝ้าพระราชา เมื่อรับสั่งถามว่า ท่านมหาเศรษฐีท่านเพิ่งไปเดี๋ยวนี้เอง ทำไม จึงกลับมาอีก จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์ มิได้บวชเลย คนในเรือนโอดครวญกันพูดว่าบวชแล้ว เสียงดี เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรให้หายไป ข้าพระองค์จักบวชละ ขอ พระราชทานอนุญาตให้ข้าพระองค์บวชเถิด เมื่อจะประกาศเนื้อ ความนี้ จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า :-
            ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชนกาลใด บุคคลได้สมัญญาในโลกว่า ผู้มีกัลยาณธรรม กาล นั้นนรชนผู้มีปัญญา ไม่พึงทำตนให้เสื่อมจาก สมัญญานั้นเสีย สัตบุรุษทั้งหลายย่อมถือไว้ซึ่งธุระ ด้วยหิริ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชนสมัญญาว่า ผู้มีกัลยาณธรรมในโลกนี้ มาถึงข้าพระพุทธเจ้า แล้วในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสมัญญาอันนั้น จึง ได้บวชเสียในคราวนี้ ความพอใจในการบริโภค ในโลกนี้ มิได้มีแก่ข้าพระองค์เลย.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณธมฺโม ได้แก่ ธรรมดี. บทว่า สมญฺญํ อนุปาปุณาติ ความว่า ถึงโวหารบัญญัตินี้ว่า มีศีล มี กัลยาณธรรม บวชแล้ว. บทว่า ตสฺมา น หิยฺเยถ ได้แก่ ไม่พึงให้ เสื่อมจากสมยานั้น. สัตบุรุษทั้งหลายย่อมยึดธุระไว้แม้ด้วยหิริ ข้าแต่มหาราชขึ้นชื่อว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมยึดธุรบรรพชา นี้ไว้ได้ด้วยหิริ อันเกิดขึ้นในภายในบ้าง ด้วยโอตตัปปะอันเกิดขึ้น ในภายนอกบ้าง. บทว่า อิธ มชฺช ปตฺตา ได้แก่ ผู้มีกัลยาณธรรม ในโลกนี้ ได้มาถึงข้าพระองค์แล้วในวันนี้. บทว่า ตาหํ สเมกฺขํ ความว่า ข้าพระองค์เพ่งดูคือเห็นสมยาอันได้แล้วด้วยคุณ. บทว่า น หิ มตฺถิ ฉนฺโท แก้เป็น น หิ เม อตฺถิ ฉนฺโท แปลว่า ข้าพระองค์ไม่มีความพอใจเลย. บทว่า อิธ กามโภเค คือ ในการ บริโภคด้วยกิเลสกาม และด้วยวัตถุกามในโลกนี้.
            พระโพธิสัตว์ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว จึงขอพระบรม- ราชานุญาตบรรพชา ไปสู่หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษียัง อภิญญาและสมาบัติให้เกิด มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุม ชาดก พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นอานนท์ในครั้งนี้. ส่วน เศรษฐีกรุงพาราณสี ในครั้งนั้น คือเราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถากัลยาณธรรมชาดกที่ ๑