พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มักหลอกลวงรูปหนึ่งตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วาจาว กิร เต อาสิ ดังนี้.
            เรื่องการหลอกลวง จักปรากฏแจ้งในอุททาลชาดก.
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ชฎิลโกงผู้หนึ่งเป็นดาบสหลอกลวง อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ตำบลหนึ่ง กุฎุมพีคนหนึ่ง ช่วยสร้างศาลาในป่าให้ดาบสนั้น ให้ดาบสอยู่ในบรรณศาลา ปรนนิบัติด้วยอาหารอันประณีต ในเรือนของตน เขาเชื่อดาบสโกงนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล นำเอาทองพันแท่งไปยังศาลาของดาบส ฝังไว้ในแผ่นดิน เพราะ กลัวโจร กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าพึงดูแล ทองนี้ด้วย.
            ครั้งนั้น ดาบสกล่าวกะเขาว่า คุณ !การพูดแบบนี้ แก่พวกที่ได้นามว่า บรรพชิตไม่สมควรเลย ขึ้นชื่อว่า ความโลภ ในสิ่งของของผู้อื่น ของพวกเราไม่มีเลย เขากล่าวว่า ดีละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ เชื่อถ้อยคำของดาบส แล้วหลีกไป
            ดาบสชั่วคิดว่า เราอาจเลี้ยงชีพด้วยทรัพย์มีประมาณเท่านี้ได้ ล่วงไปได้สองสาม วัน ก็ยักเอาทองนั้นไปไว้ ณ ที่หนึ่งระหว่างทาง ย้อนมาเข้าไป ยังบรรณศาลา พอวันรุ่งขึ้น ทำภัตกิจในเรือนของกุฎุมพีแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ พวกเราอาศัยท่านอยู่นานแล้ว ความ พัวพันกันกับพวกมนุษย์ย่อมมี ก็ธรรมดาว่า ความพัวพันเป็น มลทินของบรรพชิต เพราะฉะนั้นอาตมาจะขอลาไป แม้กุฏุมพี จะอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็ไม่ปรารถนาจะกลับ ครั้งนั้นกุฎุมพี จึงกล่าวกะดาบสว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นิมนต์ไปเถิด พระคุณเจ้าข้า ดังนี้แล้ว ตามไปส่งจนถึงประตูบ้านแล้วจึงกลับ
            ดาบสเดิน ไปได้หน่อยหนึ่ง คิดว่า เราควรจะลวงกุฎุมพีนี้ ก็เอาหญ้าวางไว้ ระหว่างชฎา ย้อนกลับไป กุฏุมพีถามว่าพระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้ากลับมาทำไม ขอรับ ? ตอบว่า ผู้มีอายุ หญ้าเส้น หนึ่ง เกี่ยวชฎาของฉันไป จากชายคาเรือนของพวกท่าน ขึ้น ชื่อว่า อทินนาทาน ไม่สมควรแก่บรรพชิต อาตมาจึงรีบนำมัน กลับมา กุฎุมพีกล่าวว่า จงทิ้งมันเสีย แล้วนิมนต์ไปเถิดครับ เลื่อมใสว่า พระดาบสไม่ถือเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่น ซึ่งแม้เพียง เส้นหญ้า โอ พระคุณเจ้าของเรา เคร่งครัดจริง ดังนี้กราบแล้ว ส่งพระดาบสไป.
            ก็ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ ไปยังชนบทชายแดนเพื่อต้องการ สิ่งของ อาศัยพักแรมในบ้านกุฎุมพีท่านฟังคำของดาบสแล้ว คิดว่า ดาบสร้ายผู้นี้ จักต้องถือเอาอะไร ๆ ของกุฎุมพีนี้ไป เป็นแน่ จึงถามกุฎุมพีว่า ดูก่อนสหาย ท่านได้ฝากฝังอะไร ๆ ไว้ในสำนักของดาบสนั้น มีหรือไม่ ?
            กุฎุมพีตอบว่า มีอยู่สหาย เราฝากฝังทองไว้ ๑๐๐ แท่ง.
            พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรีบไปตรวจตราดูทองนั้นเถิด
            เขาไปบรรณศาลาไม่เห็น ทองนั้น รีบกลับมาบอกว่า ทองไม่มี สหาย.
            พระโพธิสัตว์บอกว่า ทองของท่านผู้อื่นไม่ได้เอาไปดอก ดาบสร้ายนั้นคนเดียวเอาไป มาเถิด เรามาช่วยกันติดตามจับดาบสนั้น
            แล้วรีบตามไป จับ ดาบสโกงได้ ทุบบ้าง เตะบ้าง ให้นำเอาทองมาคืน แล้วจับไว้.
            พระโพธิสัตว์เห็นทองแล้วกล่าวว่า ดาบสนี่ขโมยทอง ๑๐๐ แท่ง ยังไม่ข้องใจ ไพล่มาข้องใจในเรื่องเพียงเส้นหญ้า เมื่อจะติเตียน ดาบสนั้น กล่าวคาถานี้ ความว่า :-
            "น้อยหรือถ้อยคำของเจ้า ช่างสละสลวย พูดจาน่านับถือจริง ๆ เจ้าข้องใจในวัตถุเพียง เส้นหญ้า แต่เมื่อขโมยทองร้อยแท่งไป ไม่ข้องใจ เลยนะ" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาจาว กิร เต อาสิ สณฺหา สขิลภาณิโน ความว่า เมื่อท่านกล่าวคำอ่อนหวานน่านับถืออยู่ อย่างนี้ว่า การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แม้เพียงเส้นหญ้า ก็ไม่ควรแก่พวกบรรพชิต ดังนี้ ถ้อยคำของท่านนั้นอ่อนหวาน น้อยอยู่เมื่อไร อธิบายว่า คำพูดของท่านนั้นเกลี้ยงเกลาแท้ ๆ. บทว่า ติณมตฺเต อสชฺชิตฺโถ ความว่า ดูก่อนชฎิลโกง ท่านทำความรำคาญ (เคร่ง) ในเส้นหญ้าเส้นเดียว ดูติดใจ ข้องใจเกาะเกี่ยวเสียจริง ๆ แต่เมื่อท่านขโมยทอง ๑๐๐ แท่งนี้ ช่างไม่ ติดใจช่างหมดข้อข้องใจเลยทีเดียว.
            พระโพธิสัตว์ ครั้นติเตียนดาบสนั้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ให้โอวาทแก่ดาบสว่า ดูก่อนชฎิลโกง ท่านอย่าได้ทำกรรมเห็น ปานนี้ ต่อไปอีก ดังนี้แล้ว ก็ไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้เป็นผู้หลอกลวง แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นผู้หลอกลวงแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวง ในครั้งนี้ ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถากุหกชาดกที่ ๙