พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ ภิกษุเลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ยนฺนุ คิชฺโฌ โยชนสตํ ดังนี้.
            เรื่องจักมีแจ้งในสามชาดก
            พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุได้ยินว่า เธอเลี้ยงคฤหัสถ์จริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า คฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นใคร กราบทูลว่า มารดาบิดา ของข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า ทรงให้สาธุการว่า ดีแล้ว ดีแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธออย่าตำหนิโทษภิกษุนี้เลย แม้ โบราณบัณฑิตทั้งหลายก็ได้ทำอุปการะแก่ผู้มิใช่ญาติด้วยอำนาจ บุญคุณ ส่วนมารดาบิดาของภิกษุนี้เป็นภาระแท้ แล้วทรงนำ เรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดพญาแร้ง เลี้ยงดูมารดา บิดาอยู่ที่คิชฌบรรพต. ต่อมาคราวหนึ่ง เกิดพายุฝนใหญ่. แร้ง ทั้งหลายไม่สามารถทนพายุฝนได้ จึงพากันบินหนีมากรุงพาราณสี เพราะกลัวหนาว จับสั่นอยู่ด้วยความหนาว ณ ที่ใกล้กำแพง และคูเมือง. ในเวลานั้นเศรษฐีกรุงพาราณสีออกจากเมืองจะไป อาบน้ำเห็นแร้งเหล่านั้นกำลังลำบาก จึงจัดให้มารวมกันที่กำบัง ฝนแห่งหนึ่ง ก่อไฟให้ผิง แล้วส่งไปยังป่าช้าโค หาเนื้อโคมาให้ พวกแร้งแล้วจัดการอารักขา. ครั้นพายุฝนสงบแร้งทั้งหลายก็ มีร่างกายกระปรี้กระเปร่า พากันบินกลับสู่ภูเขาตามเดิม. พวกแร้ง จับกลุ่มปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า เศรษฐีกรุงพาราณสี ได้ช่วยเหลือ พวกเรามา ควรตอบแทนผู้ที่ช่วยเหลือเรา เพราะฉะนั้นตั้งแต่ นี้ไป บรรดาพวกท่านผู้ใดได้ผ้าหรือเครื่องอาภรณ์ชนิดใด ผู้นั้น พึงคาบสิ่งนั้นให้ตกลงกลางเวหาใกล้เรือนของเศรษฐีกรุงพาราณสี. ตั้งแต่นั้นมาแร้งทั้งหลายคอยดูความเผลอเรอของพวกมนุษย์ที่ ตากผ้าและเครื่องอาภรณ์ไว้กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉี่ยวไป ฉับพลันเหมือนเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อ ทิ้งตกลงกลางอากาศใกล้ เรือนของเศรษฐีกรุงพาราณสี. เศรษฐีรู้ว่าเป็นเครื่องอาภรณ์ ของแร้ง จึงให้เก็บอาภรณ์ทั้งหมดนั้นไว้เป็นส่วน ๆ.
            มหาชนพากันไปกราบทูลพระราชาว่า แร้งทั้งหลายปล้น เมือง. พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจับแร้งได้แม้ตัวเดียวเท่านั้น ก็จะได้ของคืนทั้งหมด แล้วให้วางบ่วงและข่ายดักไว้ในที่นั้น ๆ. แร้งตัวที่เลี้ยงมารดาก็ติดบ่วง. ชนทั้งหลายก็จับแร้งนั้นนำไป ด้วยคิดว่าจักถวายพระราชา. เศรษฐีกรุงพาราณสีกำลังเดิน ไปเฝ้าพระราชา ครั้นเห็นมนุษย์พวกนั้นจับแร้งเดินไป จึงได้ ไปพร้อมกับเขาด้วยคิดว่า จักไม่ให้ผู้ใดรังแกแร้งตัวนี้. ชน ทั้งหลายก็ถวายแร้งแด่พระราชา. พระราชาจึงตรัสถามว่า พวก เจ้าปล้นเมืองคาบผ้าเป็นต้นไปหรือ. พญาแร้งกราบทูลว่า ข้าแต่ มหาราช จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า พวกเจ้าเอาไปให้แก่ใคร. กราบทูลว่า ให้แก่เศรษฐีกรุงพาราณสีพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร. กราบทูลว่า เพราะเศรษฐีนั้นได้ให้ชีวิตแก่พวก ข้าพระองค์ การทำอุปการะตอบแก่ผู้มีอุปการะย่อมสมควร อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น พวกข้าพระองค์จึงให้ไป. พระราชา รับสั่งกะพญาแร้งว่า ได้ยินว่า แร้งทั้งหลายอยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ ย่อมเห็นซากศพ เพราะเหตุไร เจ้าจึงไม่เห็นบ่วงที่เขาดักจับตัว แล้วตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
            เขากล่าวกันว่าแร้งย่อมเห็นซากศพได้ ถึงร้อยโยชน์ เหตุไรเจ้ามาถึงข่ายและบ่วงจึง ไม่รู้สึก.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า นุ เป็นนามัตถนิบาต. อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าแร้งย่อมมองเห็นซากศพ ซึ่งตั้งอยู่เกินร้อยโยชน์. บทว่า อาสชฺชาปิ แปลว่า เข้าใกล้ คือ มาถึง. พระราชาตรัสถามว่า เจ้าแม้มาถึงข่ายและบ่วงที่ เขาดักไว้จับตัว เพราะเหตุไร จึงไม่รู้สึกเล่า.
            พญาแร้งสดับพระราชดำรัสแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
            ความเสื่อมจะมีในเวลาใด สัตว์ใกล้จะ สิ้นชีวิตในเวลาใด ในเวลานั้นถึงจะมาใกล้ข่าย และบ่วง ก็รู้ไม่ได้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปราภโว คือ ความพินาศ. บทว่า โปโส คือสัตว์.
            พระราชาครั้นทรงสดับคำของแร้งแล้ว จึงตรัสถาม เศรษฐีว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี แร้งทั้งหลายนำผ้าเป็นต้นมาที่ เรือนของท่านจริงหรือ. กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถาม ว่า ผ้าเป็นต้นเหล่านั้นอยู่ที่ไหน. กราบทูลว่า ขอเดชะข้าพระ- พุทธเจ้าจัดผ้าเหล่านั้นไว้เป็นส่วน ๆ ข้าพระพุทธเจ้าจะให้แก่ ผู้ที่เป็นเจ้าของ ขอพระองค์ได้โปรดทรงปล่อยแร้งตัวนี้เถิด พระเจ้าข้า. มหาเศรษฐีกราบทูลให้ปล่อยพญาแร้ง แล้วคืน สิ่งของให้แก่ทุกคน.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ อริยสัจ ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นอานนท์ใน บัดนี้. เศรษฐีกรุงพาราณสีได้เป็นสารีบุตร. ส่วนแร้งเลี้ยง มารดา คือเราตถาคตนี้แล
            จบ อรรถกถาคิชฌชาดกที่ ๔