พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ ภิกษุคบพวกผิดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทูสิโต คิริทตฺเตน ดังนี้. เรื่องราวกล่าวไว้แล้วในมหิลามุขชาดก ในหนหลัง.
            แต่ในเรื่องนี้พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ นี้คบพวกผิดมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนภิกษุนี้ก็คบพวกผิด เหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าสามะ ครองราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล อำมาตย์ ครั้นเจริญวัยก็ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระ- ราชา. ก็พระราชามีม้ามงคลตัวหนึ่งชื่อ ปัณฑวะ. คนเลี้ยงม้า ของพระองค์ชื่อ คิริทัต. เขามีขาพิการ. ม้าเห็นนายคิริทัตถือ บังเหียนเดินไปข้างหน้า สำคัญว่าคนนี้สอนเราจึงเรียนตามเขา กลายเป็นม้าขาพิการไป. นายคิริทัตจึงกราบทูลถึงความพิการ ของม้าให้พระราชาทรงทราบ. พระราชาจึงทรงส่งแพทย์ไป ตรวจอาการ. พวกแพทย์ไปตรวจดูก็ไม่เห็นโรคในตัวม้า จึง กราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่พบโรคของม้า พระเจ้าข้า. พระราชาจึงทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปว่า ท่านจงไปดู เหตุการณ์ของม้าในร่างกายนี้. พระโพธิสัตว์ไปตรวจดูก็รู้ว่า ม้านั้นพิการเพราะเกี่ยวกับคนเลี้ยงม้าขาพิการ จึงกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระราชา เมื่อจะแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ เพราะ โทษที่เกี่ยวข้องกัน จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
            ม้าชื่อปัณฑวะของพระเจ้าสามะถูกคน เลี้ยงชื่อคิริทัตประทุษร้าย จึงละปกติเดิมของตน ศึกษาเอาอย่างคนเลี้ยงม้านั่นเอง.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า หโย สามสฺส ได้แก่ ม้ามงคลของ พระเจ้าสามะ. บทว่า โปราณปกตึ หิตฺวา ได้แก่ละปกติเดิมอัน เป็นสมบัติของตนเสีย. บทว่า ตสฺเสว อนุวิธิยฺยติ ได้แก่ศึกษา เอาอย่าง.
            ลำดับนั้นพระราชาจึงรับสั่งถาม บัดนี้จะควรทำอย่างไร แก่ม้านั้น. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ได้คนเลี้ยงม้าที่ดีแล้วจัก เป็นเหมือนเดิมพระพุทธเจ้าข้า แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-
            ถ้าบุรุษผู้บริบูรณ์ด้วยอาการอันงดงาม สมควรแก่ม้านั้น ตกแต่งร่างกายงดงาม จับจูง ม้านั้นที่บังเหียนพาเวียนไปรอบ ๆ สนามม้า ไม่ช้าเท่าไรม้าก็จะละความเป็นกระจอกเสีย ศึกษาเอาอย่างบุรุษนั้นทีเดียว.
            ในบทเหล่านั้น บทว่า ตนุโช ได้แก่ เป็นผู้บังเกิดตาม คือ สมควรแก่ม้านั้น. บุรุษใดสมควรแก่ม้านั้น บุรุษนั้นชื่อว่าเป็น ตัวอย่างของม้านั้น. ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า ข้าแต่มหาราช หาก มีบุรุษผู้สมควรแก่ม้าอันถึงพร้อมด้วยมารยาทอันน่ารักนั้น ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยมารยาทอันน่ารัก. บทว่า สิงฺคาราการกปฺปิโต ความว่า บุรุษนั้นตกแต่งผมและหนวดด้วยอาการอันน่ารัก คือ งดงาม จะพึงจับม้านั้นที่บังเหียนจูงเดินเวียนไปในบริเวณของม้า ้ม้านี้จักละความพิการนี้เสียทันที จะเอาอย่าง คือสำเหนียกคน เลี้ยงม้า คือจักตั้งอยู่ในความเป็นปกติโดยสำคัญว่า คนเลี้ยง ม้าผู้น่ารักถึงพร้อมด้วยมารยาทนี้ให้เราเอาอย่าง.
            พระราชารับสั่งให้ทำอย่างนั้น. ม้าก็ตั้งอยู่ในความปกติ. พระราชาทรงโปรดปรานว่า ท่านผู้นี้รู้อัธยาศัยแม้กระทั่งสัตว์- เดียรัจฉาน จึงได้พระราชทานยศแก่พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดก. คิริทัตในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ม้าได้เป็นภิกษุ ผู้คบพวกผิด พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือ เราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาคิริทัตตชาดกที่ ๔