พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุว่ายาก รูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อฏฺ€ขุรํ ขราทิเย ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุนั้นว่ายากไม่รับโอวาท ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัส ถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอว่ายากไม่รับโอวาทจริงหรือ ? ภิกษุ นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า แม้ในกาลก่อนเธอก็ไม่รับโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย เพราะความเป็นผู้ว่ายาก จึงติดบ่วงถึงความสิ้นชีวิต แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นมฤคแวดล้อมด้วยหมู่เนื้ออยู่ในป่า ลำดับนั้น เนื้อ ผู้เป็นน้องสาวมฤคนั้นแสดงบุตรน้อยแล้วให้รับเอาด้วยคำพูดว่า ข้าแต่พี่ชาย นี้เป็นหลานของพี่ พี่จงให้เรียนมายาเนื้ออย่างหนึ่ง มฤคนั้นกล่าวกะหลานนั้น ว่า ในเวลาชื่อโน้น เจ้าจงมาเรียนเอา เนื้อผู้หลานไม่มาตามเวลาที่พูดไว้ เมื่อล่วงไป ๗ วันเหมือนดังวันเดียว เนื้อผู้เป็นหลานนั้นไม่ได้เรียนมายาของเนื้อ ท่องเที่ยวไป จึงติดบ่วง ฝ่ายมารดาของเนื้อนั้นเข้าไปหามฤคผู้พี่ชายแล้วถามว่า ข้าแต่พี่ พี่ให้หลานเรียนมายาของเนื้อแล้วหรือ ? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เจ้า อย่าคิดเสียใจต่อบุตรผู้ไม่รับโอวาทสั่งสอนนั้น บุตรของเจ้าไม่เรียนเอา มายาของเนื้อเอง เป็นผู้ไม่มีความประสงค์จะโอวาทเนื้อนั้นเลย ในบัดนี้ จึง กล่าวคาถานี้ว่า ดูก่อนนางเนื้อขราทิยา ฉันไม่สามารถจะสั่งสอน เนื้อตัวนั้น ผู้มี ๘ กีบ มีเขาคดแต่โคนเขาจนถึงปลาย เขา ผู้ล่วงเลยโอวาทเสียตั้ง ๗ วันได้.

บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า อฏฺ€ขุรํ ได้แก่ มีกีบ ๘ กีบ โดยเท้าข้าง หนึ่ง ๆ มี ๒ กีบ พระโพธิสัตว์เรียกนางเนื้อนั้นโดยชื่อว่า ขราทิยา บทว่า มิคํ เป็นคำรวมถือเอาเนื้อทุกชนิด. บทว่า วงฺกาติวงฺกินํ ได้แก่ คดยิ่งกว่า คด คือ คดตั้งแต่ที่โคนเขา คดมากขึ้นไปถึงปลายเขา ชื่อว่าผู้มีเขาคดแต่โคน จนถึงปลายเขา เพราะเนื้อนั้นมีเขาเป็นเช่นนั้น. จึงชื่อว่าเขาคดแต่โคนจนถึง ปลายเขา คือ มีเขาคดแต่โคนเขา จนถึงปลายเขานั้น . บทว่า สตฺตกาเลห ติกฺกนฺตํ ได้แก่ ผู้ล่วงเลยโอวาท โดยเวลาเป็นที่ให้โอวาท ๗ วัน. ด้วยบทว่า น นํ โอวทิตุสฺสเห นี้ ท่านแสดงว่า เราไม่อาจให้โอวาทเนื้อผู้ว่ายากนี้ แม้ความคิดเพื่อจะโอวาทเนื้อนี้ ก็ไม่เกิดขึ้นแก่เรา.

ครั้งนั้น นายพรานฆ่าเนื้อที่ว่ายากตัวนั้นซึ่งติดบ่วง ถือเอาแต่เนื้อ แล้วหลีกไป.

ฝ่ายพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอเป็นผู้ว่ายากแต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้ว่ายากเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระเทศนานี้มา สืบต่ออนุสนธิกันแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า เนื้อผู้เป็นหลานในกาลนั้น ได้ เป็นภิกษุผู้ว่ายากในบัดนี้ แม่เนื้อผู้เป็นน้องสาวในกาลนั้น ได้เป็น พระอุบลวรรณา ในบัดนี้ ส่วนเนื้อผู้ให้โอวาทในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคตแล.

จบ ขราทิยชาดกที่ ๕

กลับที่เดิม