พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการประพฤติประโยชน์แก่พระประยูรญาติ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นิจฺจํ อุพฺพิคฺคหทยา ดังนี้.
            เรื่องในปัจจุบัน จักมีปรากฏในภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต. ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกา
            อยู่มา วันหนึ่ง ปุโรหิตของพระราชา อาบน้ำในแม่น้ำนอกพระนคร ประแป้ง แต่งกายประดับดอกไม้ นุ่งผ้าสมศักดิ์ศรี กำลังเดิน เข้าพระนคร ที่ยอดเสาค่ายใกล้ประตูพระนคร กาสองตัวกำลัง จับอยู่ ในสองตัวนั้น
            กาตัวหนึ่ง พูดกับอีกตัวหนึ่งว่า สหาย เรา จักขี้รดหัวพราหมณ์นี้
            อีกตัวหนึ่งค้านว่า เจ้าอย่านึกสนุกอย่างนั้น เลย พราหมณ์นี้เป็นคนใหญ่คนโต ขึ้นชื่อว่าการก่อเวรกับ อิสสรชน ละก็ร้ายนัก เพราะแกโกรธขึ้นมาแล้วพึงทำกาแม้ ทั้งหมดให้ฉิบหายได้
            กาตัวนั้นพูดว่า เราไม่อาจยับยั้งเปลี่ยนใจ ได้เสียแล้ว
            อีกตัวหนึ่งกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจักได้รู้ดอก แล้วบินหนีไป
            กาตัวหนึ่ง เวลาพราหมณ์ลอดส่วนล่างแห่งเสาค่าย ก็ทำเป็นย่อตัวลงขี้รดหัวพราหมณ์นั้น พราหมณ์โกรธ ผูกเวร ในฝูงกา.
            ครั้งนั้น หญิงทาสีรับจ้างซ้อมข้าวคนหนึ่ง เอาข้าวเปลือก ผึ่งแดดไว้ที่ประตูเรือน นั่งคอยเฝ้าอยู่นั่นแล หลับไป แพะขนยาว ตัวหนึ่งรู้ว่าหญิงนั้นประมาท มากินข้าวเปลือกเสีย นางตื่นขึ้น เห็นมันก็ไล่ไป แพะแอบมากินข้าวเปลือกในเวลาที่นางหลับ อย่างนั้นนั่นแหละ สองสามครั้ง แม้นางก็ไล่มันไป ทั้งสามครั้ง แล้วคิดว่า เมื่อมันกินบ่อยครั้ง จักกินข้าวเปลือกไปตั้งครึ่งจำนวน เราต้องเข้าเนื้อไปมากมาย คราวนี้ต้องทำไม่ให้มันมาได้อีก
            นางจึงถือไต้นั่งทำเป็นหลับ เมื่อแพะเข้ามากินข้าวเปลือก ก็ลุก ขึ้นขว้างแพะด้วยไต้ ขนแพะก็ติดไฟ เมื่อร่างกายถูกไฟไหม ้มันคิดจักให้ไฟดับ จึงวิ่งไปโดยเร็วเอาตัวสีที่กระท่อมหญ้า แห่งหนึ่งใกล้โรงช้าง กระท่อมนั้นก็ลุกโพลงไป เปลวไฟที่เกิด จากกระท่อมนั้น ลามไปติดโรงช้าง เมื่อโรงช้างไหม้ หลังช้าง ก็พลอยไหม้ไปด้วย ช้างจำนวนมาก ต่างมีตัวเป็นแผลไปตาม ๆ กัน พวกหมอไม่สามารถจะรักษาให้หายได้ พากันกราบทูลพระราชา
            พระราชาจึงตรัสกับปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์ หมอช้างหมด ฝีมือที่ จะรักษาฝูงช้าง ท่านพอจะรู้จักยาอะไร ๆ บ้างหรือ ?
            ปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทราบเกล้าฯ อยู่พระเจ้าข้า รับสั่งถามว่า
            ได้อะไรถึงจะควร ?
            กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ต้องได้น้ำมันกาพระเจ้าข้า
            รับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงสั่ง ให้คนฆ่ามา เอาน้ำมันมาเถิด
            จำเดิมแต่นั้น คนทั้งหลาย ก็พากัน ฆ่ากา ไม่ได้น้ำมัน ก็ทิ้งสุมไว้เป็นกอง ๆ ในที่นั้น ๆ ภัยอย่าง ใหญ่หลวงเกิดแก่ฝูงกาแล้ว. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ มีฝูงกาแปดหมื่นเป็นบริวาร อาศัย อยู่ในป่าช้าใหญ่ มีกาตัวหนึ่งมาบอกแก่พระโพธิสัตว์ ถึงภัย ที่เกิดแก่ฝูงกา พระโพธิสัตว์ดำริว่า ยกเว้นเราเสียแล้ว ผู้อื่น ที่จะสามารถบำบัดภัยที่กำลังเกิดขึ้นแก่หมู่ญาติของเราได้ไม่ม ีเลย เราต้องบำบัดภัยนั้น
            แล้วรำลึกถึงบารมี ๑๐ ประการ กระทำเมตตาบารมีให้เป็นเบื้องหน้า บินรวดเดียวเท่านั้น เข้าไป ในช่องพระแกลใหญ่ที่เปิดไว้ เข้าไปซุกอยู่ภายใต้พระราชอาสน์
            ครั้งนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่ง ทำท่าจะจับพระโพธิสัตว์ พระราชา ตรัสห้ามว่า มันเข้ามาหาที่พึ่ง อย่าจับมันเลย
            พระมหาสัตว์พัก หน่อยหนึ่ง แล้วรำลึกถึงพระบารมี ออกจากใต้อาสนะ กราบทูล พระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ธรรมดาพระราชา ต้องไม่ ลุอำนาจอคติ มีฉันทาคติเป็นต้นจึงจะชอบ กรรมใด ๆ ที่จะต้อง กระทำ กรรมนั้น ๆ ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วกระทำ จึง จะชอบ อนึ่ง กรรมใดที่จะกระทำ ต้องได้ผล กรรมนั้น เท่านั้นจึงจะควรกระทำ นอกนี้ไม่ควรกระทำ ก็ถ้าพระราชาทั้งหลาย มาทรงกระทำกรรมที่ทำไปไม่สำเร็จผลเลยอยู่ไซร้ มหาภัย มีมรณภัยเป็นที่สุด ย่อมบังเกิดแก่มหาชน ปุโรหิตตกอยู่ใน อำนาจของการจองเวร ได้กราบทูลเท็จ ขึ้นชื่อว่า มันเหลวของ ฝูงกาไม่มีเลย
            พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว มีพระทัยเลื่อมใส ให้พระโพธิสัตว์เกาะบนตั่งอันแพรวพราวด้วยทองคำ ให้คน ทาช่วงปีกด้วยน้ำมันที่หุงแล้วได้แสนครั้ง ให้บริโภคอาหารที่สะอาด สมควรเป็นพระกระยาหาร ให้ดื่มน้ำ พอพระมหาสัตว์สบาย หายความเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงได้ตรัสคำนี้ว่า พ่อบัณฑิต เธอ กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกา ไม่มี ด้วยเหตุไรเล่า มันเหลว ของฝูงกาจึงไม่มี
            พระโพธิสัตว์เมื่อจะกราบทูลชี้แจงว่า ด้วยเหตุนี้ ๆ พระเจ้าข้า กระทำพระราชวังทั้งสิ้นให้เป็นเสียงเดียวกัน แสดง ธรรม กล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ฝูงกามีใจหวาดสะดุ้งเป็นนิตย์ ชอบ เบียดเบียนชาวโลกทั้งมวล เหตุนั้น มันเหลว ของฝูงกาผู้เป็นญาติของข้าพระองค์เหล่านั้น จึงไม่มี" ดังนี้.
            ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ :- ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดาฝูงกามีใจสะดุ้ง คือคอยแต่หวาดกลัวอยู่เป็นนิจทีเดียว. บทว่า สพฺพโลกวิเหสกา ความว่า กาทั้งหลายชอบเที่ยว เบียดเบียน ข่มเหง มนุษย์ที่เป็นใหญ่ มีกษัตริย์เป็นต้นบ้าง หญิงชายทั่วไปบ้าง เด็กชายเด็กหญิงเป็นต้นบ้าง เหตุนั้น คือ ด้วยเหตุสองประการนี้ ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกาผู้เป็นญาต ิของข้าพระองค์เหล่านั้นจึงไม่มี แม้ในอดีตก็ไม่เคยมี แม้ใน อนาคต ก็จักไม่มี.
            พระโพธิสัตว์ เปิดเผยเหตุนี้ด้วยประการฉะนี้ แล้วทูลเตือน พระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดาพระราชามิได้ทรง พิจารณาใคร่ครวญแล้ว ไม่พึงปฏิบัติพระราชกิจ
            พระราชาทรง พอพระทัย บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ พระโพธิสัตว์ ถวายราชสมบัติคืนแด่พระราชาดังเดิม ให้พระราชาดำรงอยู่ ในเบ็ญจศีล ทูลขอพระราชทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวง พระราชา ทรงสดับธรรมเทศนาแล้ว โปรดพระราชทานอภัยแก่สรรพสัตว์ ทรงตั้ง นิพัทธทาน (ทานที่ให้ประจำ) แก่ฝูงกา ให้หุงข้าว ประมาณวันละหนึ่งถัง คลุกด้วยของที่มีรสเลิศต่าง ๆ พระราชทาน แก่กาทุก ๆ วัน ส่วนพระมหาสัตว์ ได้รับพระราชทานพระ กระยาหารทีเดียว.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้นได้มาเป็นอานนท์ ส่วน พระยากา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถากากชาดกที่ ๑๐