พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภกุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาโรคฺยมิจฺเฉ ปรมญฺจ ลาภํ ดังนี้.
            มีเรื่องย่อ ๆ ว่า ในพระนครสาวัตถี บุตรของท่านเศรษฐี ผู้มีสมบัติมากคนหนึ่ง เกิดมาได้ ๗ ขวบ เป็นผู้มีปัญญาฉลาด ในประโยชน์. วันหนึ่งเขาเข้าไปหาท่านบิดา ถามถึงเรื่องที่ชื่อว่า ปัญหาอันเป็นประตูแห่งประโยชน์ ท่านเศรษฐีผู้บิดาไม่ทราบ ปัญหานั้น จึงได้เกิดปริวิตกว่า ปัญหานี้สุขุมยิ่งนักเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้ว ผู้อื่นในโลกสันนิวาส ที่กำหนดด้วยภวัคคพรหม เป็นส่วนสุดเบื้องบน และด้วยอเวจี เป็นส่วนสุดเบื้องต่ำ ที่ชื่อว่า สามารถเพื่อจะแก้ปัญหานี้ได้ ไม่มีเลย.
            ท่านจึงพาบุตรให้ถือ ดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นอันมาก ไปสู่พระเชตวันวิหาร บูชาพระศาสดาแล้วถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูล ความข้อนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เด็ก นี้มีปัญญาฉลาดในประโยชน์ ถามปัญหาประตูแห่งประโยชน์กะ ข้าพระองค์ข้าพระองค์ไม่ทราบปัญหานั้น จึงมาสู่สำนักของ พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตัวข้าพระองค์ขอโอกาส ขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดกล่าวแก้ปัญหานั้นเถิด พระเจ้าข้า.
            พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก แม้ในกาลก่อน เราก็ถูกเด็กน ี้ถามปัญหานั้นแล้ว และเราก็กล่าวแก้ปัญหานั้นกะเขาแล้ว ใน ครั้งนั้นเด็กนี้รู้ปัญหานั้น แต่บัดนี้เขากำหนดไม่ได้ เพราะถือ ความสิ้นไปแห่งภพ (ติดต่อกัน) ท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเศรษฐีมีสมบัต ิมาก ครั้งนั้นบุตรของท่านเกิดมาได้ ๗ ขวบ เป็นผู้มีปัญญา ฉลาดในประโยชน์ วันหนึ่งเข้าไปหาบิดา ถามปัญหาเรื่องประตู ประโยชน์ว่า ข้าแต่ท่านบิดา อะไรชื่อว่าประตูแห่งประโยชน์
            ครั้งนั้นบิดาของเขา เมื่อจะกล่าวแก้ปัญหานั้น กล่าวคาถานี้ ความว่า "บุคคลควรปรารถนาลาภอย่างยิ่ง คือ ความไม่มีโรค ๑ ศีล ๑ ความคล้อยตามผู้รู้ ๑ การสดับตรับฟัง ๑ ความประพฤติตามธรรม ๑ ความไม่ท้อถอย ๑ คุณธรรม ๖ ประการนี้ เป็น ประตูด่านแรกแห่งประโยชน์" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น จ อักษรในบทว่า อาโรคฺยมิจฺเฉ ปรมญฺจ ลาภํ เป็นเพียงนิบาต. พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงความนี้ ว่า พ่อคุณ ก่อนอื่นทีเดียว พึงปรารถนาลาภยอดเยี่ยม กล่าวคือ ความไม่มีโรค จึงกล่าวอย่างนี้. ที่ชื่อว่าความเป็นผู้ไม่มีโรค ในบาทคาถาว่า อาโรคฺยมิจฺเฉ ปรมญฺจ ลาภํ เป็นเพียงนิบาต. ได้แก่อาการที่ไม่มีสภาวะเสียดแทง ไม่มี อาการกระวนกระวายแห่งร่างกาย และจิตใจ. เพราะว่าเมื่อ ร่างกายยังถูกเสียดแทง กระวนกระวายอยู่ บุคคลย่อมไม่สามารถ จะยังลาภที่ยังไม่ได้ให้เกิดขึ้น ที่ได้ไว้แล้วก็ไม่อาจที่จะใช้สอย แต่เมื่อไม่กระวนกระวาย ย่อมสามารถบันดาลให้เกิดได้ทั้งสอง สถาน อนึ่ง เมื่อจิตใจเดือดร้อนเพราะอุปกิเลสอยู่ คนก็ไม่อาจ เหมือนกับที่จะก่อลาภ คือคุณพิเศษ มีฌานเป็นต้น ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ที่ได้ไว้แล้ว ก็อาจจะชมเชยด้วยสามารถแห่งสมาบัติ อีกได้ เมื่อโรคนี้ยังมีอยู่ แม้ลาภที่ยังไม่ได้ก็เป็นอันไม่ได้ แม้ที่ได ้แล้วก็ไร้ประโยชน์ แต่เมื่อโรคนี้ไม่มี แม้ลาภที่ยังไม่ได้ ก็จะต้อง ได้แม้ที่ได้แล้วก็ย่อมอำนวยประโยชน์ เหตุนั้นความไม่มีโรค จึง ชื่อว่าเป็นลาภอย่างยิ่ง จำต้องปรารถนาความไม่มีโรคนั้น ก่อนอื่น ทั้งหมดนี้เป็นประตูเอกแห่งประโยชน์ ทั้งหมดนี้เป็นอรรถาธิบาย ในข้อนั้น บทว่า สีลญฺจ ได้แก่อาจารศีล คือระเบียบในส่วนที่เป็น มรรยาท. พระโพธิสัตว์แสดงถึงจารีตของชาวโลก ด้วยบทนี้. บทว่า พุทฺธานุมตํ ได้แก่ความคล้อยตามบัณฑิตผู้เจริญ ด้วยคุณทั้งหลาย พระโพธิสัตว์แสดงโอวาทของครูทั้งหลาย ผู้ สมบูรณ์ด้วยความรู้ ด้วยบทนี้. บทว่า สุตญฺจ คือการฟังที่อิงเหตุ พระโพธิสัตว์แสดง พาหุสัจจะ ความเป็นผู้คงแก่เรียน อันอาศัยตนในโลกนี้ ด้วยบทนี้. บทว่า ธมฺมานุวตฺตี จ ได้แก่ การคล้อยตามสุจริตธรรม มีอย่าง ๓. พระโพธิสัตว์แสดงการเว้นทุจริตธรรม แล้วประพฤติ สุจริตธรรม ด้วยบทนี้. บทว่า อลีนตา จ ได้แก่ความที่จิตไม่หดหู่ไม่ตกต่ำ. พระ- โพธิสัตว์แสดงความที่จิตเป็นสภาพประณีต และเป็นสภาพสูงยิ่ง อย่างไม่เสื่อมคลายด้วยบทนี้. บทว่า อตฺถสฺส ทฺวารา ปมุขา ฉเฬเต ความว่า ความ เจริญชื่อว่าประโยชน์(๑) ธรรมทั้ง ๖ ประการเหล่านี้ เป็นประตู ๑. ปาฐะว่า อตฺโถ นาม วุฑฺฒิสงฺขาตสฺส ฯลฯ ฉบับพม่าเป็น อตฺโถ นาม วุฑฺฒิ, วุฑฺฒิสงฺขาตสฺส - แปลตามฉบับพม่า. เป็นอุบาย คือเป็นทางบรรลุด่านแรกคือสูงสุด แห่งประโยชน์ ทั้งที่เป็นโลกิยะ ทั้งที่เป็นโลกุตตระกล่าวคือความเจริญ.
            พระโพธิสัตว์กล่าวแก้ปัญหาประตูแห่งประโยชน์แก่บุตร ด้วยประการฉะนี้. ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ประพฤติในธรรม ๖ ประการ นั้น. พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ประชุมชาดก ว่า บุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นบุตรคนปัจจุบัน ส่วนมหาเศรษฐ ีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอัตถัสสทวารชาดกที่ ๔