พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภหญิงชาวชนบทคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเ ริ่มต้นว่า อุจฺฉงฺเค เทฺว เม ปุตฺโต ดังนี้
            ความพิสดารว่า ในแคว้นโกศล มีคน ๓ คน ไถนาอยู่ที่ ปากดงแห่งหนึ่ง. ในสมัยนั้น พวกโจรในดง คุมพวกปล้นหมู่มนุษย์ แล้วพากันหนีไป พวกมนุษย์สืบจับโจรพวกนั้น เมื่อไม่พบ จึง ตามมาจนถึงที่นั่น กล่าวว่า พวกเจ้าเที่ยวปล้นเขาในดงแล้ว เดี๋ยวนี้แสร้งทำเป็นชาวนา จับคนเหล่านั้น ด้วยสำคัญว่า พวกนี้เป็นโจร นำมาถวายพระเจ้าโกศล.
            ครั้งนั้นมีหญิงคนหนึ่ง มา ร่ำไห้ว่า โปรดพระราชทานเครื่องนุ่งห่มแก่หม่อมฉันเถิด เดิน วนเวียนพระราชนิเวศน์ไป ๆ มา ๆ. พระราชาทรงสดับเสียง ของนางแล้ว รับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้ผ้าห่มแก่นาง. พวกราชบุรุษ พากันหยิบผ้าสาฎกส่งให้. นางเห็นผ้านั้นแล้วกล่าวว่า ดิฉันไม่ได้ ขอพระราชทานผ้านี้ดอก ดิฉันขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่มคือสามี พวกมนุษย์พากันไปกราบบังคมทูลแด่พระราชา ว่า พระเจ้าข้า นัยว่าหญิงผู้นี้มิได้พูดถึงผ้านุ่งห่มนี้ นางพูดเครื่องนุ่งห่มคือสามี.
            พระราชาจึงรับสั่งให้นางเข้าเฝ้า มีพระราชดำรัสถามว่า ได้ ยินว่าเจ้าขอผ้าคือสามีหรือ ?
            นางกราบทูลว่า พระเจ้าค่ะ พระองค์ ผู้สมมติเทพ สามีชื่อว่าเป็นผ้าห่มของสตรีโดยแท้ เพราะเมื่อ ไม่มีสามี แม้สตรีจะนุ่งผ้าราคาตั้งพันกระษาปณ์ จะต้องชื่อว่า เป็นหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง พระเจ้าค่ะ.
            ก็เพื่อจะให้เนื้อความนี้ สำเร็จประโยชน์ บัณฑิตพึงนำเรื่องมาสาธกดังนี้ว่า :- "แม่น้ำที่ไม่มีน้ำ ชื่อว่า เปลือย แว่นแคว้น ที่ปราศจากพระราชาชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจาก ผัวถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย ดังนี้".
            พระราชาทรงเลื่อมใสนาง รับสั่งถามว่า คนทั้ง ๓ เหล่านี้ เป็นอะไรกับเจ้า ?
            นางกราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ คนหนึ่ง เป็นสามี คนหนึ่งเป็นพี่ คนหนึ่ง เป็นบุตร พระเจ้าค่ะ.
            พระราชารับสั่งถามว่า เราพอใจเจ้า ในคน ๓ คนนี้ เรา จะยกให้เจ้าคนหนึ่ง เจ้าปรารถนาคนไหนเล่า ?
            นางกราบทูลว่า ขอเดชะ พระกรุณาเป็นล้นพ้น เมื่อ หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่ สามีคนหนึ่งต้องหาได้แม้บุตรก็ต้องได้ด้วย. แต่เพราะมารดาบิดาของหม่อมฉันเสียชีวิตแล้ว พี่ชาย คนเดียวหาได้ยาก พระเจ้าค่ะ จงโปรดพระราชทานพี่ชายแก่ กระหม่อมฉันเถิด พระเจ้าค่ะ.
            พระราชาทรงยินดีแล้ว โปรด ให้ปล่อยไป ทั้ง ๓ คน เพราะอาศัยหญิงนั้นผู้เดียว คนทั้ง ๓ จึง พ้นจากทุกข์ได้ ด้วยประการฉะนี้. เรื่องนั้นรู้กันทั่วในหมู่ภิกษุ.
            อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม นั่งสนทนา สรรเสริญคุณของหญิงนั้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย อาศัยหญิงคนเดียว คน ๓ คน พ้นทุกข์หมด. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่หญิงผู้นี้จะปลดเปลื้องคนทั้ง ๓ ให้พ้นจากทุกข์ ถึงแม้ในปางก่อน ก็ปลดเปลื้องแล้วเหมือนกัน ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี คนทั้ง ๓ พากันไถนาอยู่ที่ปากดง ดังนี้ ต่อนั้นไป เรื่องทั้งหมดก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นแหละ. (แต่ที่แปลกออกไป มีดังนี้) :-
            เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ในคนทั้ง ๓ เจ้าต้องการ ใครเล่า ? นางกราบทูลว่า ขอเดชะพระบารมีเป็นล้นพ้น พระองค์ ไม่สามารถจะพระราชทานหมดทั้ง ๓ คน หรือพระเจ้าค่ะ ? พระราชาตรัสว่า เออเราไม่อาจให้ได้ทั้ง ๓ คน.
            นางกราบทูล ว่าขอเดชะพระกรุณาเป็นล้นพ้น แม้นไม่ทรงสามารถพระราชทาน ได้ทั้ง ๓ คนไซร้ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพี่ชายแก่หม่อมฉัน เถิด
            เจ้าต้องการพี่ชาย เพราะเหตุไรๆ ? จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ พระบารมีล้นเกล้า ธรรมดาคนเหล่านี้หาได้ง่าย แต่พี่ชาย กระหม่อมฉันหาได้ยากพระเจ้าค่ะ แล้วกราบทูลคาถานี้ว่า :- "ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ บุตรอยู่ ในพกของเกล้ากระหม่อมฉัน สามีเล่าเมื่อเกล้า กระหม่อมฉันไปตามทาง (ก็หาได้) แต่ประเทศ ที่หม่อมฉันจะหาพี่น้องร่วมอุทรได้ เกล้ากระหม่อมฉันมองไม่เห็นเลย" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺฉงฺเค เทว เม ปุตฺโต ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ บุตรอยู่ในพกของเกล้ากระหม่อมฉัน แล้วทีเดียว โดยเปรียบความว่า เมื่อหม่อมฉันเข้าป่าทำผ้าเป็น พกไว้เก็บผักใส่ในพกนั้น ผักจึงชื่อว่า เป็นของหาง่าย เพราะ มีอยู่ในพก ฉันใด แม้หญิงก็หาบุตรได้ง่ายฉันนั้น เป็นเช่นกับผัก ในพกนั่นทีเดียว ด้วยเหตุนั้น หม่อมฉันจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพบุตรอยู่ในพกของหม่อมฉัน. ดังนี้. บทว่า ปเถ ธาวนฺติยา ปติ ความว่า ธรรมดาว่าสามี สตรีย่างขึ้นสู่หนทาง เดินไปคนเดียวประเดี๋ยวก็ได้ ชายที่พบเห็น เป็นสามีได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงกล่าวว่า "สามีเล่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันเที่ยวไปตามทาง (ก็หาได้) ดังนี้. บทว่า ตญฺจ เทสํ น ปสฺสามิ ยโต โสทริยมานเย ความว่า แต่เพราะมารดาบิดาของหม่อมฉันไม่มีเสียแล้ว เพราะฉะนั้น บัดนี้ประเทศอื่นกล่าวคือท้องของมารดา ที่หม่อมฉันจะหาพี่น้อง ซึ่งกล่าวว่าร่วมท้องกัน เพราะเกิดร่วมอุทรนั้น หม่อมฉันมอง ไม่เห็นเลย พระเจ้าค่ะ เพราะเหตุนั้นขอพระองค์ทรงพระกรุณา โปรดพระราชทานพี่ชายแก่หม่อมฉันเถิดพระเจ้าค่ะ
            พระราชาทรงพระดำริว่า นางนี้พูดจริง ดังนี้แล้วมี พระทัยยินดี แล้วโปรดให้นำคนทั้ง ๓ มาจากเรือนจำ พระราชทาน ให้นางไป. นางจึงพาคนทั้ง ๓ กลับไป.
            พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน นางก็เคยช่วยคนทั้ง ๓ นี้ให้พ้น จากทุกข์แล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า คนทั้ง ๔ ในอดีตได้มา เป็นคนทั้ง ๔ ในปัจจุบัน ส่วนพระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอุจฉังคชาดกที่ ๗