พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง ปรารภคนประทุษร้ายอุทยาน ในหมู่บ้านโกศลตำบลหนึ่ง ตรัส พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "น เว อนตฺถกุสเลน" ดังนี้. ดังได้สดับมา เมื่อพระบรมศาสดา เสด็จจาริกไปในแคว้น โกศล ทรงบรรลุถึงหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. กุฏุมพีในหมู่บ้านนั้น ผู้หนึ่ง นิมนต์พระตถาคตเจ้าให้ประทับนั่งในอุทยานของตน ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขแล้ว กราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จเที่ยวไปในสวนนี้ ตามความพอพระทัยเถิด. ภิกษุทั้งหลายก็พากันลุก ชวนนายอุทยานบาล (คนเฝ้าสวน) ไปเที่ยวอุทยาน เห็นที่โล่งเตียนแห่งหนึ่ง จึงถามนายอุทยานบาลว่า อุบาสก อุทยานนี้ ตอนอื่นมีต้นไม้ชะอุ่มร่มรื่น แต่ที่ ตรงนี้ไม่มีต้นไม้หรือกอไผ่อะไรเลย ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรหนอ ? นายอุทยานบาลตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในเวลาปลูก สร้างอุทยานนี้ มีเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง เมื่อจะรดน้ำต้นไม้ ต้อง ถอนต้นไม้ที่เพิ่งปลูกในที่ตรงนี้ ขึ้นดูรากเสียก่อนแล้วจึงรดน้ำ ตามความสั้นยาวของรากเป็นประมาณ ต้นไม้ปลูกใหม่เหล่านั้น ก็เหี่ยวแห้งตายไม่เหลือ ด้วยเหตุนั้นที่ตรงนี้จึงโล่งเตียนไป. ภิกษุ ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้น. พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กชาวบ้านคนนั้น มิใช่เพิ่งเป็นคนทำลายสวนในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็เคย เป็นคนทำลายสวนเหมือนกัน แล้วทรงน้ำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พวกชาวเมืองป่าวร้อง การเล่นนักขัตฤกษ์ใน พระนคร. จำเดิมแต่กาลที่ได้ยินเสียงกลองประโคมในนักขัตฤกษ์. ชาวพระนครทั่วถ้วนล้วนพากันเที่ยวเล่นการนักขัตฤกษ์ไปมา สนุกสนาน. ครั้งนั้น อุทยานของพระราชา มีฝูงลิงอาศัยอยู่เป็น อันมาก. คนเฝ้าสวนคิดว่า ในเมืองมีงานนักขัตฤกษ์เอิกเกริก เราบอกให้ลิงเหล่านี้มันรดน้ำต้นไม้ แล้วเราก็จักเล่นนักขัตฤกษ์ ได้ แล้วก็ไปหาวานรตัวจ่าฝูง ถามว่า แนะวานรผู้เป็นจ่าฝูง ผู้เป็นสหาย อุทยานนี้ มีอุปการะเป็นอย่างมากแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านได้พากันขบเคี้ยวดอกผล และใบอ่อนในอุทยานนี้ บัดนี้ ในพระนครกำลังมีงานนักขัตฤกษ์เอิกเกริก เราจักไปเล่นงาน นักขัตฤกษ์กับเขาบ้าง พวกท่านจงช่วยรดน้ำต้นไม้ที่กำลังปลูก ใหม่ ๆ ในสวนนี้ ตลอดเวลาที่เรายังไม่มา จักได้ไหม ? วานร จ่าฝูง รับคำว่า ดีแล้ว พวกเราจักรดน้ำให้. นายอุทยานบาลก็ กำชับว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงระมัดระวังอย่าประมาทนะ จัดหากระออมหนัง และกระออมไม้ สำหรับตักน้ำให้แก่พวก วานรแล้วก็ไป. พวกวานรพากันถือกระออมหนัง และกระออมไม้ จะไปรดน้ำต้นไม้ ครั้งนั้นวานรจ่าฝูง จึงพูดกะวานรด้วยกัน อย่างนี้ว่า วานรผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาน้ำเป็นสิ่งพึงสงวน พวกท่านจักรดน้ำต้นไม้ต้องถอนต้นไม้ขึ้น ถอนขึ้นดูราก ต้นไหน รากหยั่งลึก ต้องรดน้ำให้มาก ต้นไหนรากหยั่งลงไม่ลึก รดแต่ น้อย ภายหลังน้ำของเราจักหาได้ยาก. พวกวานรต่างรับคำว่า ดีแล้ว พากันทำตามนั้น. สมัยนั้น มีบุรุษผู้ฉลาดคนหนึ่ง เห็น พวกวานรในพระราชอุทยานเหล่านั้น พากันทำเช่นนั้น จึงกล่าว ว่า แนะวานรทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงถอนต้นไม้อ่อน ๆ ขึ้น แล้วรดน้ำตามประมาณรากอย่างนี้เล่า ? พวกวานรตอบว่า วานรผู้เป็นหัวหน้าสอนไว้อย่างนี้. บัณฑิตฟังคำนั้นแล้ว ดำริว่า อนาถหนอ ลิงโง่ ช่างไม่เฉลียวเสียเลย คิดว่าจักทำประโยชน์ กลับทำความพินาศไปเสียฉิบ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :- "การประพฤติประโยชน์ โดยผู้ไม่ฉลาด ในประโยชน์ มิได้นำความสุขมาให้เลย คนโง่ ๆ ทำประโยชน์เสื่อมเหมือนลิงเฝ้าสวน ฉะนั้น" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อนตฺถกุสเลน ความว่า ผู้ฉลาดในการอันมิใช่ ประโยชน์ คือในการอันมิใช่บ่อเกิดแห่งประโยชน์ หรือได้แก่ บุคคลผู้ไม่ฉลาดในประโยชน์ คือในเหตุอันเป็นบ่อเกิดแห่ง ประโยชน์. บทว่า อตฺถจริยา ได้แก่ การทำความเจริญ. บทว่า สุขาวหา ความว่า บุคคลผู้ไม่ฉลาดในประโยชน์ เห็นปานนี้ ไม่อาจบำเพ็ญประโยชน์ กล่าวคือความสุขทางกาย และความสุขทางใจ ได้แก่ไม่สามารถจะนำความสุขมาให้ได้. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า คนโง่ ๆ ย่อมทำประโยชน์ให้เสื่อมไป ได้แก่ คนโง่ ๆ คิดว่า เราจักบำเพ็ญประโยชน์ ก็ได้แต่ทำประโยชน์ ให้เสียไป เราย่อมทำแต่การอันหาประโยชน์มิได้ โดยส่วนเดียว เท่านั้น. บทว่า กปิ อารามิโก ยถา ความว่า ลิงที่ได้รับหน้าที่ดูแล สวน ประกอบกิจการในสวน คิดว่า เราจักทำประโยชน์ ก็ทำได้ แต่การอันหาประโยชน์มิได้เท่านั้น ฉันใด บุคคลผู้ไม่ฉลาดใน ประโยชน์ทั่ว ๆ ไป ก็ฉันนั้น ไม่อาจประพฤติประโยชน์ นำความ สุขมาให้ใครได้ ได้แต่ยังประโยชน์นั้นแหละให้เสื่อมไปเท่านั้น.

บุรุษผู้เป็นบัณฑิตนั้น ติเตียนวานรจ่าฝูงด้วยคาถานี้แล้ว ก็พา บริษัทของตนออกจากสวนไปด้วยประการฉะนี้.

แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็ก ชาวบ้านคนนี้ มิใช่จะเพิ่งประทุษร้ายสวนในบัดนี้เท่านั้น ก็หา มิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ประทุษร้ายสวนมาแล้วเหมือนกัน ครั้น ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดก ว่า วานรจ่าฝูงในครั้งนั้น มาเป็นเด็กชาวบ้าน ผู้ทำลายสวนใน บัดนี้ ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาอารามทูสกชาดกที่ ๖

กลับที่เดิม