พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกพ่อค้าผักผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี คำเริ่มต้นว่า โย ทุกฺขผุฏฺฐาย ภเวยฺย ตาณํ ดังนี้.
            ได้ยินว่า อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีนั้น ขายผักต่าง ๆ มี ฝักข้าวเป็นต้น และผักผลมีน้ำเต้า และผักเป็นต้นเลี้ยงชีวิต เขามีธิดาคนหนึ่ง รูปร่างงดงาม แจ่มใส สมบูรณ์ด้วยมรรยาท และความประพฤติ ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ เสียอย่างเดียวที่ ชอบหัวเราะหน้ารื่นอยู่เสมอ
            เมื่อสกุลที่คู่ควรพากันมาสู่ขอนาง เขาคิดว่า การสู่ขอรายนี้กำลังดำเนินไป ส่วนลูกสาวเราคนนี้ หัวเราะหน้ารื่นอยู่เป็นประจำ ก็เมื่อนางกุมารียังไม่มีสมบัติ ลูกผู้หญิง ไปสู่ตระกูลผัว ย่อมเป็นที่ครหาถึงมารดาบิดาได้ เราต้องทดลองลูกเราดูว่า มีกุมาริกาธรรมหรือยังไม่มี
            วันหนึ่ง เขาให้ธิดาถือกระเช้า ไปป่าเพื่อเก็บผักในป่า แล้วทำเป็นถูก กิเลสรัดรึงด้วยมุ่งจะทดลอง พลางกล่าวถ้อยคำเล้าโลม แล้วจับ มือนางไว้ พอนางถูกจับมือเท่านั้น ก็ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวว่า
            พ่อจ๋าเรื่องนี้ไม่สมควรเลย เป็นเช่นกับความปรากฏขึ้นแห่งไฟ จากน้ำ พ่ออย่าทำอย่างนี้เลย
            เขากล่าวว่า ลูกรัก พ่อจับมือเจ้า เพื่อจะลองดู จงบอกพ่อซิลูกว่า เดี๋ยวนี้เจ้ามีกุมาริกาธรรมแล้ว
            นางตอบว่า มีจ้ะพ่อ เพราะฉันไม่เคยมองดูผู้ชายคนไหน ด้วยคิด อยากจะได้เลย
            เขาปลอบธิดาแล้วทำการมงคล ส่งตัวไปสู่ ตระกูลผัว คิดว่า เราจักถวายบังคมพระศาสดา ถือของหอม และดอกไม้เป็นต้น ไปพระเชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา บูชาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อมีพระพุทธดำรัสว่า นานอยู่นะที่ท่านมา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
            พระศาสดาตรัสว่า อุบาสก กุมาริกาถึงพร้อมด้วยมรรยาทและ ศีลมานานแล้วเทียว อนึ่งท่านมิใช่เพิ่งจะทดลองนางอย่างนี้ใน บัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็เคยทดลองมาแล้วเหมือนกัน เขา กราบทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ในป่า เรื่องราวมีว่า ครั้งนั้นในพระนครพาราณสี มีพ่อค้า ผักคนหนึ่ง ดังนี้ต่อนี้ไป เช่นเดียวกันกับเรื่องปัจจุบันนั่นแหละ ผิด กันแต่ตอนที่นางพอถูกเขาจับมือ เพื่อลองใจ ก็ร่ำไห้กล่าวคาถานี้ว่า "ยามเมื่อฉันมีทุกข์ ท่านผู้ใดเล่าเป็นที่พึ่ง ท่านผู้นั้นคือบิดาของฉัน กำลังประทุษร้ายฉัน ในป่า ฉันจะร่ำร้องหาใครในกลางป่า ท่านผู้จะ ช่วยได้กลับทำกรรมอันสาหัสเสียเอง" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย ทุกฺขผุฏฺฐาย ภเวยฺย ตาณํ ความว่า ในยามเมื่อทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจมาพ้องพาน ท่าน ผู้ใดพึงเป็นผู้ต้านทาน คือเป็นที่พำนัก. บทว่า โส เม ปิตา ทุพฺภิ วเน กโรติ ความว่า ท่านผู้นั้น คือบิดาของฉัน คอยช่วยป้องกันต้านทุกข์ให้ กำลังกระทำกรรม อันตัดเยื่อใยไมตรี อันน่าบัดสีเช่นนี้ในป่านี้เสียเอง คือกำลังคิด เพื่อจะกระทำการล่วงเกินธิดาที่ตนให้กำเนิดเกิดมา. ด้วยบทว่า กสฺส กนฺทามิ นี้ นางแสดงความว่า ฉันจะ ร้องไห้หาใคร คือใครจักมาเป็นที่พึ่งให้ฉัน. บทว่า โย ตายิตา โส สหสา กโรติ ความว่า ท่านผู้ใดเล่า ที่จะปกป้องคุ้มครองฉัน ควรจะเป็นที่พึ่งพำนักได้ ท่านผู้นั้นคือ บิดาคนเดียว กำลังกระทำกรรมอันน่าบัดสี.
            ครั้งนั้นผู้เป็นบิดา จึงปลอบนาง แล้วถามว่า แม่คุณ เจ้า รักษาตนได้แล้วหรือ ?
            นางตอบว่าจ้ะพ่อ ฉันรักษาตนเองได้ เขาก็พานางมาเรือน ประดับตกแต่ง ทำการมงคลแล้วส่งไปสู่ สกุลผัว.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ สัจจะ เวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ทรง ประชุมชาดกว่า บิดาในครั้งนั้นได้มาเป็นบิดาในครั้งนี้ ธิดาก็ คงมาเป็นธิดา ส่วนรุกขเทวดาผู้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยประจักษ์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาปัณณิกชาดกที่ ๒