พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี คำเริ่มต้นว่า นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ ดังนี้.
            ความโดยย่อว่า ภิกษุนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส ถามว่า ดูก่อนภิกษุ เขาว่า เธอกระสันจริงหรือ ?
            กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
            ตรัสถามว่า กระสันเพราะเหตุไร ?
            กราบทูลว่า เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าข้า แล้วกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ หญิงนั้นมีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจจะพรากจากกัน ได้ พระเจ้าข้า
            ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้เป็นผู้ทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในปางก่อน เพราะหญิง นั้นเป็นเหตุ เธอก็ต้องถูกเสียบบนหลาว คร่ำครวญถึงแต่นาง เท่านั้น ครั้นตายแล้วไปบังเกิดในนรกบัดนี้ เพราะเหตุไร เธอ ยังปรารถนานางอีกเล่า ? ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีต มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอากาสัฏฐเทวดา ครั้งนั้นในพระนครพาราณสี มีมหรสพกลางคืนวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๒ ผู้คนพากันตกแต่งบ้านเมืองสวยงาม ราวกับ เทพนคร คนทั้งปวงมุ่งแต่จะเล่นมหรสพ
            แต่มีคนเข็ญใจผู้หนึ่ง มีผ้าเนื้อแน่นอยู่คู่เดียวเท่านั้น เขาเอามาซักให้สะอาด ฟาดลง เลยขาดเป็นริ้วเป็นรอยนับร้อยนับพัน
            ครั้งนั้นภรรยาพูดกะเขา ว่า นาย ฉันอยากจะนุ่งผ้าย้อมดอกคำสักผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง กอดคอท่านเที่ยวตลอดงานประจำราตรี เดือนกัตติกะ
            เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ เราเข็ญใจจะมีผ้าย้อมดอกคำได้ที่ไหน เธอจงนุ่ง ผ้าขาวเที่ยวเล่นเถิด
            นางกล่าวว่า เมื่อไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ ฉันจักไม่เล่นกีฬาในงานมหรสพละ เธอพาหญิงอื่นเล่นกีฬาเถิด
            เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ใยจึงคาดคั้นฉันนักเล่า เราจักได้ผ้า ย้อมดอกคำมาจากไหน ?
            นางกล่าวว่า เมื่อความปรารถนาของ ลูกผู้ชายมีอยู่ มีหรือจะชื่อว่าไม่สำเร็จ ดอกคำในไร่ดอกคำของ พระราชามีมากมิใช่หรือ ?
            เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ที่นั่นมีการ ป้องกันแข็งแรงเช่นเดียวกับโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง เรา ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ดอก เธออย่าชอบใจมันเลย จงยินดีตาม ที่ได้มาเท่านั้นเถิด
            นางกล่าวว่า นาย เมื่อความมืดในยามรัตติกาล มีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่ลูกผู้ชายจะไปไม่ได้ ไม่มีเลย
            เทวดา ผู้เที่ยวไปในอากาศผู้หนึ่ง เห็นภัยในอนาคตของเขา ช่วยห้าม เขาไว้. เมื่อนางพูดเซ้าซี้อยู่บ่อย ๆ อย่างนี้ เขาก็เชื่อถือถ้อยคำ ของนางด้วยอำนาจกิเลส ปลอบนางว่า นิ่งเสียเถิด นางผู้เจริญ อย่าคิดมากไปเลย
            ถึงเวลากลางคืน ก็เสี่ยงชีวิตออกจากพระนคร ไปสู่ไร่ดอกดำของหลวง ปีนรั้วเข้าไปในไร่ พวกคนเฝ้าไร่ ได้ยินเสียงรั้ว ต่างร้องว่า ขโมย ขโมย แล้วล้อมจับได้ ช่วยกันด่า รุมกันซ้อม มัดไว้ ครั้นสว่างแล้ว ก็พาไปมอบพระราชา
            พระราชา รับสั่งว่า ไปเถิดพวกเจ้าจงเอามันไปเสียบเสียที่หลาว คนเหล่านั้น มัดเขาไพล่หลัง พาออกจากเมือง โดยมีคนตีกลองประกาศโทษ ประหารตามไปด้วย แล้วเอาไปเสียบที่หลาว
            เขาเสวยเวทนาแสน สาหัส ฝูงกาพากันไปเกาะที่ศีรษะ จิกนัยน์ตาด้วยจะงอยปาก อันคมเหมือนปลายคีม เขาไม่ได้ใส่ใจทุกข์แม้จะสาหัสเพียงนั้นคิดถึงแต่หญิงนั้นถ่ายเดียว รำพึงว่า เราพลาดโอกาส จากงาน ประจำราตรีในเดือนกัตติกะ กับนางผู้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกคำ ใช้แขนทั้งคู่โอบกอดรอบคอ คลอเคลียกัน แล้วกล่าวคาถาน ี้ ความว่า :- "ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ ก็ไม่เป็นทุกข์ ที่ถูกกาจิกเล่า ก็ไม่ทุกข์ เราทุกข์อยู่แต่ว่า นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคำ เที่ยวงาน ประจำราตรีแห่งเดือนกัตติกะ" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ ยํ มํ ตุทติ วายโส มีอธิบายว่า ทุกข์ทางกายทางใจ อันมีการถูกเสียบ ที่หลาวเป็นปัจจัยนี้ก็ดี ทุกข์ที่ถูกกาจิกด้วยจะงอยปากแหลมคม ประหนึ่งทำด้วยโลหะก็ดี แม้ทั้งหมดนี้ ก็หาใช่ความทุกข์ของเรา ไม่ โน่นสิเป็นทุกข์ นั่นต่างหากเป็นทุกข์ของเรา. ทุกข์ชนิดไหนเล่า ? คือทุกข์ที่แม่นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคำ เที่ยวงานราตรีแห่งเดือนกัตติกะ อธิบายว่า ข้อที่ แม่ประยงค์ทอง ผู้เป็นภรรยาของเราคนนั้น จักไม่ได้นุ่งผ้าย้อมดอกคำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่งปกปิดร่างด้วยคู่แห่งผ้าย้อมดอกไม้เนื้อละเอียด ชุดหนึ่งแล้ว กอดคอเราเที่ยวงานประจำคืน เดือนกัตติกะ นี้ ต่างหากเป็นทุกข์ของเรา ทุกข์นี้เท่านั้น ที่เบียดเบียนเรานัก.
            เขาเอาแต่พร่ำเพ้อ บ่นถึงมาตุคามนั้น อยู่อย่างนี้เท่านั้น จนตายไปเกิดในนรก. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า คู่สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในครั้งนี้ ส่วนอากาสัฏฐเทวดา ผู้ยืนประกาศทำเหตุนั้นให้ประจักษ์ ได้ มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาปุปผรัตตชาดกที่ ๗