พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสมฺปทาเนนิตรีตรสฺส ดังนี้.
            ความย่อว่า ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนากัน ในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระตถาคต พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
            เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระราชามคธพระองค์หนึ่ง เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธพระโพธิสัตว์เสวย พระชาติเป็นเศรษฐี (ในรัชกาล) ของพระราชาพระองค์นั้น มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ชื่อว่า สังขเศรษฐี ในพระนครพาราณสี มีเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ชื่อว่า ปิลิยเศรษฐี เศรษฐีทั้งสองนั้น เป็นสหายกัน
            ในเศรษฐีทั้งสองนั้น ปิลิยเศรษฐี ในพระนครพาราณสี ประสบภัยอย่างมหันต์ด้วยหน้าที่การงานบางอย่าง ถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นคนขัดสนไร้ที่พำนัก ชวน ภรรยาเดินทางไปหมายพึ่งท่านสังขเศรษฐี ออกจากพระนครพาราณสี มุ่งไปสู่พระนครราชคฤห์ด้วยเท้าเปล่า จนถึงนิเวศน์ ของท่านสังขเศรษฐี ท่านสังขเศรษฐีเห็นเขาแล้ว กล่าวว่า เพื่อนของเรามาแล้ว ต้อนรับแข็งแรง แสดงความเคารพนับถือ ให้พักอยู่สองสามวัน
            วันหนึ่งจึงถามว่า เพื่อนรัก ท่านมาด้วย ต้องการอะไร ?
            ปิลิยเศรษฐีตอบว่า เพื่อนยาก ภัยบังเกิดแก่ ข้าพเจ้า ถึงสิ้นเนื้อประดาตัว ช่วยอุดหนุนข้าพเจ้าด้วยเถิด
            ฝ่ายสังขเศรษฐีก็กล่าวว่า ดีละเพื่อน อย่ากลัวไปเลย แล้วสั่ง ให้เปิดคลัง แบ่งเงินให้ ๔๐ โกฏิ แล้วยังแบ่งครึ่งสวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ที่เป็นของตนทุกอย่าง อันเป็นบริวาร ตามกำหนดส่วนที่เหลือให้อีกด้วย ปิลิยเศรษฐีขนสมบัติกลับไป พระนครพาราณสี ตั้งหลักฐานได้.
            ในเวลาต่อมา ภัยเช่นเดียวกันนั่นแหละ ก็เกิดแก่ท่านสังขเศรษฐีบ้าง ท่านสังขเศรษฐีใคร่ครวญถึงที่พำนักของตน คิดได้ว่า เราได้ทำอุปการะอย่างใหญ่หลวงไว้แก่สหาย แบ่ง สมบัติให้ครึ่งหนึ่งเขาเห็นเราแล้วคงไม่ทอดทิ้ง เราจักไปหาเขา
            ดังนี้แล้ว พาภรรยาเดินทางไปพระนครพาราณสีด้วยเท้าเปล่า กล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจะเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับพี่ ดูไม่ควรเลย เธอคอยขึ้นยานที่พี่ส่งมารับไปกับบริวารจำนวน มากภายหลัง จงคอยอยู่ที่นี่จนกว่าพี่จะส่งยานมารับ
            ดังนี้แล้ว ให้นางพักที่ศาลา ตนเองเข้าสู่พระนครไปสู่เรือนเศรษฐี ให้ คนบอกท่านเศรษฐีว่า สหายของท่านชื่อ สังขเศรษฐีมาจาก พระนครราชคฤห์ ปิลิยเศรษฐีให้คนไปเชิญมา ครั้นเห็นสังขเศรษฐี แล้ว ก็มิได้ลุกขึ้นจากที่นั่งไม่กระทำปฏิสันถารเลย เอ่ยถาม อย่างเดียวว่า ท่านมาทำไม ?
            สังขเศรษฐีตอบว่า ข้าพเจ้ามา เพื่อพบท่าน
            ถามว่า ท่านพักที่ไหนล่ะ ?
            ตอบว่า ที่พักของ ข้าพเจ้ายังไม่มีดอก ข้าพเจ้าให้แม่บ้านหยุดคอยที่ศาลาแล้ว มาก่อน
            ปิลิยเศรษฐีกล่าวว่า ที่พักของท่านที่นี่ก็ไม่มี ท่านจงรับ อาหารไปให้เขาหุงต้มกิน ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วพากันไปเสียเถิด อย่ามาพบเราอีกเลย พลางสั่งทาสว่าเจ้าจงตวงข้าวลีบ ๔ ทะนาน ห่อชายผ้าสหายของเราให้ไปเถิด
            ได้ยินว่า วันนั้น ปิลิยเศรษฐี ให้คนฝัดข้าวสาลีสีแดงไว้ประมาณพันเกวียน ขึ้นยุ้งไว้เต็ม ทั้งที่ได้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิมา ยังเนรคุณ เป็นเหมือนมหาโจร บอกให้ข้าวทะนานเดียวแก่เพื่อนได้ ทาสตวงข้าวลีบ ๔ ทะนาน ใส่กระเช้าแล้วไปหาพระโพธิสัตว์
            พระโพธิสัตว์คิดว่า ผู้นี้เป็น อสัตบุรุษ ได้ทรัพย์ ๔๐ โกฏิจากสำนักของเรา บัดนี้สั่งให้ ข้าวลีบ ๔ ทะนาน เราจะรับหรือไม่รับดีหนอ ครั้นแล้วมีปริวิตก ว่า คนผู้นี้เป็นคนเนรคุณประทุษร้ายมิตร ทำลายมิตรภาพ ระหว่างเราเสียแล้ว ด้วยความเป็นคนตัดรอนอุปการะที่เราทำไว้ ถ้าเราไม่รับข้าวลีบ ๔ ทะนานที่เขาให้ เพราะเป็นของเลวไซร้ ก็จักต้องทำลายมิตรภาพ คนอันธพาลที่ไม่ยอมรับสิ่งของที่ตน ได้เล็กน้อย ย่อมยังมิตรภาพให้สลายไป แต่เรารับข้าวลีบที่เขา ให้ จักยังดำรงมิตรภาพไว้ได้ด้วยอำนาจของเรา แล้วก็ห่อข้าวลีบ ๔ ทะนาน ที่ชายผ้าลงจากปราสาทไปสู่ศาลา
            ครั้งนั้นภรรยา ถามท่านว่า ท่านเจ้าข้า ท่านได้สิ่งไรมาบ้าง ?
            ตอบว่า ปิลิยเศรษฐี สหายของเราให้ข้าวลีบมา ๔ ทะนาน แล้วสลัดเราเสียในวันนี้ เลยทีเดียว
            นางกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ท่านรับมาทำไม มันสมควร แก่ทรัพย์ ๔๐ โกฏิละหรือ แล้วเริ่มร้องไห้
            พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นางผู้เจริญ เธออย่าร้องไห้เลย พี่เกรงจะเสียไมตรีกับเขา จึง รับมาเพื่อดำรงมิตรภาพไว้ด้วยอำนาจของพี่ เธอจะร้องไห้ไป ทำไม ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า "ไมตรีของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนพาล ย่อมเป็นโทษ ก่อให้เกิดแตกร้าวกัน เพราะไม่ รับของไว้ เพราะฉะนั้น เราจึงรับเอาข้าวลีบ กึ่งมานะ๑ ไว้ด้วยมาคิดว่า ไมตรีของเราอย่าได้ แตกร้าวเสียเลย ขอให้ไมตรีของเรานี้ ดำรงยั่งยืน ต่อไปเถิด" ดังนี้.
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสมฺปทาเนน ความว่า เพราะ ไม่ยอมรับของไว้ เข้าสนธิกันโดยลบสระ ได้ความว่า เพราะ ไม่ถือเอาสิ่งของไว้. บทว่า อิตรีตรสฺส ได้แก่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้จะเลวหรือ ไม่เลยก็ตาม. บทว่า พาลสฺส มิตฺตานิ กลี ภวนฺติ ความว่า ไมตรีของ คนโง่ ๆ ไร้ปัญญา ย่อมชื่อว่าเป็นกลีคือเป็นเช่นกับตัวกาฬกรรณี อธิบายว่า ย่อมทำลายได้. ด้วยบทว่า ตสฺมา หรามิ ภุสํ อฑฺฒมมานํ นี้ พระโพธิสัตว์ แสดงว่า ด้วยเหตุนั้น พี่จึงหอบหิ้ว คือยอมรับข้าวลีบตุมพะหนึ่ง (๔ทะนาน) ที่สหายเขาให้. อธิบายว่า มานะหนึ่งเท่ากับ ๘ ทะนาน ๑. มานะ เป็นชื่อมาตรา, ๘ ทะนานเท่ากับ ๑ มานะ, กึ่งมานะเท่ากับ ๔ ทะนาน. กึ่งมานะเท่ากับ ๔ ทะนาน และ ๔ ทะนาน ชื่อว่า หนึ่งตุมพะ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปลาปตุมฺพํ. บทว่า มา เม มิตฺติ ภิชฺชิตฺถ สสฺสตายํ ความว่า ไมตรี ของเรากับสหายอย่าแตกกันเสียเลย ขอให้ไมตรีนี้จงยั่งยืนอยู่ ต่อไปเถิด.
            ก็เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่อย่างนี้ ภรรยาคงร้องไห้อยู่ นั่นเอง ในขณะนั้น ทาสผู้ทำการงานที่ท่านสังขเศรษฐีมอบให้แก่ ปิลิยเศรษฐี ผ่านมาทางประตูศาลา ได้ยินเสียงภรรยาของท่านเศรษฐีร้องไห้ จึงเข้าไปยังศาลา เห็นเจ้านายเก่าของตน ก็ หมอบลงแทบเท้า ร้องไห้คร่ำครวญ พลางถามว่า ข้าแต่นาย ท่านพากันมาที่นี่ทำไม ?
            ท่านเศรษฐีก็เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด ทาสผู้ทำงานจึงปลอบท่านทั้งสองว่า ช่างเถิดนาย ท่านทั้งสอง อย่าคิดเลย แล้วพาไปเรือนของตน ให้อาบน้ำหอม ให้บริโภค อาหาร เรียกทาสทั้งหลายที่เหลือมาประชุมกัน แสดงให้รู้ว่า เจ้านายของพวกท่านมาแล้ว รออยู่สองสามวัน ก็พาทาสทั้งหมด ไปสู่ท้องพระลานหลวง แล้วร้องตะโกนโพนทนาขึ้น
            พระราชา รับสั่งให้เรียกมาตรัสถามว่า นี่เรื่องอะไรกัน ?
            ทาสเหล่านั้น พากันกราบทูลเรื่องทั้งหมดแด่พระราชา พระราชาทรงสดับ คำของพวกทาสแล้ว รับสั่งให้เรียกเศรษฐีทั้งสองเข้ามาเฝ้า ตรัสถามท่านสังขเศรษฐีว่า มหาเศรษฐี ได้ยินว่า ท่านให้ทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แก่ปิลิยเศรษฐี จริงหรือ ?
            พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า มิใช่แต่ทรัพย์อย่างเดียวเท่านั้น ที่ข้าพระองค์ ให้แก่สหายผู้นึกถึงข้าพระองค์ แล้วบ่ายหน้ามาสู่พระนครราชคฤห์ ข้าพระองค์แบ่งสวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ที่เป็น สมบัติทุกอย่าง ออกเป็นสองส่วน แล้วแบ่งเท่า ๆ กัน พระเจ้าข้า
            พระราชาตรัสถามปิลิยเศรษฐีว่า ข้อนั้นเป็นความจริงหรือ ?
            ปิลิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เป็นความจริงพระเจ้าข้า
            ตรัสถามต่อไปว่าก็เมื่อเขานึกถึงท่าน มาหาถึงนี่แล้วท่านยังจะ ได้กระทำสักการะ สัมมานะ อะไรบ้างเล่า ?
            เขานิ่งเสียรับสั่ง ถามต่อไปว่า ยังอีกข้อหนึ่งเล่า เจ้าได้ให้ทาสตวงข้าวลีบตุมพะหนึ่ง ใส่ชายผ้าให้เขาไป ยังจะจริงหรือ ?
            ปิลิยเศรษฐีแม้จะฟังพระดำรัส นั้น ก็คงนิ่งอึ้งอยู่นั่นเอง พระราชาทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์ ว่า ควรทำอย่างไร ทรงบริภาษปิลิยเศรษฐี แล้วตรัสว่า ไปกัน เถิดท่านทั้งหลาย จงไปเอาสมบัติในเรือนของปิลิยเศรษฐี ให้แก่ สังขเศรษฐีเถิด
            พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งของของผู้อื่นเลย ขอได้ทรงพระกรุณา โปรดพระราชทานส่วนที่ข้าพระองค์ให้แก่เขาเท่านั้นเถิด พระเจ้าข้า
            พระราชารับสั่งให้พระราชทานสมบัติอันเป็นส่วนของ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ได้คืนสมบัติที่ตนให้ไปทั้งหมดแล้ว แวดล้อมด้วยทาสกลับไปสู่พระนครราชคฤห์ นั่นแหละตั้ง หลักฐานได้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย มีให้ทานเป็นต้น แล้ว ไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า ปิลิยเศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนสังขเศรษฐี ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอสัมปทานชาดกที่ ๑