อรรถกถาอสทิสชาดกที่ ๑
            พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ มหาภิเนกษกรม (การออกเพื่อคุณยิ่งใหญ่) ตรัสพระธรรมเทศนา นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ธนุคฺคโห อสทิโส ดังนี้.
            เรื่องพิสดารมีอยู่ว่าวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกัน ในโรงธรรมพรรณนามหาภิเนกขัมมบารมี. พระศาสดาเสด็จ มาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนา กันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตออกสู่มหาภิเนกษกรม มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อนตถาคตก็สละเศวตฉัตรออกบวช เหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
            ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระอัครมเหสีของพระองค์. เมื่อพระราชกุมารประสูติโดย สวัสดี ในวันขนานพระนาม พระชนกชนนีตั้งพระนามว่า อสทิส ราชกุมาร. ครั้นถึงคราวที่พระโอรสเสด็จดำเนินไปมาได้ สัตว์ ผู้มีบุญอื่นก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระราชเทวี. เมื่อ พระโอรสนั้นประสูติโดยสวัสดี ในวันขนานพระนาม พระชนก- ชนนีตั้งพระนามว่า พรหมทัตกุมาร. ในพระราชกุมารทั้งสอง พระองค์ พระโพธิสัตว์เมื่อมีพระชนม์ได้สิบหกพรรษา เสด็จไป เมืองตักกสิลา ทรงศึกษาไตรเพทและศิลปะทุกชนิด อันเป็น พื้นฐานของวิชาสิบแปดประการหาผู้เปรียบมิได้ในศิลปะยิงธนู แล้วเสด็จกลับกรุงพาราณสี.
            พระราชาเมื่อจะเสด็จสวรรคต ได้มีพระราชโองการว่า ให้มอบราชสมบัติแก่อสทิสราชกุมาร ให้ตำแหน่งอุปราชแก่ พรหมทัตกุมาร. แล้วก็เสด็จสวรรคต. เมื่อพระราชาเสด็จ สวรรคตแล้ว เมื่อเขาจะมอบราชสมบัติให้ พระโพธิสัตว์ทรง ปฏิเสธว่า เราไม่ต้องการราชสมบัติ จึงอภิเษกพรหมทัตราชกุมาร ให้ครองราชสมบัติ. พระโพธิสัตว์รับสั่งว่า เราไม่ต้องการยศ จึงไม่ทรงปรารถนาอะไรทั้งสิ้น. เมื่อพระเจ้าน้องยาเธอครอง ราชสมบัติ พระโพธิสัตว์ก็ทรงสถิตย์อยู่โดยอาการเหมือน พระราชาตามปกตินั่นเอง. พวกข้าทูลละอองธุลีพระบาท พากัน กล่าวให้ร้ายพระโพธิสัตว์ในราชสำนักว่า อสทิสราชกุมาร ทรงปรารถนาราชสมบัติ. พรหมทัตราชาก็ทรงเชื่อคำของพวก เขา จึงมีพระทัยแตกแยก ทรงส่งราชบุรุษไปสำทับว่า พวกท่าน จงจับพระเจ้าพี่ของเรา. ครั้งนั้น มีผู้หวังดีต่อพระโพธิสัตว์ คนหนึ่ง แจ้งเหตุการณ์นั้นให้ทรงทราบ. พระโพธิสัตว์ทรงกริ้ว พระกนิษฐภาดา เสด็จไปยังแคว้นอื่น แล้วให้คนกราบทูลแด่ พระราชาว่ามีนักยิงธนูคนหนึ่งมายืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง. พระราชารับสั่งถามว่า เขาต้องการค่าจ้างเท่าไร. กราบทูลว่า ต้องการปีละหนึ่งแสนพระเจ้าข้า. รับสั่งว่า ดีแล้ว เข้ามาเถิด. พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ซึ่งมายืนอยู่ ณ ที่ใกล้ว่า เจ้า เป็นนักยิงธนูหรือ. กราบทูลว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า. รับสั่งว่า ดีแล้ว จงรับราชการกับเรา. ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์อยู่รับ ราชการกับพระราชา. พวกนักยิงธนูรุ่นเก่าเห็นค่าใช้จ่ายที่ พระราชทานแก่พระโพธิสัตว์ จึงพากันยกโทษว่า ได้มากไป.
            อยู่มาวันหนึ่งพระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน รับสั่ง ให้กั้นฉากม่านใกล้แผ่นศิลามงคล บรรทมเหนือราชอาสน์ใหญ่ ใกล้ต้นมะม่วง ทอดพระเนตรดูเบื้องบนทรงเห็นมะม่วงพวงหนึ่ง บนยอดไม้ ทรงดำริว่า ไม่มีใครสามารถขึ้นไปเอามะม่วงนี้ได้ รับสั่งให้หาพวกนายขมังธนูมา มีพระดำรัสว่า พวกเจ้าสามารถ ใช้ลูกศรยิงมะม่วงพวงนี้ให้ตกได้หรือ. พวกนายขมังธนูกราบทูล ว่า ขอเดชะข้อนี้ไม่เป็นการยากสำหรับพวกข้าพระองค์ ทั้ง พระองค์ก็ได้ทรงเคยเห็นฝีมือของพวกข้าพระองค์มาหลายครั้ง แล้ว แต่นายขมังธนูที่มาใหม่ได้ค่าใช้จ่ายมากกว่าพวกข้าพระองค์ ขอได้ทรงโปรดให้เขายิงเถิดพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้หา พระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า เจ้าสามารถยิงมะม่วงพวงนั้น ให้ตกลงมาได้หรือ. กราบทูลว่า เมื่อได้ที่ว่างสักแห่งหนึ่งจัก สามารถพระเจ้าข้า. รับสั่งถามว่า ที่ว่างตรงไหน. กราบทูลว่า ที่ว่างภายในที่บรรทมของพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่ง ให้ย้ายที่พระบรรทมแล้วพระราชทานที่ว่างให้. พระโพธิสัตว์ ไม่มีธนูในพระหัตถ์. พระองค์ทรงเหน็บธนูไว้ในระหว่างพระภูษา เสด็จเที่ยวไป เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ควรจะได้ผ้าม่าน สักผืน. พระราชารับสั่งให้นำผ้าม่านมากั้น. พระโพธิสัตว์ เข้าไปภายในม่าน เปลื้องผ้าทรงชั้นนอกออก ทรงนุ่งผ้าแดง ผืนหนึ่งผูกผ้าเคียนพุง คาดผ้าแดงผืนหนึ่งที่พระอุทร ทรงหยิบ พระขรรค์พร้อมทั้งฝักออกจากถุง ทรงเหน็บไว้ด้านซ้าย ทรง สวมเสื้อสีทองเหน็บกระบอกแล่งศรไว้ข้างหลัง ทรงถือเมณฑก- มหาธนู พร้อมทั้งเครื่องประกอบ ทรงโก่งสายสีแก้วประพาฬ ทรงสวมพระอุณหิส ทรงกวัดแกว่งลูกศรอันคมด้วยพระนขา ทรงแหวกม่านเสด็จออกไปยังที่แผลงศร ดุจนาคกุมารตกแต่ง กายชำแรกแผ่นดินออกมาฉะนั้น ครั้นพาดลูกศรแล้วจึงกราบทูล พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์จะให้มะม่วงพวงนี้ตกลงมา ด้วยลูกศรตอนขึ้นหรือลูกศรตอนลง พระเจ้าข้า. รับสั่งว่า พ่อคุณเอ๋ย คนเป็นอันมากเขายิงลูกศรตอนขึ้น เราเคยเห็น แต่ยิง ด้วยลูกศรตอนลงเราไม่เคยเห็น เจ้าจงยิงให้ตกด้วยลูกศรตอน ลงเถิด. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ลูกศรนี้จักขึ้นไปไกล จนกระทั่งถึงพิภพท้าวจาตุมหาราช แล้วจักลงมาเอง ขอพระองค์ จงอดพระทัยรอจนกว่าลูกศรจะลงมาเถิดพระเจ้าข้า. พระราชา รับสั่งว่า ดีละ. ต่อมาพระโพธิสัตว์จึงกราบทูลพระราชาอีกว่า ข้าแต่มหาราช ลูกศรนี้เมื่อขึ้นจักแหวกขึ้นไประหว่างกลางขั้ว พวงมะม่วง การขึ้นไปจักไม่ส่ายไปข้างโน้น มาข้างนี้แม้เพียง ปลายเกศา จักตกลงมาตามแนวถูกพวงมะม่วงแล้วจึงหล่น ขอ พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์จึง ออกกำลังผาดแผลงไป. ลูกศรนั้นทะลุผ่านหว่างกลางขั้วมะม่วง ึขึ้นไป. พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่า บัดนี้ลูกศรนั้นเห็นจักถึงพิภพ ชั้นจาตุมหาราชแล้ว จึงทรงเร่งกำลังให้มากกว่าศรที่ยิงไปครั้ง แรก แล้วทรงยิงไปอีกลูกหนึ่ง. ลูกศรนั้นจึงขึ้นไปกระทบท้าย ลูกศรเดิม ปัดให้กลับลง แล้วศรลูกที่สองก็เลยขึ้นไปถึงภพ ดาวดึงส์. เทวดาทั้งหลายในภพนั้น ได้จับลูกศรนั้นไว้. เสียงแหวก อากาศของลูกศรที่กลับ คล้ายกับเสียงสายฟ้า. เมื่อประชาชน พูดกันว่า นั่นเสียงอะไร พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเสียงลูกศรกลับ จึงปลอบมหาชนที่สะดุ้งกลัว เพราะเกรงว่าลูกศรจะตกลงถูก ร่างกายของตน ๆ ว่าอย่ากลัวเลย แล้วพูดต่อไปว่า เราจักไม่ให้ ลูกศรตกถึงพื้นดิน. ลูกศรเมื่อขณะลงก็ไม่ส่ายไปข้างโน้น ส่ายมาข้างนี้ ตกลงตามแนวตัดพวงมะม่วง. พระโพธิสัตว์ไม่ให้ พวงมะม่วงและลูกศรตกถึงพื้นดิน รับไว้บนอากาศ มือหนึ่งรับ พวงมะม่วง มือหนึ่งรับลูกศร. มหาชนได้เห็นความอัศจรรย์นั้น จึงพากันกล่าวว่า อย่างนี้พวกเราไม่เคยเห็น พากันสรรเสริญ ส่งเสียงปรบมือ ดีดนิ้ว โบกผ้าเป็นจำนวนพัน. ทรัพย์ที่ราช- บริษัทยินดีร่าเริงมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ประมาณหนึ่งโกฏิ. แม้พระราชาก็ได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก พระราชทาน ยศอันยิ่งใหญ่ แก่พระโพธิสัตว์ ราวกับลูกเห็บตก. เมื่อพระราชา พระองค์นั้นสักการะเคารพพระโพธิสัตว์ ซึ่งพำนัก ณ ที่นั้น อย่างนี้. พระราชาเจ็ดพระนครครั้นทรงทราบว่า ข่าวว่า อสทิสราชกุมารมิได้อยู่ในกรุงพาราณสี จึงพากันยกพลมาล้อม กรุงพาราณสี แล้วส่งสาส์นถวายพระราชาว่า จะมอบราชสมบัติ ให้ หรือจะรบ. พระราชาทรงกลัวมรณภัย ตรัสถามว่า พระเจ้า พี่ของเราประทับอยู่ที่ไหน ครั้นทรงสดับว่า พระเจ้าพี่รับราชการ อยู่กับกษัตริย์สามนตราชพระองค์หนึ่ง จึงทรงส่งทูตไปรับ พร้อมกับมีพระดำรัสว่า เมื่อพระเจ้าพี่ของเราไม่เสด็จกลับมา เราก็จะไม่มีชีวิตอยู่ได้ พวกเจ้าจงไป จงไปถวายบังคมแทบ พระบาท แล้วขอให้ทรงยกโทษตามคำของเรา เชิญเสด็จกลับ มาเถิด. พวกทูตพากันไปกราบทูลเรื่องราวถวายพระโพธิสัตว์ ให้ทรงทราบ. พระโพธิสัตว์กราบถวายบังคมลาพระราชา พระองค์นั้น เสด็จกลับไปกรุงพาราณสี ทรงปลอบพระราชาว่า อย่ากลัวเลย แล้วทรงจารึกอักขระลงที่ลูกศร ใจความว่า เรา ชื่อว่า อสทิสราชกุมารกลับมาแล้ว จะยิงศรอีกลูกหนึ่งมาล้าง ชีวิตของพวกท่านทั้งหมดเสีย ผู้ต้องการรอดชีวิตจงหนีไป เรา จะไม่ให้เกิดโลหิตแม้แต่แมลงวันตัวเล็กดื่ม เสร็จแล้วจึงเสด็จ ประทับที่ป้อมปราการ แผลงศรให้ตกลงบนสุวรรณภาชนะ ประมาณ ๑ ศอกกำ ขณะที่พระราชาเจ็ดพระนครกำลังเสวยอยู่. พระราชาเหล่านั้น ครั้นทอดพระเนตรเห็นอักขระที่ลูกศรแล้ว ก็พากันตกพระทัยกลัวต่อมรณภัย ต่างพระองค์ก็เสด็จหนีไปสิ้น. พระโพธิสัตว์ทรงขับพระราชาเจ็ดพระองค์ให้หนีไป โดยมิได้ ทรงทำให้เกิดโลหิตแม้แต่เพียงแมลงวันตัวเล็กดื่มอย่างนี้แล้ว จึงลาพระกนิษฐภาดา สละกามบวชเป็นฤๅษียังอภิญญาและ สมาบัติให้เกิด เมื่อสิ้นพระชนม์ก็เข้าถึงพรหมโลก.
            พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสทิสราชกุมาร ทรงขับพระราชาเจ็ดพระนครให้หนีไป ทรงได้ชัยชนะสงคราม แล้วทรงผนวชเป็นฤๅษีอย่างนี้ เมื่อทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ แล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า :-
            เจ้าชายพระนามว่าอสทิสราชกุมารเป็น นักธนู มีกำลังมาก ยิงธนูให้ไปตกในที่ไกล ๆ ได้ ยิงไม่พลาด สามารถทำลายของกองใหญ่ ๆ ได้.
            พระองค์ทรงทำการรบให้ข้าศึกทั้งปวง หนีไป แต่มิได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย ทรงทำ พระกนิษฐภาดาให้มีความปลอดภัย แล้วก็เข้า ถึงความสำรวม.
            บทว่า อสทิโส ความว่า มิใช่ไม่เสมอเหมือนโดยพระนาม เท่านั้น แม้พระกำลัง พระวิริยะและพระปัญญาก็ไม่มีผู้เสมอ เหมือน. บทว่า มหพฺพโล คือทรงกำลังกายมาก. บทว่า ทูเร ปาเหติ ความว่า ชื่อว่ายิงได้ไกล เพราะสามารถส่งลูกศรไป จากภพจาตุมหาราชจนถึงภพดาวดึงส์ได้. บทว่า อกฺขณเวธี คือ ยิงไม่ผิด. อีกอย่างหนึ่งสายฟ้าเรียกว่าอักขณะ. อธิบายว่า ชั่วฟ้าแลบคราวหนึ่ง ยิงได้เจ็ดแปดครั้งด้วยแสงนั้น เพราะเหตุ นั้นจึงเรียกว่ายิงได้เร็ว. บทว่า มหากายปฺปพาลิโน ได้แก่ ทำลาย ของกองใหญ่ ๆ ได้. กองใหญ่มีเจ็ดอย่าง คือ กองหนัง กองไม้ กองโลหะ กองเหล็ก กองทราย กองน้ำ กองแผ่นกระดาน. ในกองเหล่านั้น คนอื่นเมื่อจะทำลายกองหนัง แม้หนังกระบือ ก็ยิงทะลุ แต่พระโพธิสัตว์นั้นยิงหนังกระบือซ้อนกันตั้งร้อยแผ่น ให้ทะลุได้. คนอื่นยิงกระดานไม้มะเดื่อหนาแปดนิ้ว ยิงกระดาน ไม้ประดู่หนาสี่นิ้วทะลุได้ แต่พระโพธิสัตว์ยิงกระดานเหล่านั้น มัดรวมกันหนาตั้งร้อยนิ้วทะลุได้ แผ่นทองหนาสองนิ้ว แผ่น เหล็กหนาหนึ่งนิ้ว ก็เช่นเดียวกัน เกวียนบรรทุกทราย บรรทุก กระดาน พระโพธิสัตว์ยิงเข้าส่วนหลังให้ทะลุออกได้ทางส่วนหน้า. ตามปกติในน้ำ พระโพธิสัตว์ยิงศรแหวกได้ไกลสี่อุสุภะ. บนบก ไกลแปดอุสุภะ พระโพธิสัตว์ทำลายของกองใหญ่ ๆ เหล่านี้ได้ จึงชื่อว่า ผู้ทำลายของกองใหญ่ได้ด้วยประการฉะนี้. บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่ข้าศึกทั้งหมด. บทว่า รณํ กตฺวา ได้แก่ ทำการรบให้ข้าศึกหนีไป. บทว่า น จ กิญฺจิ วิเหฐยิ คือ ไม่ เบียดเบียนใคร ๆ เลย. แต่ทรงต่อสู้กับข้าศึกเหล่านั้นด้วยใช้ ศรนั้นเอง ไม่ให้ลำบาก. บทว่า สญฺญมํ อชฺฌุปาคมิ ได้แก่ เข้าถึงความสำรวมด้วยศีล คือ บรรพชา.
            พระศาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ อย่างนี้ แล้ว ทรงประชุมชาดก. พระกนิษฐภาดาในครั้งนั้นได้เป็น อานนท์ในครั้งนี้ ส่วนอสทิสกุมาร คือ เราตถาคตนี้แล.
            จบ อรรถกถาอสทิสชาดกที่ ๑