พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหาร ชื่อว่า เชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้มีเรื่องอย่างนั้นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยถา นที ปนฺโต จ ดังนี้.
            ก็เมื่ออุบาสกนั้น คอยเฝ้าจับตาดูอยู่ ก็รู้ความที่หญิงผู้ เป็นภรรยานั้น มีความประพฤติชั่ว จึงมีจิตเดือดดาล และเพราะ เหตุที่ตนเป็นผู้มีจิตกังวลขุ่นมัว จึงไม่ได้ไปสู่ที่บำรุงพระศาสดา เสีย ๗-๘ วัน. ครั้นวันหนึ่งเขาไปวิหาร ถวายบังคมพระตถาคตเจ้า นั่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อพระศาสดาตรัสว่า เพราะเหตุไร จึงไม่มา เสีย ๗-๘ วัน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของ ข้าพระองค์ เป็นหญิงมีความประพฤติชั่ว เพราะเหตุที่ข้าพระองค์ มีจิตขุ่นหมองในเรื่องชั่ว ๆ ของนาง จึงมิได้มาเฝ้า พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกบุรุษต้องไม่ทำความขุ่นเคือง ในหญิงทั้งหลายว่า หญิงเหล่านี้ ประพฤติอนาจาร พึงวางตน เป็นกลางอย่างเดียว แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลายก็บอกท่าน แล้ว แต่ท่านกำหนดเหตุนั้นไม่ได้เพราะภพอื่นปกปิดไว้ อุบาสก กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ โดยนัยก่อน นั่นแล. ครั้งนั้นศิษย์ของท่านก็ได้เห็นโทษของภรรยาแล้ว ไม่ มาหาเสีย ๒-๓ วัน เพราะความเป็นผู้มีจิตขุ่นหมอง วันหนึ่ง ถูกอาจารย์ถาม ก็แจ้งเหตุนั้นให้ทราบ. ครั้นแล้วอาจารย์ของ เขาจึงกล่าวว่า พ่อเอ๋ย ขึ้นชื่อว่าหญิง เป็นของทั่วไปแก่คนทั้งปวง บัณฑิตทั้งหลายจะไม่ทำความขุ่นเคืองในหญิงเหล่านั้นเลย ว่า หญิงเหล่านี้เป็นคนทุศีล มีแต่บาปธรรมแล้วกล่าวคาถานี้ โดย มุ่งให้เป็นคำสอน ความว่า :-
            "ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลายในโลก มีอุปมา เหมือนแม่น้ำ หนทาง โรงน้ำดื่ม ที่ประชุม และ บ่อน้ำ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ถือโกรธหญิง เหล่านั้น." ดังนี้
            บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา นที ความว่า แม่น้ำมีท่า มาก เป็นสถานที่สาธารณะ แม้แก่คนชั้นต่ำ มีคนจัณฑาลเป็นต้น แม้แก่คนชั้นสูง มีกษัตริย์เป็นต้น ผู้มุ่งมาเพื่อจะอาบ ในบรรดา คนเหล่านั้น ใคร ๆ ชื่อว่า จะอาบไม่ได้ ไม่มีเลย. แม้ในบทมีอาทิว่า ปนฺโต ก็มีอธิบายว่า แม้หนทางใหญ่ ก็เป็นทางสาธารณะ สำหรับคนทั้งปวง ใคร ๆ ที่จะชื่อว่า ไม่ได้ เดินทางนั้น ก็มิได้มี. บทว่า ปานาคารํ ความว่า โรงเหล้า จัดเป็นสถานสาธารณะ สำหรับคนทั่วไป คนใด ๆ ปรารถนาจะดื่ม ทุก ๆ คนก็มีสิทธิ เข้าไปในโรงเหล้านั้นได้ทั้งนั้น แม้ถึงสภาที่ผู้ปรารถนาบุญ สร้างไว้ เป็นที่พักอาศัยของมนุษย์ทั้งหลาย ในที่นั้น ๆ ก็เป็น สถานสาธารณะ ใคร ๆ จะไม่ได้เข้าไปในสภานั้น ก็มิได้มี แม้ประปา ที่เขาตั้งตุ่มน้ำสำหรับดื่มใกล้ทางใหญ่สร้างขึ้นไว้ ก็เป็นของสาธารณะสำหรับคนทั่วไป ใคร ๆ จะไม่ได้ดื่ม น้ำดื่ม ในที่นั้น ก็มิได้มี ฉันใด. บทว่า เอวํ โลกิตฺถิโย นาม ความว่า ดูก่อนพ่อมาณพ หนุ่มน้อย หญิงทั้งหลายในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของ สาธารณะสำหรับคนทั่วไป คือเป็นเช่นกับ แม่น้ำ หนทาง โรงดื่ม สภา และประปา ด้วยอรรถว่า เป็นของทั่วไปนั้นแล. เพราะเหตุ นั้น บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่โกรธเคืองหญิงเหล่านั้น อธิบายว่า บัณฑิตคือคนฉลาด สมบูรณ์ด้วยความรู้ คิดเสียว่า หญิงเหล่านี้ ลามก อนาจาร ทุศีล เป็นหญิงสาธารณะแก่คนทั่วไป ดังนี้แล้ว จึงไม่โกรธหญิงเหล่านั้น.
            พระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่ศิษย์อย่างนี้. เขาฟังโอวาท นั้นแล้ว จึงวางใจเป็นกลางได้ แม้ภรรยาของเขา ก็คิดว่า ได้ยินว่า อาจารย์รู้เรื่องของเราแล้ว ตั้งแต่บัดนั้น ก็ไม่ทำกรรมอันลามกอีก. แม้ภรรยาของอุบาสกนั้น ก็คิดว่า ได้ยินว่า พระศาสดา รู้เรื่องของเราแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ไม่ทำบาปกรรมอีก.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศ สัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะอุบาสกก็ดำรงค์อยู่ในโสดาปัตติผล. แม้พระศาสดา ก็ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า คู่ผัวเมียใน ครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่เมียผัวในครั้งนี้ ส่วนพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอนภิรติชาดกที่ ๕