พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภท่านอนาบิณฑิกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย ปุพฺเพ กตกลฺยาโณ ดังนี้.
            ได้ยินว่า เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทผู้หนึ่ง ได้เป็นอทิฏฐสหาย (สหายผู้ยังไม่เคยพบกัน) ของท่านอนาถบิณฑิกะ กาลครั้งหนึ่ง เศรษฐีนั้นบรรทุกเกวียน ๕๐๐ เล่ม เต็มไปด้วยสิ่งของที่เกิดขึ้น ในปัจจันตชนบท กล่าวกะพวกคนงานว่า ไปเถิดท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงนำของสิ่งนี้ไปสู่พระนครสาวัตถี ขาย ให้แก่มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ สหายของเราด้วยราคาของ ตอบแทน แล้วพากันขนของตอบแทนมาเถิด.
            คนงานเหล่านั้น รับคำของท่านเศรษฐีแล้ว พากันไปสู่พระนครสาวัตถีพบท่าน มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิกแล้วให้บรรณาการ แจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ แม้ท่านมหาเศรษฐีเห็นแล้วก็กล่าว ว่า พวกท่านมาดีแล้ว จัดการ ให้ที่พักและเสบียงแก่คนเหล่านั้น ไต่ถามความสุขของเศรษฐี ผู้เป็นสหายรับซื้อภัณฑะไว้ แล้วให้ภัณฑะตอบแทนไป คนงาน เหล่านั้นพากันไปสู่ปัจจันตชนบท แจ้งเนื้อความนั้นแก่เศรษฐี ของตน
            ต่อมาท่านอนาถบิณฑิกะ ก็ส่งเกวียน ๕๐๐ เล่มอย่างนั้น แหละ ไปในปัจจันตชนบทนั้นบ้าง พวกมนุษย์ไปในปัจจันตชนบท นั้นแล้ว นำบรรณาการไปมอบให้ท่านเศรษฐีปัจจันตชนบท เศรษฐีนั้นถามว่า พวกเจ้ามาจากที่ไหนเล่า ครั้นพวกคนเหล่านั้น บอกว่า มาจากพระนครสาวัตถี สำนักอนาถบิณฑิกะผู้เป็นสหาย ของท่าน ก็หัวเราะเยาะว่า คำว่า อนาถบิณฑิกะ จักเป็นชื่อของ บุรุษคนไหน ๆ ก็ได้ แล้วรับเครื่องบรรณาการไว้ ส่งกลับไปว่า พวกเจ้าจงไปกันเถิด มิได้จัดการเรื่องที่พักและให้เสบียงเลย คนเหล่านั้นต้องขายสิ่งของกันเอง พากันขนสิ่งของตอบแทน มาพระนครสาวัตถี แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่เศรษฐี.
            อยู่ต่อมา เศรษฐี ชาวปัจจันตชนบทส่งเกวียน ๕๐๐ เล่มอย่างนั้นแหละ ไปสู่ พระนครสาวัตถีซ้ำอีกครั้งหนึ่ง พวกมนุษย์น้อมนำบรรณาการ ไปพบท่านมหาเศรษฐีฝ่ายพวกคนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นพวกนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ พวกผมจักกำหนดที่พัก อาหาร และเสบียงของพวกนั้นเอง แล้วบอกให้พวกนั้นปลดเกวียน ไว้ในที่เช่นนั้น ภายนอกพระนคร กล่าวว่า พวกท่านพากันอยู่ ที่นี่เถิด ข้าวยาคูแลภัตร และเสบียงสำหรับพวกท่าน ในเรือนของ พวกท่านจักพอมี
            แล้วพากันไปเรียกพวกทาสและกรรมกรมา ประชุมกัน พอได้เวลาเที่ยงคืน ก็คุมกันปล้นเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม แย่งเอาแม้กระทั่งผ้านุ่ง ผ้าห่มของคนเหล่านั้น ไล่โคให้หนีไปหมด ถอดล้อเกวียน ๕๐๐ เล่มเสียหมดวางไว้ที่แผ่นดิน แล้วขนเอา แต่ล้อเกวียนทั้งหลายไป พวกชาวปัจจันตชนบท ไม่เหลือแม้แต่ ผ้านุ่งต่างกลัวพากันรีบหนีไปสู่ปัจจันตชนบท
            ฝ่ายคนของท่าน เศรษฐี พากันบอกเรื่องนั้นแก่ท่านมหาเศรษฐี.ท่านมหาเศรษฐี คิดว่า บัดนี้มีเรื่องนำข้อความที่จะกราบทูลแล้ว จึงไปสำนัก พระบรมศาสดา กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น พระศาสดา ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทนั้น เป็นผู้มีปกติ ประพฤติอย่างนี้ ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้มี ปกติประพฤติเช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน อันท่านเศรษฐีกราบทูล อาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
            ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีมีสมบัติมากในพระนครพาราณสี เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทผู้หนึ่ง ได้เป็นอทิฏฐสหาย ของท่านเรื่องอดีตทั้งหมด เป็นเหมือนกับเรื่องในปัจจุบันนั่นแหละ (แปลกกันแต่ว่า) พระโพธิสัตว์เมื่อคนของตนแจ้งให้ทราบว่า วันนี้พวกผมทำงานชื่อนี้ ดังนี้แล้วก็กล่าวว่า พวกนั้นไม่รู้อุปการะ ที่เขาทำแก่ตนก่อน จึงพากันได้รับกรรมเช่นนี้ในภายหลัง เพื่อ จะแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
            "ผู้ใดอันท่านทำดีให้ก่อน ทำประโยชน์ ให้ก่อน แต่ไม่รู้จักคุณผู้นั้น เมื่อมีกิจการเกิดขึ้น ภายหลัง ย่อมไม่ได้ผู้ช่วยเหลือ" ดังนี้.
            ในคาถานั้นประมวลข้ออธิบายได้ดังนี้ :- บรรดาชนมี กษัตริย์เป็นต้น บุรุษผู้ใดผู้หนึ่ง มีความดีอันบุคคลอื่น คือมี อุปการะอันท่านผู้อื่นกระทำให้ก่อน คือทีแรก มีประโยชน์อัน คนอื่นกระทำให้คือมีผู้ช่วยเหลือทำกิจการให้สำเร็จได้ก่อน มิได้รู้สำนึกคุณงามความดี และประโยชน์ที่ผู้อื่นกระทำไว้ในตน นั้นเลย ผู้นั้นเมื่อกิจการของตนเกิดขึ้นในภายหลัง ย่อมหาคนช่วย ทำกิจการนั้นให้ไม่ได้.
            พระโพธิสัตว์แสดงธรรมด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย มีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
            พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า เศรษฐีชาวปัจจันตชนบท ในครั้งนั้น ได้มาเป็นเศรษฐี ปัจจันตชนบทคนนี้แหละ ส่วนพาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล.
            จบ อรรถกถาอกตัญญูชาดกที่ ๑๐