อรรถกถาคชกุมภชาดกที่ 

          พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุเกียจคร้านรูปหนึ่ง  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

วนํ  ยทคฺคิ  ทหติ  ดังนี้.

          ได้ยินว่าภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี  แม้บวชถวายตน

ในพระศาสนา  ก็ได้เป็นผู้เกียจคร้านเหินห่างจากอุทเทสการเรียน

พระบาลี  การสอบถาม  การโยนิโสมนสิการกัมมัฏฐาน  และวัตรปฏิบัติ

กิจวัตรเป็นต้น  เป็นผู้ถูกนิวรณ์ครอบงำ  เป็นอยู่อย่างนั้นทุกอิริยาบถ

มีการนั่งและการยืนเป็นต้น.  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันปรารภถึงความ

เกียจคร้านนั้นของเธอ  ในโรงธรรมสภาว่า  อาวุโสทั้งหลาย  ภิกษุชื่อ

โน้น  บวชในพระศาสนาอันเป็นนิยยานิกะเครื่องนำออกจากทุกข์เห็น

ปานนี้  ยังเป็นผู้ขี้เกียจขี้คร้าน  ถูกนิวรณ์ครอบงำอยู่  พระศาสดา

เสด็จมาตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่อง

อะไร ?  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า  เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า

จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน

ภิกษุนี้ก็เป็นผู้เกียจคร้านเหมือนกัน  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต

มาสาธกดังต่อไปนี้:-

          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์แก้วของพระเจ้าพาราณสีนั้น.

พระเจ้าพาราณสีได้เป็นผู้มีพระอัธยาศัยเกียจคร้าน  พระโพธิสัตว์คิดว่า

เราจักให้พระราชาทรงรู้สึกพระองค์  จึงเที่ยวเสาะหาข้อเปรียบเทียบ

อย่างหนึ่ง.อยู่มาวันหนึ่ง  พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน  อันหมู่

อำมาตย์ห้อมล้อมเสด็จเที่ยวไปในพระราชอุทยานนั้น  ทอดพระเนตร

เห็นตัวกระพองช้างตัวหนึ่ง  ซึ่งเป็นสัตว์เกียจคร้านเฉื่อยช้า.  เขาว่า

สัตว์จำพวกนั้นเป็นสัตว์เฉื่อยช้า  แม้จะเดินไปตลอดทั้งวัน  ก็ไปได้

ประมาณนิ้วหนึ่งหรือสองนิ้ว.  พระราชาทรงเห็นดังนั้น  จึงตรัสถาม

พระโพธิสัตว์ว่า  สัตว์นั้นชื่ออะไร  ?  พระมหาสัตว์กราบทูลว่า  ข้าแต่

มหาราชเจ้า  สัตว์นั้นชื่อคชกุมภะตัวกระพองช้าง  แล้วกราบทูลว่า ก็

สัตว์เห็นปานนี้เฉื่อยช้าแม้จะเดินไปตลอดทั้งวัน  ก็ไปได้เพียงนิ้วหนึ่ง

หรือสองนิ้วเท่านั้น  เมื่อจะเจรจากับตัวกระพองช้างนั้น  จึงกล่าวว่า

ดูก่อนคชกุมภะผู้เจริญพวกท่านเดินช้า  เมื่อไฟป่าเกิดขึ้นในป่านี้  พวก

ท่านจะกระทำอย่างไร  แล้วกล่าวคาถาที่    ว่า   :-

                   ดูก่อนเจ้าตัวโยก  ไฟไหม้ป่าคราวใด

          คราวนั้น  เจ้าจะทำอย่างไร  เจ้าเป็นสัตว์มี

          ความบากบั่นอ่อนแออย่างนี้.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ยทคฺคิ  ตัดเป็น  ยทา  อคคิ.  บทว่า

ปาวโก  กณฺหวตฺตนิ  เป็นชื่อของไฟ.  พระโพธิสัตว์เรียกตัวคชกุมภะ

นั้นว่า  ปจลกะ  ตัวโยก.  เพราะตัวคชกุมภะนั้นเดินโยกตัว  หรือ

โยกตัวอยู่เป็นนิตย์  เพราะฉะนั้น  จึงเรียกว่า  ปจลกะ.  บทว่า

ทนฺธปรกฺกโม  แปลว่า  มีความเพียรอ่อน.

          ตัวคชกุมภะได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

                   โพรงไม้และช่องแผ่นดิน  (  ระแหง  )  มี

          อยู่เป็นอันมาก  ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ถึงโพรง

          ไม้หรือช่องแผ่นดินเหล่านั้น  พวกข้าพเจ้าก็

          ต้องตาย.

          คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า  ข้าแต่ท่านบัณฑิต  ชื่อว่าการไป

ที่ยิ่งกว่านี้ของพวกข้าพเจ้าไม่มี  ก็ในป่านี้มีโพรงไม้และช่องแผ่นดิน

อยู่เป็นอันมาก  ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ทันถึงโพรงไม้หรือช่องแผ่นดิน

เหล่านั้น  พวกข้าพเจ้าก็ต้องตาย  คือว่า  ความตายเท่านั้นจะมีแก่พวก

ข้าพเจ้า.

          พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถา    คาถานอกนี้ว่า  :-

                   ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ  ผู้ใดรีบด่วน

          ทำเสียเร็ว  ในเวลาที่จะต้องรีบด่วนทำ  กลับ

          ทำช้าไป  ผู้นั้นย่อมตัดรอนประโยชน์ของตน

          เอง  เหมือนคนเหยียบใบตาลแห้งให้แหลก

          ละเอียดไปฉะนั้น.

                   ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ  ผู้ใดทำช้า  และ

          ในเวลาที่จะต้องรีบด่วนทำ  ก็รีบด่วนทำ

          ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมบริบูรณ์  เหมือนดวง

          จันทร์กำจัดมืดเต็มดวงอยู่ฉะนั้น.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ทนฺธกาเล  ความว่า  ในเวลาที่

จะต้องค่อยๆ  ทำการงานนั้นๆ  ก็รีบด่วนทำการงานนั้นๆ  โดยเร็ว.

บทว่า  สุกฺขปณฺณํว  ความว่า  ผู้นั้นย่อมหักรานประโยชน์ของตน

เหมือนบุรุษมีกำลัง  เหยียบใบตาลแห้งเพราะลมและแดดให้ยับเยิน

คือทำให้แหลกละเอียดลงในที่นั้นเท่านั้น.  บทว่า  ทนฺเธติ  ความว่า

ย่อมชักช้า  คือ  การงานที่จะต้องทำช้าๆ  ก็กระทำให้ช้าไว้.  บทว่า

ตารยิ  ความว่า  และการงานที่จะต้องรีบด่วนกระทำ  ก็ด่วนกระทำ

เสีย.  บทว่า  สสีว  รตฺตึ  วิภชํ  นี้  ท่านอธิบายว่า  ประโยชน์

ของบุรุษนั้นย่อมเต็มบริบูรณ์เหมือนดวงจันทร์  ทำราตรีข้างแรมให้

โชติช่วง  ชื่อว่ากำจัดราตรีข้างแรมเต็มดวงอยู่ทุกวันๆ  ฉะนั้น.

          พระราชาได้ทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว  ตั้งแต่นั้น  ก็มิ

ได้ทรงเกียจคร้าน.

          พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรงประ-

ชุมชาดกว่า  ตัวคชกุมภะในครั้งนั้น  ได้เป็นภิกษุเกียจคร้านในบัดนี้

ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                                      จบ  อรรถกถาคชกุมภชาดกที่