อรรถกถาปีฐชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุรูปหนึ่ง  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า    เต

ปี€มทายิมฺหา  ดังนี้.

       ได้ยินว่า  ภิกษุนั้นจากชนบทไปยังพระเชตวัน  เก็บบาตรจีวร

ถวายบังคมพระศาสดาแล้วถามสามเณรหนุ่มๆ  ว่า  อาวุโส  ในนคร

สาวัตถี  ใครอุปการะภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย  พวกสามเณรหนุ่ม

กล่าวว่า  ท่านผู้มีอายุ  ท่านเหล่านี้  คือ  อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี

และวิสาขามหาอุบาสิกา  เป็นผู้อุปการะภิกษุสงฆ์  ดำรงอยู่ในฐานะ

เป็นบิดามารดา.  ภิกษุนั้นรับคำว่าดีแล้ว  ในวันรุ่งขึ้น  ได้ไปยังประตู

บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  แต่เช้าตรู่  ในเวลาที่ภิกษุแม้รูป

เดียวยังมิได้เข้าไป.  เพราะภิกษุนั้นไปยังไม่ถึงเวลา  ใครๆ  จึงไม่

แลเห็น.  ภิกษุนั้นไม่ได้อะไรๆ  จากที่นั้น  จึงไปยังประตูเรือนของ

นางวิสาขามหาอุบาสิกา  แม้ที่บ้านของนางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น

เธอก็ไม่ได้อะไรๆ  เพราะไปเช้าเกินไป.  ภิกษุนั้นจึงเที่ยวไปในบ้าน

นั้นๆ  แล้วกลับมาใหม่  ไปถึงเมื่อเขาเลี้ยงข้าวยาคูเสร็จแล้ว  จึงเที่ยว

ไปในที่นั้นๆ  แม้อีก  เมื่อเขาเลี้ยงภัตตาหารเสร็จแล้ว  จึงได้ไปถึง.

ภิกษุนั้นจึงกลับไปยังวิหาร  เที่ยวกล่าวดูหมิ่นตระกูลเหล่านั้นว่า

ตระกูลทั้งสองไม่มีศรัทธา  ไม่มีความเลื่อมใสเลย  แต่ภิกษุเหล่านี้

บอกว่ามีศรัทธา  มีความเลื่อมใส.  อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลาย

นั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  อาวุโสทั้งหลาย  ได้ยินว่า  ภิกษุ

ชาวชนบทรูปโน้น  ไปสู่ประตูของตระกูลก่อนกาลเวลา  เมื่อไม่ได้

ภิกษา  จึงเที่ยวดูหมิ่นตระกูลทั้งหลาย.  พระศาสดาเสด็จมาแล้ว

ตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งสนทากันด้วยเรื่องอะไร  ?

เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า  เรื่องนี้  พระเจ้าข้า   จึงรับสั่ง

ให้เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า  เรื่องนี้  จริงหรือ  ?  เมื่อภิกษุนั้น

กราบทูลว่า  จริงพระเจ้าข้า  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  เพราะเหตุไร  ?

เธอจึงโกรธ  ในปางก่อนครั้งพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น  แม้ดาบส

ทั้งหลายไปสู่ประตูสกุล  ไม่ได้ภิกษาก็ยังไม่โกรธเลย  แล้วทรงนำ

เอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

นครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  เจริญวัยแล้ว

ได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักกศิลา  ในกาลต่อมาได้บวชเป็น

ดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศช้านาน  เพื่อต้องการจะบริโภครสเค็ม

และรสเปรี้ยว  จึงไปถึงนครพาราณสี  อยู่ในพระราชอุทยานนั่นเอง

วันรุ่งขึ้น  จึงเข้าไปภิกษายังพระนคร.  ในกาลนั้น  พาราณสีเศรษฐี

เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส.  พระโพธิสัตว์ถามว่า  เรือนของตระกูลไหน

มีศรัทธา  ได้ฟังว่า  เรือนของเศรษฐีจึงได้ไปยังประตูเรือนของ

เศรษฐี.  ขณะนั้นเศรษฐีไปเฝ้าพระราชาแล้ว  ฝ่ายคนทั้งหลายก็ไม่

เห็นพระโพธิสัตว์นั้น.  พระโพธิสัตว์จึงได้กลับไป.  ลำดับนั้น  เศรษฐี

นั้นกำลังออกจากราชสกุลได้เห็นพระโพธิสัตว์นั้น  จึงไหว้แล้วรับเอา

ภาชนะภิกษานำไปเรือน  นิมนต์ให้นั่งแล้วให้อิ่มหนำสำราญด้วยการ

ล้างเท้า  การทาน้ำมัน  ข้าวยาคู  และของควรเคี้ยวเป็นต้น  ใน

ระหว่างภัต  ไม่ถามเหตุอะไรๆ  พอพระโพธิสัตว์กระทำภัตตกิจแล้ว

จึงไหว้  ไปนั่ง    ส่วนข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ยาจก

หรือสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม  ชื่อว่า   ผู้มายังประตูเรือนของ

ข้าพเจ้าแล้ว  ขึ้นชื่อว่าไม่เคยได้สักการะและสัมมานะแล้วไปเสียย่อม

ไม่มี  แต่วันนี้  ท่านไม่ได้ที่นั่ง  น้ำดื่ม  การล้างเท้า  หรือข้าวยาคู

และภัตเลยไปแล้ว  เพราะเด็กๆ ของข้าพเจ้าไม่เห็นท่าน  นี้เป็นโทษ

ของข้าพเจ้า  ท่านควรอดโทษนั้นแก่ข้าพเจ้า.แล้วกล่าวคาถาที่๑ว่า  :-

              ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ตั้ง  น้ำดื่ม  และ

       โภชนาหารแก่ท่าน  ขอท่านผู้เป็นพรหมจารี

       จงอดโทษแก่ข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเห็นโทษอยู่

       อย่างนี้                                   

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า น  เต  ปี€มทายิมฺหา   ความว่า

        ข้าพเจ้าไม่ ได้ให้แม้ตั่งแก่ท่าน.

       พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า  :-

              อาตมภาพมิได้เกาะเกี่ยวอะไรเลย  ไม่

       ได้นึกโกรธเคืองเลย  แม้ความไม่ชอบใจ

       อะไรๆ  ของอาตมภาพก็ไม่มีเลย  ที่จริง

       อาตมภาพยังมีความคาคคะเนอยู่ในใจว่า

       ธรรมของสกุลนี้จักเป็นเช่นนี้แน่.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  เนวาภิสชฺชามิ  ความว่า  อาตมภาพ

มิได้ข้องใจเลย.  บทว่า  เอตาทิโส  ความว่า  อาตมภาพเกิดความวิตก

ในใจอย่างนี้ว่า  สภาวะของสกุลนี้เป็นเช่นนี้แน่  คือ  นี้จักเป็นวงศ์ของ

ทายก.

       เศรษฐีได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถา      คาถาว่า  :-

              ที่นั่ง  น้ำล้างเท้า  น้ำมันทาเท้าทุก

       อย่างนี้ข้าพเจ้าให้อยู่เป็นนิจ  นี้เป็นธรรมใน

       สกุล  เนื่องมาจาก  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ของ

       ข้าพเจ้าทุกเมื่อ.

              ข้าพเจ้าบำรุงสมณพราหมณ์โดยเคารพ

       ดุจญาติผู้สูงสุด  นี้เป็นธรรมในสกุล  เนื่อง

       มาจาก  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ของข้าพเจ้าทุกเมื่อ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า ธมฺโม  ได้แก่  สภาวะ.  บทว่า

ปิตุปิตามโห  ความว่า  เป็นของมีอยู่แห่งบิดามารดาและปู่  ย่า  ตา

ยาย.  บทว่า  อุทกํ  ได้แก่  น้ำสำหรับล้างเท้า.  บทว่า  มชฺชํ  ได้แก่

น้ำมันสำหรับทาเท้า.  บทว่า  สพฺเพตํ  แยกศัพท์ออกเป็น  สพฺพํ

เอตฺํ.   นิป  อักษร  ใน  บทว่า  นิปทามเส  นี้  เป็นอุปสรรค.

อธิบายว่า  ทามเส  แปลว่า  ให้.  ท่านอธิบายว่า  ข้าพเจ้าย่อมให้.

ด้วยบทว่า  นิปทามเส  นี้  ท่านแสดงความว่า  วงศ์ของข้าพเจ้าเป็น

วงศ์ของผู้ให้สืบมาชั่วเจ็ดสกุล.  บทว่า  อุตฺตมํ วิย  าตกํ  ความว่า

ข้าพเจ้าเห็นสมณะหรือพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม  ย่อมบำรุงด้วยความ

เคารพคือด้วยมือของตน  เหมือนบำรุงมารดาและบิดาฉะนั้น.

       ก็พระโพธิสัตว์อยู่ในที่นั้นแสดงธรรมแก่พาราณสีเศรษฐีอยู่

๒-๓  วัน  แล้วกลับไปยังหิมวันตประเทศตามเดิม  ได้ทำอภิญญา

และสมาบัติให้บังเกิดแล้ว.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว

ประกาศสัจจะทรงประชุมชาดกว่า.  ในเวลาจบสัจจะภิกษุนั้น  ดำรงอยู่

ในโสดาปัตติผล.  พาราณสีเศรษฐีในครั้งนั้น  ได้เป็นพระอานนท์

ส่วนดาบสในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาปีฐชาดกที่ ๗