อรรถกถาโคธชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

กฎุมพีผู้หนึ่ง  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  ตเทว  เม

ตฺวํ  ดังนี้.

       เรื่องปัจจุบัน  ได้ให้พิสดารแล้วในหนหลังนั่นแหละ  แต่ใน

ชาดกนี้  เมื่อสามีภรรยาทั้งสองนั้น  ชำระสะสางหนี้สินเสร็จแล้ว

กลับมา  ในระหว่างทาง  พรานได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง  โดยพูดว่า  ท่าน

ทั้งสองจงกิน.  บุรุษผู้เป็นสามีนั้นสั่งภรรยาไปหาน้ำดื่ม  แล้วกินเหี้ย

หมด  ในเวลาภรรยานั้นกลับมาจึงกล่าวว่า  นางผู้เจริญ  เหี้ยหนีไป

เสียแล้ว.  ภรรยากล่าวว่า  ดีละนาย  เมื่อเหี้ยย่างมันหนีไป  ดิฉันจะ

อาจทำอะไร.  ภรรยานั้นดื่มน้ำในพระเชตวันแล้วนั่งรวมกันในสำนัก

ของพระศาสดา  ผู้อันพระศาสดาตรัสถามว่า  อุบาสิกา  สามีของท่าน

นี้ยังปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล  มีความรักดี  อุปการะช่วยเหลือแก่ท่าน

ดีอยู่หรือ  จึงกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ยังมีความ

ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล  มีความรักแก่สามีนี้ดีอยู่  แต่สามีนี้ไม่มี

ความรักในข้าพระองค์เลย.  พระศาสดาตรัสว่า  ช่างเขาเถอะ  อย่า

คิดเลย  สามีนี้ย่อมกระทำชื่ออย่างนี้  ก็เมื่อใด  เขาระลึกคุณของท่าน

ได้  เมื่อนั้น  เขาจะให้ความเป็นใหญ่ทั้งหมด  เฉพาะท่านเท่านั้น  อัน

สามีภรรยาทั้งสองนั้นทูลอาราธนาแล้ว  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา

สาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       แม้เรื่องในอดีต  ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้น

เหมือนกัน.  แต่ในชาดกนี้  เมื่อพระราชบุตรและชายานั้นเสด็จกลับ

ในระหว่างทาง  นายพรานทั้งหลายเห็นความอิดโรยของคนทั้งสอง

จึงได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง  บอกว่า  ท่านทั้งสองคนจงกินเสียเถิด.  พระ-

ราชธิดาเอาเถาวัลย์พันเหี้ยนั้นแล้วถือเดินทางไป.  เธอทั้งสองนั้นพบ

สระน้ำแห่งหนึ่ง  จึงแวะลงจากทาง  นั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ.  พระ-

ราชบุตรตรัสว่า  นางผู้เจริญ  เธอจงไปนำน้ำจากสระมาด้วยใบบัว  เรา

จักได้กินเนื้อกัน.  พระราชธิดานั้นแขวนเหี้ยไว้ที่กิ่งไม้แล้วไปเพื่อนำ

น้ำมา  ฝ่ายพระราชบุตรเสวยเหี้ยหมดแล้ว  ทรงนั่งเบือนพระพักตร

จับปลายหางเหี้ยอยู่.  พระราชบุตรนั้น  ในเวลาพระราชธิดาถือน้ำดื่ม

เสด็จมา  จึงตรัสว่า  นางผู้เจริญ  เหี้ยลงจากกิ่งไม้เข้าไปยังจอมปลวก

เราวิ่งไล่จับปลายหางไว้ได้  ตัวมันขาดเข้าปล่องไป  เหลือแต่ที่จับได้

เฉพาะในมือเท่านั้น.  พระราชธิดาทูลว่า  ช่างเถอะพระองค์  เมื่อเหี้ย

ย่างมันหนีไปได้  เราจักทำอะไรได้  มาเถิดพวกเราไปกันเถอะ.  เธอ

ทั้งสองนั้นดื่มน้ำแล้วไปถึงพระนครพาราณสี  พระราชบุตรได้ราชสม-

บัติแล้วทรงตั้งพระราชธิดานั้นไว้  เพียงในตำแหน่งอัครมเหสี  ส่วน

สักการะและสัมมานะ  ไม่มีแก่พระนาง.  พระโพธิสัตว์ประสงค์จะให้

พระราชากระทำสักการะแก่พระนาง  จึงยืนอยู่ในสำนักของพระราชา

แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้า  ข้าพระองค์ไม่ได้อะไรๆ  จากสำนัก

ของพระองค์มิใช่หรือ  ทำไมไม่ทรงเหลียวแลข้าพระองค์เลย.  พระ-

เทวีตรัสว่า  ดูก่อนพ่อ  เราเองก็ไม่ได้อะไรจากสำนักของพระราชา

เราจักให้อะไรท่านเล่า  จนบัดนี้  แม้พระราชาก็จักประทานอะไรแก่ฉัน

ในเวลาเสด็จมาจากป่า  ท้าวเธอเสวยเหี้ยย่างแต่พระองค์เดียว.  พระ-

โพธิสัตว์กราบทูลว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้า  พระองค์ผู้ประเสริฐจักไม่ทรง

กระทำเช่นนี้แน่  พระองค์โปรดอย่าได้ตรัสอย่างนี้เลย.  ลำดับนั้น

พระเทวีจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า  ดูก่อนพ่อ  เรื่องนั้นไม่ปรากฎ

แก่ท่าน  ปรากฏเฉพาะแก่พระราชาและฉันเท่านั้น  แล้วตรัสคาถาที่

  ว่า  :-

              หม่อมฉันทราบว่า  พระองค์ผู้ประเสริฐ

       จะไม่ทรงใยดีต่อหม่อมฉัน  แต่ครั้งเมื่อพระ-

       องค์ทรงภูษาเปลือกไม้  เหน็บพระแสงขรรค์

       ทรงผูกสอดเครื่องรบประทับอยู่ท่ามกลางป่า

       เหี้ยย่างได้หนีไปจากกิ่งไม้อัสสัตถะแล้ว.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ตเทว  ความว่า  ในกาลนั้น

นั่นแหละ  หม่อมฉันทราบพระองค์ได้อย่างนี้ว่า  พระราชานี้ไม่ประ-

ทานอะไรแก่หม่อมฉัน  แต่คนอื่นๆ  ย่อมไม่รู้สภาวะของพระองค์.

บทว่า  ขคฺคพนฺธสฺส  ได้แก่  ผู้ทรงเหน็บพระขรรค์.  บทว่า  ติรี-

ฏิโน  ความว่า  ในเวลาพระองค์ทรงฉลองพระภูษาเปลือกไม้เสด็จมา

ตามทาง.  บทว่า  ปกฺกา  ความว่า  เหี้ยย่างด้วยถ่านไฟหนีไปแล้ว.

       พระเทวีตรัสโทษที่พระราชาทรงกระทำไว้  ให้ปรากฎในท่าม

กลางบริษัท  ด้วยประการอย่างนี้.  พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกราบ-

ทูลว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้า  เพราะกระทำความไม่ผาสุขให้แก่ทั้งสอง

พระองค์  จำเดิมแต่เวลาไม่เป็นที่โปรดปรานของพระราชาผู้ประเสริฐ

พระองค์จะประทับอยู่ในที่นี้เพราะอะไร  แล้วได้กล่าวคาถา    คาถา

นี้ว่า  :-

              พึงอ่อนน้อมต่อผู้อ่อนน้อม  พึงคบผู้ที่

       เขาพอใจจะคบด้วย  พึงทำกิจแก่ผู้ที่ช่วยทำ

       กิจ  ไม่พึงทำความเจริญแก่ผู้ที่ใคร่ความเสื่อม

       อนึ่ง  ไม่พึงคบกับผู้ที่ไม่พอใจจะคบด้วย.

              พึงละทิ้งผู้ที่เขาทิ้งเรา  ไม่พึงทำความ

       สิเนหาในผู้เลิกลากัน  ไม่พึงสมาคมกับผู้มี

       จิตคิดออกห่าง  นกรู้ว่าต้นไม้มีผลหมดแล้ว

       ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล  ฉันใด

       คนก็ฉันนั้น  รู้ว่าเขาหมดความอาลัยแล้ว

       ก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาสมัครรักใคร่

       เพราะว่าโลกกว้างใหญ่พอ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นเม  นมนฺตสฺส  ความว่า  ผู้

ใดนอบน้อมตนด้วยจิตใจอันอ่อนโยน  พึงนอบน้อมตอบผู้นั้นเท่านั้น.

บทว่า  กิจฺจานุกุพฺพสฺส  ได้แก่  ผู้ช่วยทำกิจอันเกิดขึ้นแก่ตนเท่านั้น.

บทว่า  นานตฺถกามสฺส  ได้แก่  ผู้ไม่ต้องการความเจริญ.  บทว่า

วนถํ    กยิรา  ความว่า  ไม่พึงกระทำความสิเนหาด้วยอำนาจความ

อยากในคนผู้ละทิ้งนั้น.  บทว่า  อเปตจิตฺเตน  ได้แก่  ผู้มีจิตเหินห่าง

คือ  ผู้มีจิตหน่ายแหนง.  บทว่า    สมฺภเชยฺย  ได้แก่  ไม่พึงสมาคม.

บทว่า  อญฺ  สเมกฺเขยฺย  ได้แก่  พึงเลือกดูคนอื่น.  อธิบายว่า

นกรู้ว่าต้นไม้ไร้ผล  ย่อมไปยังต้นอื่นซึ่งมีผลดก  ฉันใด  คนก็ฉันนั้น

รู้ว่าชายเขาสิ้นความรักใคร่แล้ว  พึงเข้าไปหาคนอื่นที่เขารักด้วยดี.

       พระราชา  เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่นั้นแล  ระลึกถึงคุณความ

ดีของพระเทวีนั้นได้  จึงตรัสว่า  น้องนางผู้เจริญ  พี่ไม่ได้กำหนดคุณ

ความดีของเธอ  สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้.  ฉันกำหนดได้เพราะถ้อยคำ

ของบัณฑิตนี่เอง  จะให้ราชสมบัตินี้เฉพาะแก่เธอผู้อดกลั้นความผิด 

ของฉันได้  แล้วตรัสคาถาที่    ว่า  :-

              เรานั้นเป็นกษัตริย์มุ่งความกตัญญู  จะ

       กระทำตอบแทนเธอตามอานุภาพ  อนึ่ง  เรา

       จะมอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดให้แก่เธอ  เธอ

       อยากได้สิ่งใดเพื่อคนใด  เราจะให้สิ่งนั้นแก่

       เธอเพื่อคนนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  โส  แปลว่า  เรานั้น.  บทว่า

ยถานุภาวํ  ได้แก่  ตามสติกำลัง.  บทว่า  ยสฺสิจฺฉสิ  ความว่า  เธอ

อยากได้เพื่อจะให้แก่คนใด  เราจะให้สิ่งที่เธออยากได้ตั้งต้นแต่ราช-

สมบัตินี้ไป  เพื่อคนนั้น.

       พระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว  ได้ประทานความเป็นใหญ่

ทั้งปวงแก่พระเทวี.  และทรงดำริว่า  บัณฑิตนี้ทำให้เราระลึกถึงคุณ

ความดีของพระเทวีนี้  จึงได้ประทานอิสริยยศใหญ่แม้แก่บัณฑิตด้วย.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว  จึง

ทรงประกาศสัจจะ  แล้วทรงประชุมชาดก  ในเวลาจบสัจจะ  ผัวเมีย

ทั้งสองคนได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.  ผัวและเมียในครั้งนั้น  ได้เป็น

ผัวและเมียนี่แหละในบัดนี้  ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น  ได้

เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาโคธชาดกที่