อรรถกถารถลัฏฐิชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ปุโรหิตของพระเจ้าโกศล  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

อปิ  หนฺตฺวา  หโต  พฺรูติ  ดังนี้

       ได้ยินว่า  ปุโรหิตนั้นไปบ้านส่วยของตนด้วยรถ  ขับรถไปในทาง

แคบ  พบหมู่เกวียนพวกหนึ่ง  จึงกล่าวว่า  พวกท่านจงหลีกเกวียนของ

พวกท่าน  ดังนี้แล้วก็จะไป  เมื่อเขายังไม่ทันจะหลีกเกวียนก็โกรธ  จึง

เอาด้ามปฏักประหารที่แอกรถของนายเกวียนในเกวียนเล่มแรก.  ด้าม

ปฏักนั้นกระทบแอกรถก็กระดอนกลับมาพาดหน้าผากของปุโรหิตนั้น

เข้า  ทันทีนั้นที่หน้าผากก็มีปมปูดขึ้น.  ปุโรหิตนั้นจึงกลับไปกราบทูล

แก่พระราชาว่า  ถูกพวกนายเกวียนตี  พระราชาจึงทรงสั่งพวกตุลาการ

ให้วินิจฉัย  พวกตุลาการจึงให้เรียกพวกนายเกวียนมาแล้ววินิจฉัยอยู่

ได้เห็นแต่โทษผิดของปุโรหิตนั้นเท่านั้น.  อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลาย

นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า  อาวุโสทั้งหลายได้ยินว่า  ปุโรหิต

ของพระราชาเป็นความหาว่า  พวกเกวียนตีตน  แต่ตนเองกลับเป็น

ฝ่ายผิด.  พระศาสดาเสด็จมาแล้ว  ตรัสถามว่า   ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้

พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

ด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มิใช่บัดนี้

เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน  ปุโรหิตนี้ก็กระทำกรรมเห็นปานนี้เหมือนกัน

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยของพระเจ้าพาราณสี

นั้นเอง.  ข้อความทั้งหมดที่ว่า  ครั้งนั้น  ปุโรหิตของพระราชา  ไปยัง

บ้านส่วยของตนด้วยรถดังนี้เป็นต้น  เป็นเช่นกับข้อความอันมีแล้ว

ในเบื้องต้นนั่นแหละ.  แต่ในชาดกนี้  เมื่อปุโรหิตนั้นกราบทูลพระราชา

แล้ว  พระราชาประทับนั่ง    โรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง  รับสั่ง

ให้เรียกพวกนายเกวียนมา  มิได้ทรงชำระการกระทำให้ชัดเจน  ตรัสว่า

พวกเจ้าตีปุโรหิตของเรา  ทำให้หน้าผากโปขึ้น  แล้วตรัสว่า  ท่านทั้ง

หลายจงปรับพวกเกวียนเหล่านั้นทั้งหมดคนละพัน.  ลำดับนั้น  พระ-

โพธิสัตว์กราบทูลพระราชานั้นว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้า  พระองค์ยังมิได้

ทรงชำระการกระทำให้ชัดแจ้งเลย  ทรงให้ปรับพวกเกวียนเหล่านั้น

ทั้งหมดคนละพัน  ด้วยว่าคนบางจำพวก  แม้ประหารตนด้วยตนเอง

ก็กล่าวหาว่า  ถูกคนอื่นประหาร  เพราะฉะนั้น  การไม่วินิจฉัยแล้ว

สั่งการ  ไม่ควร  ธรรมดาพระราชาผู้ครองราชสมบัติใคร่ครวญแล้วสั่ง

การจึงจะควร  แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า  :-

              ข้าแต่พระราชา  บุคคลทำร้ายตนเอง

       กลับกล่าวหาว่า  คนอื่นทำร้าย  ดังนี้ก็มี  โกง

       เขาแล้ว  กลับกล่าวหาว่า  เขาโกงดังนี้ก็มี  ไม่

       ควรเชื่อคำของโจทก์ฝ่ายเดียว.

              เพราะฉะนั้น  บุคคลผู้เป็นเชื้อชาติ

       บัณฑิต  ควรฟังคำแม้ของฝ่ายจำเลยด้วย  เมื่อ

       ฟังคำของโจทก์และจำเลย  คู่ความทั้งสอง

       ฝ่ายแล้ว  พึงปฏิบัติตามธรรม.

              คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกาม  เกียจคร้านไม่ดี

       บรรพชิตผู้ไม่สำรวม  ไม่ดี  พระราชาไม่ทรง

       ใคร่ครวญก่อนแล้วทำไป  ไม่ดี  บัณฑิตมี

       ความโกรธเป็นเจ้าเรือน  ก็ไม่ดี.

              ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศ  กษัตริย์

       ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วจึงควรกระทำ  ไม่ทรง

       ใคร่ครวญก่อน  ไม่ควรกระทำ  อิสริยยศและ

       เกียรติศัพท์  ย่อมเจริญแก่กษัตริย์ผู้ทรงใคร่

       ครวญแล้วกระทำ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อปิ  หนฺตฺวา  ความว่า  เออก็  คน

บางพวกทำร้ายตนด้วยตนเอง  ยังพูดคือกล่าวหาว่า  ถูกคนอื่นทำร้าย.

บทว่า  เชตฺวา  ชิโต  ความว่า  ก็หรือว่า  ตนเองโกงคนอื่นแล้วกล่าว

หาว่าเราถูกโกง.  บทว่า  เอตทตฺถุ  ความว่า  ข้าแต่มหาราช  บุคคล

ไม่ควรเชื่อคำของโจทก์ผู้ไปยังราชสกุลแล้วกล่าวหาก่อน  ชื่อว่าผู้ฟ้อง

ร้องก่อนโดยแท้  คือไม่พึงเชื่อคำของโจทก์โดยส่วนเดียว.  บทว่า

ตสฺมา  ความว่า  เพราะเหตุที่ไม่ควรเชื่อคำของผู้ที่มาพูดก่อนโดยส่วน

เดียว.  บทว่า  ยถา  ธมฺโม  ความว่า  สภาวะ  (  หลักการ  )  วินิจฉัย

ตั้งไว้อย่างใด  พึงกระทำอย่างนั้น.  บทว่า  อสญฺโต  ได้แก่  ผู้ไม่

สำรวมกายเป็นต้น  คือ  เป็นผู้ทุศีล.  บทว่า  ตํ    สาธุ  ความว่า

ความโกรธกล่าวคือความขุ่นเคืองอันมั่นคง  โดยการยึดถือไว้ตลอด

ระยะกาลนานของบัณฑิต  คือบุคคลผู้มีความรู้นั้น  ไม่ดี.  บทว่า

นานิสมฺม  ได้แก่  ไม่ทรงใคร่ครวญแล้ว  ไม่ควรกระทำ.  บทว่า

ทิสมฺปติ  ความว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้า  ผู้เป็นใหญ่แห่งทิศทั้งหลาย.

บทว่า  ยโส  กิตฺติ    ความว่า  บริวาร  คือความเป็นใหญ่  และ

เกียรติศัพท์ย่อมเจริญ.

       พระราชาได้สดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว  ทรงวินิจฉัยตัดสิน

โดยธรรม.  เมื่อทรงวินิจฉัยโดยธรรม  โทษผิดจึงมีแก่พราหมณ์เท่านั้น

แล.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พราหมณ์ในครั้งนั้น  ได้เป็นพราหมณ์นี่แหละในบัดนี้

ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิต  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถารถลัฏฐิชาดกที่