อรรถกถาโกกาลิก*ชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

พระโกกาลิกะ  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  โย  เว 

กาเล  อสมฺปตฺเต  ดังนี้.  เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในตักการิย-

ชาดก.  ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้:-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์แก้วของพระเจ้าพาราณสีนั้น.

พระราชานั้นได้เป็นผู้มีพระดำรัสมาก  พระโพธิสัตว์คิดว่า  จักห้ามการ

ตรัสมากของพระราชานั้น  จึงเที่ยวคิดหาอุบายอย่างหนึ่ง.  ครั้นวันหนึ่ง

พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน  แล้วประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็น

มงคล.  เบื้องบนแผ่นศิลานั้น  มีมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง  นางนกดุเหว่า

วางฟองไข่ของตนไว้ในรังการังหนึ่ง    ต้นมะม่วงนั้น  แล้วได้ไปเสีย.

นางกาก็ประคบประหงมฟองไข่นกดุเหว่านั้น.  จำเนียรกาลล่วงมา  ลูก-

นกดุเหว่าก็ออกจากฟองไข่นั้น.  นางกาสำคัญว่าบุตรของเราจึงนำอาหาร

มาด้วยจงอยปาก  ปรนนิบัติลูกนกดุเหว่านั้น.  ลูกนกดุเหว่านั้นขนปีก

ยังไม่งอกก็ส่งเสียงร้องเป็นเสียงดุเหว่า  ในกาลอันไม่ควรร้องเลย.

นางกาคิดว่า  ลูกนกนี้มันร้องเป็นเสียงอื่นในบัดนี้ก่อน  เมื่อโตขึ้นจัก

ทำอย่างไร  จึงตีด้วยจะงอยปากให้ตายตกไปจากรัง.  ลูกนกดุเหว่านั้น

__________________________

*ม.  โคลิลฯ

ตกลงใกล้พระบาทของพระราชา.  พระราชารับสั่งถามพระโพธิสัตว์ว่า

สหาย  นี่อะไรกัน.  พระโพธิสัตว์คิดว่า  เราแสวงหาเรื่องเปรียบเทียบ

เพื่อจะห้ามพระราชา  บัดนี้  เราได้เรื่องเปรียบเทียบนี้แล้ว  จึงกราบทูล

ว่า  ข้าแต่มหาราช  ขึ้นชื่อว่าคนปากกล้า  พูดมากในกาลไม่ควรพูด

ย่อมได้ทุกข์เห็นปานนี้  ข้าแต่มหาราช  ลูกนกดุเหว่านี้เจริญเติบโตได้

เพราะนางกา  ปีกยังไม่ทันแข็งก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่าในเวลาไม่ควรร้อง

ทีนั้น  นางการู้ลูกนกดุเหว่านั้นว่า  นี้ไม่ใช่ลูกของเรา  จึงตีด้วยจงอย

ปากให้ตกลงมา  จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานก็ตาม  พูดมากใน

กาลไม่ควรพูด  ย่อมได้ทุกข์เห็นปานนี้  แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า  :-

              เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด  ผู้ใดพูดเกิน

       เวลาไป  ผู้นั้นย่อมถูกทำร้าย  ดุจลูกนก

       ดุเหว่าฉะนั้น.

              มีดที่ลับคมกริบ  ดุจยาพิษที่ร้ายแรง

       หาทำให้ตกไปทันทีทันใด  เหมือนวาจาทุพ-

       ภาษิตไม่.

              เพราะฉะนั้น  บัณฑิตควรรักษาวาจาไว้

       ทั้งในกาลที่ควรพูดและไม่ควร  ไม่ควรพูดให้

       เกินเวลา  แม้ในคนผู้เสมอกับตน.

              ผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นเบื้องหน้า  มี

       ปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นประจักษ์  พูดพอ

       เหมาะในกาลที่ควรพูด  ผู้นั้นย่อมจับศัตรูได้

       ทั้งหมด  ดุจครุฑจับนาคได้ฉะนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  กาเล  อสมฺปตฺเต  ได้แก่  เมื่อ

กาลที่จะพูดของตน  ยังไม่ถึง.บทว่า  อติเวลํ  ความว่า  ย่อมพูดเกิน

ประมาณ  ทำให้ล่วงเลยเวลา.  บทว่า  หลาหลมฺมิว  ตัดเป็น  หลาหลํ

อิว  แปลว่า  เหมือนยาพิษอันร้ายแรง.  บทว่า  นิกฺกเฒ  ได้แก่

ในขณะนั้นเอง  คือในกาลอันยังไม่ถึง.  บทว่า  ตสฺมา  ได้แก่  เพราะ

เหตุที่คำทุพภาษิตเท่านั้น  ย่อมทำให้ตกไปเร็วพลัน  แม้กว่าศาตราที่

ลับคมกริบ  และยาพิษอันร้ายแรง.  บทว่า  กาเล  อกาเล    ความว่า

บัณฑิตพึงรักษาวาจาทั้งในกาลและมิใช่กาลที่ควรกล่าว  ไม่ควรกล่าว

เกินเวลาแม้กะบุคคลผู้เสมอกับตน  คือแม้กะบุคคลผู้มีการกระทำไม่

ต่างกัน.  บทว่า  มติปุพฺโพ  ได้แก่  ชื่อว่ามีความคิดเป็นเบื้องหน้า

เพราะกระทำความคิดให้เป็นปุเรจาริกอยู่ข้างหน้าแล้วจึงกล่าว.  บทว่า

วิจกฺขโณ  ความว่า  บุคคลผู้พิจารณาด้วยญาณแล้วได้ประโยชน์  ชื่อว่า

ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์.  บทว่า  อุรคมิว  ตัดเป็น  อุรคํ  อิว  แปลว่า

เหมือนสัตว์ผู้ไปด้วยอก  (งู).  ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า  ครุฑทำ

ทะเลให้ปั่นป่วนแล้วยึด  คือจับงูตัวมีขนาดใหญ่  ก็แลครั้นจับได้แล้ว

ทันใดนั้นเอง  ก็ยกหิ้วงูนั้นขึ้นสู่ต้นงิ้ว  กินเนื้ออยู่  ฉันใด  บุคคลผู้

มีความคิดเกิดขึ้นก่อนเป็นเบื้องหน้า  มีปัญญาเป็นเครื่องเห็นประจักษ์

กล่าวพอประมาณในกาลที่ควรกล่าว  ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ย่อมยึดคือ

จับพวกอมิตรทั้งหมดได้  คือทำให้อยู่ในอำนาจของตนได้.

       พระราชาทรงสดับธรรมเทศนาของพระโพธิสัตว์แล้ว  ตั้งแต่

นั้นมา  ก็ได้มีพระดำรัสพอประมาณ.  และทรงปูนบำเหน็จยศพระ-

ราชทานแก่พระโพธิสัตว์นั้นให้ใหญ่โตกว่าเดิม.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประ-

ชุมชาดกว่า.  ลูกนกดุเหว่าในกาลนั้น  ได้เป็นพระโกกาลิกะ  ส่วน

อำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาโกกาลิกชาดกที่