อรรถกถากักการุชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

พระเทวทัต  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  กาเยน  โย

นาวหเร  ดังนี้.

       ได้ยินว่า  เมื่อพระเทวทัตนั้นทำลายสงฆ์ไปแล้วอย่างนั้น  เมื่อ

บริษัทหลีกไปพร้อมกับพระอัครสาวก  โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปาก.

ลำดับนั้น  ภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  อาวุโส

ทั้งหลาย  พระเทวทัตกล่าวมุสาวาททำลายสงฆ์  บัดนี้เป็นไข้เสวยทุกข-

เวทนามาก.  พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้

พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ  ?  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ-

ทูลให้ทรงทราบว่า  เรื่องชื่อนี้  พระเจ้าข้า.  จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย

มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน  พระเทวทัตนี้ก็ได้เป็นผู้พูดเท็จ

เหมือนกัน  อนึ่ง  พระเทวทัตนี้พูดมุสาวาททำลายสงฆ์  แล้วเป็นไข้ได้

เสวยทุกข์มาก  ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้  แม้ในกาลก่อนก็ได้เสวยทุกข์

มากแล้วเหมือนกัน  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-

พาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้เป็นเทวบุตรองค์หนึ่งในภพดาวดึงส์.  ก็

สมัยนั้นแล  ในนครพาราณสี  ได้มีมหรสพเป็นการใหญ่.  พวกนาค

ครุฑ  และภุมมัฏฐกเทวดา  เป็นจำนวนมากพากันมาดูมหรสพ.  เทว-

บุตร    องค์แม้จากภพดาวดึงส์  ก็ประดับเทริดอันกระทำด้วยดอกไม้

ทิพย์ชื่อกักการุ  ผักจำพวกบวบ  ฟัก  แฟง  พากันมายังที่ดูการมหรสพ.

พระนครประมาณ  ๑๒  โยชน์  ได้มีกลิ่นเดียวด้วยกลิ่นดอกไม้เหล่านั้น. 

มนุษย์ทั้งหลายเที่ยวสอบสวนอยู่ว่า  ใครประดับดอกไม้เหล่านี้.  เทว-

บุตรเหล่านั้นรู้ว่า  มนุษย์เหล่านี้สืบสวนหาพวกเรา  จึงเหาะขึ้นที่

พระลานหลวงยืนอยู่ในอากาศด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่.  มหาชน

ประชุมกันอยู่.  พระราชาก็ดี  อิสรชนมีเศรษฐีและอุปราชเป็นต้นก็ดี

ต่างพากันมา.  ทีนั้นจึงพากันถามเทวบุตรเหล่านั้นว่า  ข้าแต่เจ้านาย

ท่านทั้งหลายมาจากเทวโลกชั้นไหน  ?  เทวบุตร  มาจากเทวโลกชั้น

ดาวดึงส์  มนุษย์  พวกท่านมาด้วยกิจธุระอะไร ?  เทวบุตร  มาด้วย

ต้องการดูมหรสพ.  มนุษย์  นี่ชื่อดอกอะไร  ?  เทวบุตร  ชื่อดอกฟักทิพย์. 

มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า  ข้าแต่เจ้านาย  ท่านทั้งหลายโปรด

ประดับดอกไม้อื่นในเทวโลกเถิด  จงให้ดอกฟักทิพย์นี้แก่พวกเราเถิด.

เทวบุตรทั้งหลายกล่าวว่า  ดอกไม้ทิพย์เหล่านี้มีอานุภาพมาก  สมควร

แก่เทวดาทั้งหลายเท่านั้น  ไม่สมควรแก่คนเลวทรามไร้ปัญญา  มีอัธ-

ยาศัยน้อมไปในทางต่ำทราม  ทุศีล  ในมนุษยโลก  แต่สมควรแก่

มนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้.  ก็แหละ  ครั้นกล่าวอย่างนี้

แล้ว  เทพบุตรผู้ใหญ่ใน    องค์นั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ผู้ใดไม่ลักสิ่งของด้วยกาย  ไม่พูดเท็จ

       ด้วยวาจา  ได้รับยศแล้วไม่พึงมัวเมา  ผู้นั้น

       แลย่อมควรประดับดอกฟักทิพย์.

       คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า  :-  บุคคลใดไม่ลักแม้แต่เส้นหญ้า

อันเป็นของของคนอื่น  และแม้จะเสียชีวิตก็ไม่กล่าวมุสาวาทด้วยวาจา.

คำนี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนาเท่านั้น.  ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า  ก็บุคคล

ใดไม่กระทำอกุศลกรรมบถทั้ง  ๑๐  ด้วยกายทวาร  วจีทวาร  และมโน-

ทวาร.  บทว่า  ยโส  ลทฺธา  ความว่า  บุคคลใดได้แม้ความเป็นใหญ่

แล้ว  ไม่มัวเมาในความเป็นใหญ่ปล่อยให้สติกระทำกรรมอันลามก

บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้เห็นปานนั้นนั่นแล  ย่อมควรซึ่งดอกไม้

ทิพย์นี้  เพราะฉะนั้น  บุคคลใดประกอบด้วยคุณเหล่านี้.  บุคคลนั้น

ย่อมควรขอดอกไม้เหล่านี้  พวกเราจักให้แก่บุคคลนั้น.

       ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า  เราไม่มีคุณเหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว

แต่เราจักกล่าวมุสาวาทรับเอาดอกไม้เหล่านี้มาประดับ  เมื่อเป็นอย่างนี้

มหาชนจักรู้เราว่า  ผู้นี้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ.  ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า

เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้  จึงให้นำดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ

แล้วได้อ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่    เทวบุตรองค์ที่    นั้น  จึง

กล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ผู้ใดแสวงหาทรัพย์มาได้โดยชอบธรรม

       ไม่ล่อลวงเอาทรัพย์เขามา  ได้โภคทรัพย์แล้ว

       ก็ไม่มัวเมา  ผู้นั้นแลย่อมควรประดับดอกฟัก-

       ทิพย์.

       คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า  :-  บุคคลพึงแสวงหาทรัพย์มีทอง

และเงินเป็นต้น  โดยธรรม  คือ  โดยอาชีพอันบริสุทธิ์  ไม่พึงแสวงหา

โดยการหลอกลวง  คือไม่พึงนำเอาไปโดยการลวง  ได้โภคะทั้งหลาย

มีผ้าและอาภรณ์เป็นต้น  ไม่พึงมัวเมาประมาท  บุคคลเห็นปานนี้ย่อม

ควรแก่ดอกไม้เหล่านี้.

       ปุโรหิตกล่าวว่า  เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้  แล้วให้นำ

ดอกไม้ทิพย์มาประดับ  จึงอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่  ๓.  เทวบุตร

องค์ที่    นั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า

              ผู้ใดมีจิตไม่จืดจางเร็ว  และมีศรัทธาไม่

       คลายง่ายๆ  ไม่บริโภคของดีแต่ผู้เดียว  ผู้นั้น

       แลย่อมควรแก่ดอกฟักทิพย์.

       คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า  :-  บุคคลใดมีจิตไม่จืดจาง  คือไม่

จางหายไปเร็วเหมือนย้อมด้วยขมิ้น  ได้แก่มีความรักมั่นคง  และมี

ศรัทธาไม่คืนคลาย  คือ  ได้ฟังคำของคนผู้เชื่อกรรมหรือวิบากของกรรม

ก็ตามแล้วเชื่อ  ไม่คืนคลาย  ไม่แตกทำลายด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย.

บุคคลใดไม่กันยาจกหรือ  บุคคลอื่นผู้ควรแก่การจำแนกให้ไว้ภายนอก

ไม่บริโภคโภชนะมีรสดีแต่ผู้เดียว  คือจำแนกให้แก่ชนเหล่านั้นแล้ว

จึงบริโภค  บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.

       ปุโรหิตกล่าวว่า  เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้  จึงให้นำ

ดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ  แล้วอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่  ๔.  เทว-

บุตรองค์ที่    นั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า

              ผู้ใดไม่บริภาษสัตบุรุษทั้งต่อหน้าหรือ

       ลับหลัง  พูดอย่างใด  ทำอย่างนั้น  ผู้นั้นแล

       ย่อมควรซึ่งดอกฟักทิพย์.

       คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า  บุคคลใดไม่ด่า  ไม่บริภาษ

สัตบุรุษ  คือบุรุษผู้เป็นอุดมบัณฑิต  ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น

ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง  พูดถึงสิ่งใดด้วยวาจา.  ย่อมกระทำสิ่งนั้นแล

ด้วยกาย  บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.

       ปุโรหิตกล่าวว่า  เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้  แล้วให้นำ

ดอกไม้แม้เหล่านั้นมาประดับ.  เทวบุตรทั้ง    องค์ได้ให้เทริดดอกไม้

ทั้ง    เทริดแก่ปุโรหิตแล้วพากันกลับไปยังเทวโลก.  ในเวลาที่เทว-

บุตรเหล่านั้นไปแล้ว  เวทนาอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ศีรษะของปุโรหิต.

ศีรษะได้เป็นเหมือนถูกทิ่มด้วยยอดเขาอันแหลมคม  และเป็นเหมือน

ถูกบีบรัดด้วยแผ่นเหล็กฉะนั้น.  ปุโรหิตนั้นได้รับทุกขเวทนา  กลิ้งไป

กลิ้งมาร้องเสียงดังลั่น  และเมื่อมหาชนกล่าวว่านี่อะไรกัน  จึงกล่าวว่า

เรากล่าวมุสาวาทในคุณซึ่งไม่มีอยู่ภายในเราเลยว่ามีอยู่.  แล้วขอ

ดอกไม้เหล่านี้  กะเทวบุตรเหล่านั้น  ท่านทั้งหลายจงช่วยนำเอาดอกไม้

เหล่านี้ออกจากศีรษะของเราด้วยเถิด.  ชนทั้งหลายถึงจะช่วยกันปลด

ดอกไม้เหล่านั้น  ก็ไม่สามารถจะปลดออกได้  ได้เป็นเหมือนดอกไม้

ที่ผูกรัดด้วยแผ่นเหล็ก.  ลำดับนั้น  ชนทั้งหลายจึงหามปุโรหิตนั้นนำ

ไปเรือน.  เมื่อปุโรหิตนั้นร้องอยู่ในเรือนนั้น  กาลเวลาล่วงไปได้ 

วัน.  พระราชารับสั่งเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า  พราหมณ์ผู้

ทุศีลจักตาย  เราจะทำอย่างไรกัน.  อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า  ข้าแต่

สมมติเทพ  ขอพระองค์โปรดให้เล่นมหรสพอีกเถิด  เทวบุตรทั้งหลาย

จักมาอีก.  พระราชาจึงให้เล่นมหรสพอีก  เทวบุตรทั้งหลายจึงมาอีก

ได้กระทำพระนครทั้งสิ้นให้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกันด้วยกลิ่นหอม

ของดอกไม้  แล้วได้ยืนอยู่ที่พระลานหลวงเหมือนอย่างเคยมา.  มหา-

ชนประชุมกันแล้ว  นำพราหมณ์ผู้ทุศีลมา  ให้นอนหงายอยู่ข้างหน้า

ของเทวบุตรเหล่านั้น.  พราหมณ์ปุโรหิตนั้นอ้อนวอนเทวบุตรทั้งหลาย

ว่า  ข้าแต่นาย  ขอท่านทั้งหลายจงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด.  เทวบุตร

เหล่านั้นติเตียนพราหมณ์ปุโรหิตนั้นในท่ามกลางมหาชนว่า  ดอกไม้

เหล่านี้ไม่สมควรแก่ท่านผู้ลามกทุศีลมีบาปธรรม  ท่านได้สำคัญว่า

จักลวงเทวบุตรเหล่านี้  น่าอนาถ  ท่านได้รับผลแห่งมุสาวาทของตน

แล้ว  ครั้นติเตียนแล้วจึงปลดเทริดดอกไม้ออกจากศีรษะ  ให้โอวาท

แก่มหาชนแล้วได้ไปยังสถานที่ของตนทันที.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พราหมณ์ในครั้งนั้น  ได้มาเป็นพระเทวทัต  บรรดา

เทวบุตรเหล่านั้น  องค์หนึ่งได้เป็นพระกัสสป  องค์หนึ่งได้เป็นพระ-

โมคคัลลานะ  องค์หนึ่งได้เป็นพระสารีบุตร  ส่วนเทวบุตรผู้เป็นหัวหน้า

ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถากักการุชาดกที่