อรรถกถากักการุชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาเยน โย
นาวหเร ดังนี้.
ได้ยินว่า
เมื่อพระเทวทัตนั้นทำลายสงฆ์ไปแล้วอย่างนั้น เมื่อ
บริษัทหลีกไปพร้อมกับพระอัครสาวก โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปาก.
ลำดับนั้น
ภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส
ทั้งหลาย พระเทวทัตกล่าวมุสาวาททำลายสงฆ์ บัดนี้เป็นไข้เสวยทุกข-
เวทนามาก. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ
? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ-
ทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า.
จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตนี้ก็ได้เป็นผู้พูดเท็จ
เหมือนกัน อนึ่ง พระเทวทัตนี้พูดมุสาวาททำลายสงฆ์ แล้วเป็นไข้ได้
เสวยทุกข์มาก ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เสวยทุกข์
มากแล้วเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้เป็นเทวบุตรองค์หนึ่งในภพดาวดึงส์. ก็
สมัยนั้นแล ในนครพาราณสี ได้มีมหรสพเป็นการใหญ่.
พวกนาค
ครุฑ และภุมมัฏฐกเทวดา เป็นจำนวนมากพากันมาดูมหรสพ. เทว-
บุตร ๔
องค์แม้จากภพดาวดึงส์
ก็ประดับเทริดอันกระทำด้วยดอกไม้
ทิพย์ชื่อกักการุ ผักจำพวกบวบ ฟัก แฟง พากันมายังที่ดูการมหรสพ.
พระนครประมาณ ๑๒ โยชน์
ได้มีกลิ่นเดียวด้วยกลิ่นดอกไม้เหล่านั้น.
มนุษย์ทั้งหลายเที่ยวสอบสวนอยู่ว่า ใครประดับดอกไม้เหล่านี้. เทว-
บุตรเหล่านั้นรู้ว่า มนุษย์เหล่านี้สืบสวนหาพวกเรา จึงเหาะขึ้นที่
พระลานหลวงยืนอยู่ในอากาศด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่. มหาชน
ประชุมกันอยู่. พระราชาก็ดี อิสรชนมีเศรษฐีและอุปราชเป็นต้นก็ดี
ต่างพากันมา.
ทีนั้นจึงพากันถามเทวบุตรเหล่านั้นว่า ข้าแต่เจ้านาย
ท่านทั้งหลายมาจากเทวโลกชั้นไหน
? เทวบุตร มาจากเทวโลกชั้น
ดาวดึงส์ มนุษย์ พวกท่านมาด้วยกิจธุระอะไร ?
เทวบุตร
มาด้วย
ต้องการดูมหรสพ. มนุษย์ นี่ชื่อดอกอะไร ? เทวบุตร ชื่อดอกฟักทิพย์.
มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย ท่านทั้งหลายโปรด
ประดับดอกไม้อื่นในเทวโลกเถิด จงให้ดอกฟักทิพย์นี้แก่พวกเราเถิด.
เทวบุตรทั้งหลายกล่าวว่า ดอกไม้ทิพย์เหล่านี้มีอานุภาพมาก สมควร
แก่เทวดาทั้งหลายเท่านั้น ไม่สมควรแก่คนเลวทรามไร้ปัญญา มีอัธ-
ยาศัยน้อมไปในทางต่ำทราม ทุศีล ในมนุษยโลก
แต่สมควรแก่
มนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้. ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้
แล้ว เทพบุตรผู้ใหญ่ใน ๔
องค์นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑
ว่า :-
ผู้ใดไม่ลักสิ่งของด้วยกาย ไม่พูดเท็จ
ด้วยวาจา ได้รับยศแล้วไม่พึงมัวเมา ผู้นั้น
แลย่อมควรประดับดอกฟักทิพย์.
คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :- บุคคลใดไม่ลักแม้แต่เส้นหญ้า
อันเป็นของของคนอื่น
และแม้จะเสียชีวิตก็ไม่กล่าวมุสาวาทด้วยวาจา.
คำนี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนาเท่านั้น. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ก็บุคคล
ใดไม่กระทำอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ด้วยกายทวาร
วจีทวาร และมโน-
ทวาร. บทว่า ยโส ลทฺธา ความว่า บุคคลใดได้แม้ความเป็นใหญ่
แล้ว
ไม่มัวเมาในความเป็นใหญ่ปล่อยให้สติกระทำกรรมอันลามก
บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้เห็นปานนั้นนั่นแล ย่อมควรซึ่งดอกไม้
ทิพย์นี้
เพราะฉะนั้น บุคคลใดประกอบด้วยคุณเหล่านี้. บุคคลนั้น
ย่อมควรขอดอกไม้เหล่านี้ พวกเราจักให้แก่บุคคลนั้น.
ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เราไม่มีคุณเหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว
แต่เราจักกล่าวมุสาวาทรับเอาดอกไม้เหล่านี้มาประดับ เมื่อเป็นอย่างนี้
มหาชนจักรู้เราว่า ผู้นี้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ. ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า
เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ จึงให้นำดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ
แล้วได้อ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๒
เทวบุตรองค์ที่ ๒ นั้น จึง
กล่าวคาถาที่ ๒
ว่า :-
ผู้ใดแสวงหาทรัพย์มาได้โดยชอบธรรม
ไม่ล่อลวงเอาทรัพย์เขามา ได้โภคทรัพย์แล้ว
ก็ไม่มัวเมา ผู้นั้นแลย่อมควรประดับดอกฟัก-
ทิพย์.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :- บุคคลพึงแสวงหาทรัพย์มีทอง
และเงินเป็นต้น โดยธรรม คือ
โดยอาชีพอันบริสุทธิ์
ไม่พึงแสวงหา
โดยการหลอกลวง คือไม่พึงนำเอาไปโดยการลวง ได้โภคะทั้งหลาย
มีผ้าและอาภรณ์เป็นต้น ไม่พึงมัวเมาประมาท บุคคลเห็นปานนี้ย่อม
ควรแก่ดอกไม้เหล่านี้.
ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ แล้วให้นำ
ดอกไม้ทิพย์มาประดับ จึงอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๓. เทวบุตร
องค์ที่ ๓
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓
ว่า
ผู้ใดมีจิตไม่จืดจางเร็ว และมีศรัทธาไม่
คลายง่ายๆ ไม่บริโภคของดีแต่ผู้เดียว ผู้นั้น
แลย่อมควรแก่ดอกฟักทิพย์.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า :- บุคคลใดมีจิตไม่จืดจาง
คือไม่
จางหายไปเร็วเหมือนย้อมด้วยขมิ้น ได้แก่มีความรักมั่นคง และมี
ศรัทธาไม่คืนคลาย คือ ได้ฟังคำของคนผู้เชื่อกรรมหรือวิบากของกรรม
ก็ตามแล้วเชื่อ ไม่คืนคลาย ไม่แตกทำลายด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย.
บุคคลใดไม่กันยาจกหรือ บุคคลอื่นผู้ควรแก่การจำแนกให้ไว้ภายนอก
ไม่บริโภคโภชนะมีรสดีแต่ผู้เดียว คือจำแนกให้แก่ชนเหล่านั้นแล้ว
จึงบริโภค บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.
ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ จึงให้นำ
ดอกไม้เหล่านั้นมาประดับ แล้วอ้อนวอนขอกะเทวบุตรองค์ที่ ๔. เทว-
บุตรองค์ที่ ๔
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔
ว่า
ผู้ใดไม่บริภาษสัตบุรุษทั้งต่อหน้าหรือ
ลับหลัง พูดอย่างใด ทำอย่างนั้น
ผู้นั้นแล
ย่อมควรซึ่งดอกฟักทิพย์.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า บุคคลใดไม่ด่า ไม่บริภาษ
สัตบุรุษ คือบุรุษผู้เป็นอุดมบัณฑิต ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น
ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง พูดถึงสิ่งใดด้วยวาจา. ย่อมกระทำสิ่งนั้นแล
ด้วยกาย บุคคลนั้นย่อมควรซึ่งดอกไม้เหล่านี้.
ปุโรหิตกล่าวว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยคุณเหล่านี้ แล้วให้นำ
ดอกไม้แม้เหล่านั้นมาประดับ. เทวบุตรทั้ง ๔
องค์ได้ให้เทริดดอกไม้
ทั้ง ๔
เทริดแก่ปุโรหิตแล้วพากันกลับไปยังเทวโลก. ในเวลาที่เทว-
บุตรเหล่านั้นไปแล้ว
เวทนาอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ศีรษะของปุโรหิต.
ศีรษะได้เป็นเหมือนถูกทิ่มด้วยยอดเขาอันแหลมคม และเป็นเหมือน
ถูกบีบรัดด้วยแผ่นเหล็กฉะนั้น. ปุโรหิตนั้นได้รับทุกขเวทนา กลิ้งไป
กลิ้งมาร้องเสียงดังลั่น และเมื่อมหาชนกล่าวว่านี่อะไรกัน จึงกล่าวว่า
เรากล่าวมุสาวาทในคุณซึ่งไม่มีอยู่ภายในเราเลยว่ามีอยู่. แล้วขอ
ดอกไม้เหล่านี้ กะเทวบุตรเหล่านั้น ท่านทั้งหลายจงช่วยนำเอาดอกไม้
เหล่านี้ออกจากศีรษะของเราด้วยเถิด. ชนทั้งหลายถึงจะช่วยกันปลด
ดอกไม้เหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะปลดออกได้ ได้เป็นเหมือนดอกไม้
ที่ผูกรัดด้วยแผ่นเหล็ก. ลำดับนั้น ชนทั้งหลายจึงหามปุโรหิตนั้นนำ
ไปเรือน.
เมื่อปุโรหิตนั้นร้องอยู่ในเรือนนั้น กาลเวลาล่วงไปได้
๗
วัน.
พระราชารับสั่งเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า พราหมณ์ผู้
ทุศีลจักตาย เราจะทำอย่างไรกัน. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่
สมมติเทพ ขอพระองค์โปรดให้เล่นมหรสพอีกเถิด เทวบุตรทั้งหลาย
จักมาอีก. พระราชาจึงให้เล่นมหรสพอีก เทวบุตรทั้งหลายจึงมาอีก
ได้กระทำพระนครทั้งสิ้นให้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกันด้วยกลิ่นหอม
ของดอกไม้
แล้วได้ยืนอยู่ที่พระลานหลวงเหมือนอย่างเคยมา. มหา-
ชนประชุมกันแล้ว
นำพราหมณ์ผู้ทุศีลมา ให้นอนหงายอยู่ข้างหน้า
ของเทวบุตรเหล่านั้น.
พราหมณ์ปุโรหิตนั้นอ้อนวอนเทวบุตรทั้งหลาย
ว่า ข้าแต่นาย ขอท่านทั้งหลายจงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด. เทวบุตร
เหล่านั้นติเตียนพราหมณ์ปุโรหิตนั้นในท่ามกลางมหาชนว่า ดอกไม้
เหล่านี้ไม่สมควรแก่ท่านผู้ลามกทุศีลมีบาปธรรม ท่านได้สำคัญว่า
จักลวงเทวบุตรเหล่านี้ น่าอนาถ ท่านได้รับผลแห่งมุสาวาทของตน
แล้ว
ครั้นติเตียนแล้วจึงปลดเทริดดอกไม้ออกจากศีรษะ ให้โอวาท
แก่มหาชนแล้วได้ไปยังสถานที่ของตนทันที.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต บรรดา
เทวบุตรเหล่านั้น องค์หนึ่งได้เป็นพระกัสสป องค์หนึ่งได้เป็นพระ-
โมคคัลลานะ องค์หนึ่งได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนเทวบุตรผู้เป็นหัวหน้า
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากักการุชาดกที่ ๖