อรรถกถาพรหมทัตตชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยเมืองอาฬวีประทับอยู่    อัคคาฬว-

เจดีย์  ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบท  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำ

เริ่มต้นว่า  ทฺวยํ  ยาจนโก  ราช  ดังนี้.

       เรื่องปัจจุบันมีมาแล้วในมณิขันธชาดก  ในหนหลังนั่นเอง.

แต่ในเรื่องนี้  พระศาสดาตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ได้ยินว่า

พวกเธอมากไปด้วยการขอ  มากไปด้วยการทำวิญญัติอยู่  จริงหรือ

เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า  พระเจ้าข้า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  จึง

ทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น  แล้วตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  โบราณก-

บัณฑิตทั้งหลาย  แม้ผู้อันพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินปวารณาไว้

ปรารถนาจะขอร่มใบไม้  และรองเท้าชั้นเดียวคู่หนึ่ง  ก็ไม่ขอในท่าม

กลางมหาชน  เพราะกลัวหิริโอตตัปปะร้าวฉาน  จึงได้กล่าวขอในที่ลับ

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าปัญจาลราชครองราชสมบัติอยู่ใน

อุตตรปัญจาลนคร  กบิลรัฐ  พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์

ในบ้านตำบลหนึ่ง  เจริญวัยแล้วไปเมืองตักกศิลาเรียนศิลปะทั้งปวง

ในกาลต่อมา  ได้บวชเป็นดาบส  เลี้ยงชีพด้วยมูลผลาผลของป่า  ด้วย

การแสวงหา  อยู่ในหิมวันตประเทศช้านาน  เมื่อจะเที่ยวไปยังถิ่น

มนุษย์เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว  จึงไปยังอุตตรปัญจาลนคร

อยู่ในพระราชอุทยาน  วันรุ่งขึ้น  เมื่อจะแสวงหาภิกษาจึงเข้าไปยัง

พระนคร  ถึงประตูพระราชวัง.  พระราชาทรงเลื่อมใสในอาจาระของ

พระดาบสนั้น  จึงนิมนต์ให้นั่งในท้องพระโรง  ให้ฉันโภชนะอันควร

แก่พระราชา  ถือเอาปฏิญญาแล้วให้อยู่ในพระราชอุทยานนั่นแหละ.

พระดาบสนั้นฉันอยู่  เฉพาะในพระราชมณเฑียรนั่นเองเป็นประจำ

เมื่อล่วงฤดูฝนแล้ว  มีความประสงค์จะไปยังหิมวันตประเทศตามเดิม

จึงคิดว่า  เมื่อเราจะเดินทางไป  ควรจะได้รองเท้าชั้นเดียวหนึ่งคู่  และ

ร่มใบไม้หนึ่งคัน  เราจักทูลขอพระราชา.  วันหนึ่ง  พระดาบสนั้น

เห็นพระราชาเสด็จมายังพระราชอุทยานไหว้แล้วประทับนั่งอยู่  จึงคิด

ว่า  จักทูลขอรองเท้าและร่ม  กลับคิดอีกว่า  คนเมื่อขอผู้อื่นว่า  ท่าน

จงให้ของชื่อนี้  ชื่อว่าย่อมร้องไห้  ฝ่ายคนอื่นผู้กล่าวว่า  ไม่มี  ชื่อว่า

ย่อมร้องไห้ตอบ  ก็มหาชนอย่าได้เห็นเราผู้ร้องไห้  อย่าได้เห็นพระ-

ราชาร้องไห้ตอบเลย  ดังนั้น  เราแม้ทั้งสองร้องไห้กันอยู่ในที่ปกปิด

เร้นลับจักเป็นผู้นิ่งเงียบ.  ลำดับนั้น  พระดาบสจึงกราบทูลกะพระ-

ราชานั้นว่า  ข้าแต่มหาราช  อาตมภาพหวังเฉพาะที่ลับ.  พระราชาได้

ทรงสดับดังนั้น  จึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษถอยออกไป.  พระโพธิสัตว์

คิดว่า  ถ้าเมื่อเราทูลขอ  พระราชาจักไม่ประทานให้ไซร้  ไมตรีของ

เราก็จักแตกไป  เพราะฉะนั้น  เราจักไม่ทูลขอ  จึงในวันนั้น  เมื่อไม่

อาจระบุชื่อ  จึงกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  ขอพระองค์จงเสด็จไป

ก่อนเถิด  อาตมภาพจักรู้ในวันพรุ่งนี้.  ในกาลที่พระราชาเสด็จมา

พระราชอุทยานอีกวันหนึ่ง  ก็กราบทูลเหมือนอย่างนั้น  อีกวันหนึ่งก็

กราบทูลเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ  รวมความว่า  เมื่อพระโพธิสัตว์

นั้นไม่อาจทูลขออย่างนี้เวลาได้ล่วงเลยไป  ๑๒  ปี.  ลำดับนั้น  พระ-

ราชาทรงดำริว่า  พระผู้เป็นเจ้าของเรากล่าวว่า  หวังเฉพาะที่ลับ  เมื่อ

บริษัทถอยออกไปแล้ว  ก็ไม่อาจกล่าวคำอะไรๆ  เมื่อพระผู้เป็นเจ้า

ประสงค์จะกล่าวเท่านั้น  กาลเวลาล่วงไปถึง  ๑๒  ปี  อนึ่ง  พระผู้เป็น-

เจ้านั้น  ประพฤติพรหมจรรย์มานาน  ชะรอยเธอจะระอาใจใคร่จะ

บริโภคสมบัติ  หวังเฉพาะราชสมบัติกระมัง  ก็เธอเมื่อไม่อาจระบุชื่อ

ราชสมบัติจึงได้นิ่ง  วันนี้เราจักรู้กันละ  เธอปรารถนาสิ่งใด  เราจัก

ให้สิ่งนั้น  ตั้งต้นแต่ราชสมบัติไป.  พระราชานั้นเสด็จไปยังพระราช-

อุทยานทรงนมัสการแล้วประทับนั่ง  เมื่อพระโพธิสัตว์กราบทูลว่า

อาตมภาพหวังเฉพาะในที่ลับ  และเมื่อบริษัทถอยออกไปแล้ว  จึงตรัส

กะพระโพธิสัตว์นั้นผู้ไม่อาจกราบทูลอะไรๆ  ว่า  ท่านกล่าวว่า  หวังได้

ที่ลับ  แม้ได้ที่ลับแล้วก็ไม่อาจกล่าวอะไร  ตลอดเวลา  ๑๒  ปี  ข้าพเจ้า

ขอปวารณาสิ่งทั้งปวงมีราชสมบัติเป็นต้นต่อท่าน  ท่านอย่าได้กลัวภัย

จงขอสิ่งที่ท่านชอบใจเถิด.  พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า  ขอถวายพระพรมหา-

บพิตร  พระองค์จักประทานสิ่งที่อาตมภาพทูลขอหรือ.  พระราชาตรัสว่า

ท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้าจักให้.  พระโพธิสัตว์ทูลว่า  ขอถวายพระพร

มหาบพิตร  เมื่ออาตมภาพเดินทางไปควรจะได้รองเท้าชั้นเดียวคู่หนึ่ง

กับร่มใบไม้หนึ่งคัน.  พระราชาตรัสว่า  ท่านผู้เจริญ  สิ่งของมีประมาณ

เท่านี้  ท่านไม่อาจขอจนตลอดเวลา  ๑๒  ปีเทียวหรือ.  พระโพธิสัตว์

ทูลว่า  ขอถวายพระพรมหาบพิตร.  พระราชาตรัสถามว่า  ท่าน

ผู้เจริญ  เพราะเหตุไร  ?  ท่านจึงได้กระทำอย่างนี้.  พระโพธิสัตว์

กราบทูลว่า  มหาบพิตร  คนผู้ขอว่า  ท่านจงให้สิ่งชื่อนี้แก่เรา  ชื่อว่า

ร้องไห้  คนผู้กล่าวว่า  ไม่มี  ชื่อว่าร้องไห้ตอบ  ถ้าพระองค์ถูกอาตม-

ภาพทูลขอจะไม่พระราชทานไซร้  มหาชนจงอย่าได้เห็นการที่อาตมภาพ

จึงหวังเฉพาะที่ลับ  เพื่อประโยชน์นี้  แล้วได้กล่าวคาถา    คาถา

เบื้องต้นว่า  :-

              ข้าแต่พระเจ้าพรหมทัต  ผู้ขอย่อมได้

         อย่าง  คือไม่ได้กับได้ทรัพย์  แท้จริง  การ

       ขอย่อมมีอย่างนี้เป็นธรรมดา.

              ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าชาวปัญ-

       จาละ  บัณฑิตกล่าวการขอว่า  เป็นการร้องไห้

       ผู้ใดปฏิเสธต่อผู้ขอ  บัณฑิตกล่าวผู้นั้นว่า

       เป็นการร้องไห้ตอบ.

              ชาวปัญจาละผู้มาประชุมกันแล้ว  อย่า

       ได้เห็นอาตมภาพผู้กำลังร้องไห้อยู่  หรืออย่า

       ได้เห็นพระองค์ผู้กำลังกรรแสงตอบอยู่  เพราะ

       ฉะนั้น  อาตมภาพจึงปรารถนาขอเฝ้าในที่ลับ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  พระโพธิสัตว์เรียกพระราชา  แม้ด้วยบท

ทั้งสองว่า  ราช  พฺรหฺมทตฺต  บทว่า  นิคจฺฉติ  ได้แก่  ย่อมได้

เฉพาะ  คือ  ย่อมประสบ.  บทว่า  เอวํธมฺมา  แปลว่า  มีอย่างนี้

เป็นสภาวะ  บทว่า  อาหุ  ความว่า  บัณฑิตทั้งหลายย่อมกล่าว.  บทว่า

ปญฺจาลานํ  รเถสภ  ได้แก่  ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นปัญจาละ.  บทว่า

โย  ยาจนํ  ปจฺจกฺขาติ  ความว่า  ก็ผู้ใดย่อมปฏิเสธต่อผู้ขอนั้นว่า

ไม่มี.  บทว่า  ตมาหุ  ความว่า  บัณฑิตทั้งหลายกล่าวแล้ว  คือย่อม

กล่าวการปฏิเสธนั้นว่า  เป็นการร้องไห้ตอบ.  บทว่า  มํ  มาทฺทสํสุ

ความว่า  ชาวปัญจาละผู้อยู่ในแคว้นของพระองค์มาประชุมกันแล้ว

อย่าได้เห็นอาตมภาพผู้ร้องไห้อยู่เลย.

       พระราชาทรงเลื่อมใสในลักษณะแห่งความเคารพของพระ-

โพธิสัตว์  เมื่อจะทรงให้พร  จึงตรัสคาถาที่    ว่า  :-

              ข้าแต่ท่านพราหมณ์  ข้าพเจ้าขอถวาย

       วัวแดงหนึ่งพันตัวพร้อมด้วยโคจ่าฝูงแก่ท่าน

       อันอารยชนได้ฟังคาถาอันประกอบด้วยเหตุ

       ผลของท่านแล้ว  ไฉนจะไม่พึงให้แก่อารยชน

       เล่า.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  โรหิณีนํ  แปลว่า  มีสีแดง.  บทว่า

อริโย  ได้แก่  ผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระคือมารยาท.  บทว่า  อริยสฺส

ได้แก่  ผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระคือมารยาท  บทว่า  กถํ    ทชฺเช

ความว่า  เพราะเหตุไร  จะไม่พึงให้.  บทว่า  ธมฺมยุตฺตา  ได้แก่

ประกอบด้วยเหตุ.

       ฝ่ายพระโพธิสัตว์กราบทูลว่า  ข้าแต่มหาบพิตร  อาตมภาพไม่

ต้องการวัตถุกาม  พระองค์จงประทานสิ่งที่อาตมภาพทูลขอ  แล้วรับ

เอารองเท้าชั้นเดียวกับร่มใบไม้  โอวาทพระราชาว่า  ขอถวายพระพร

มหาบพิตร  ขอพระองค์อย่าทรงประมาท  จงรักษาศีล  กระทำอุโบสถ-

กรรมเถิด  เมื่อพระราชาทรงวิงวอนอยู่นั่นแล  ได้ไปยังหิมวันต-

ประเทศ  ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดในที่นั้นแล้ว  ได้มีพรหมโลก

เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พระราชาในครั้งนั้น  ได้เป็นพระอานนท์  ส่วนดาบส

ในครั้งนั้น  คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาพรหมทัตตชาดกที่