อรรถกถากณเวรชาดก*ที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

การประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้

มีคำเริ่มต้นว่า  ยนฺตํ  วสนฺตสมเย  ดังนี้.

       เรื่องราวปัจจุบันจักมีแจ้งในอินฺทฺริยชาดก  ส่วนในที่นี้  พระ-

ศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า  ดูก่อนภิกษุ  เมื่อชาติก่อนเธออาศัยหญิงนี้

จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้.

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-

พาราณสี  พระโพธิสัตว์เกิดฤกษ์โจรในเรือนของคฤหบดีคนหนึ่งใน

กาสิกคาม  พอเจริญวัยแล้ว  กระทำโจรกรรมเลี้ยงชีวิต  จนปรากฏ

ในโลก  เป็นผู้กล้าหาญ  มีกำลังดุจช้างสาร  ใครๆ  ไม่สามารถจับ

พระโพธิสัตว์นั้นได้  วันหนึ่ง  พระโพธิสัตว์นั้นตัดที่ต่อเรือนในเรือน

ของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก.  ชาวพระนครพากันเข้า

ไปเฝ้าพระราชา  กราบทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  มหาโจรคนหนึ่งปล้น

พระนคร  ขอพระองค์โปรดให้จับโจรนั้น.  พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่

ผู้รักษาพระนครให้จับมหาโจรนั้น.  ในตอนกลางคืน  เจ้าหน้าที่ผู้รักษา

พระนครนั้น  ได้วางผู้คนไว้เป็นพวกๆ  ในที่นั้นๆ  ให้จับมหาโจรนั้น

______________________________

*  ในพระสูตรเป็น  กณเวรชาดก

ได้พร้อมทั้งของกลาง  แล้วกราบทูลแก่พระราชา.  พระราชาทรงสั่ง

เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า  จงตัดศีรษะมัน.  เจ้าหน้าที่

ผู้รักษาพระนครมัดมือไพล่หลังมหาโจรนั้นอย่างแน่นหนา  แล้วคล้อง

พวงมาลัยดอกยี่โถแดงที่คอของมหาโจรนั้น  แล้วโรยผงอิฐบนศีรษะ

เฆี่ยนมหาโจรนั้นด้วยหวายครั้งละ    รอย  จึงนำไปยังตะแลงแกง

ด้วยปัณเฑาะว์อันมีเสียงแข็งกร้าว  พระนครทั้งสิ้นก็ลือกระฉ่อนไปว่า

ได้ยินว่า  โจรผู้ทำการปล้นในนครนี้  ถูกจับแล้ว  ครั้งนั้น  ใน

นครพาราณสี  มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา  มีค่าตัวหนึ่งพัน  เป็นผู้โปรด

ปรานของพระราชา  มีวรรณทาสี  ๕๐๐  คนเป็นบริวาร  ยืนเปิด

หน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท  เห็นโจรนั้นกำลังถูกนำไปอยู่  ก็โจรนั้นเป็น

ผู้มีรูปงามน่าเสน่หา  ถึงความงามเลิศยิ่ง  มีผิวพรรณดุจเทวดา  ปรากฏ

เด่นกว่าคนทั้งปวง.  นางสามาเห็นเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่คิดอยู่ว่า

เราจะกระทำบุรุษนี้ให้เป็นสามีของเราได้ด้วยอุบายอะไรหนอ  รู้ว่ามี

อุบายอยู่อย่างหนึ่ง  จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งในมือหญิงคนใช้คนหนึ่ง

ผู้กระทำตามความต้องการของตนได้  เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษา

พระนคร  โดยให้พูดว่า  โจรนี้เป็นพี่ชายของนางสามา  เว้นนางสามา

เสีย  ผู้อื่นที่จะเป็นที่อาศัยของโจรนี้ย่อมไม่มีนัยว่า  ท่านรับเอาทรัพย์

หนึ่งพันนี้แล้วปล่อยโจรนี้.  หญิงคนใช้นั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.

เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า  โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง  เราไม่อาจ

ปล่อยโจรนี้ได้  แต่เราได้คนอื่นแล้วอาจให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิด

แล้วจึงส่งไปได้.  หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น.  ก็ในกาล

นั้น  มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่ง  มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา  ให้

ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน.  แม้วันนั้น  เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์

หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น  ในเวลาพระอาทิตย์อัศดงคต.  ฝ่ายนางสามา

รับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อนแล้วนั่งร้องไห้  เมื่อเศรษฐีบุตรนั้น

กล่าวว่า  นางผู้เจริญ  นี่เรื่องอะไรกัน  จึงกล่าวว่า  ข้าแต่นาย  โจรนี้

เป็นพี่ชายของดิฉัน  เขาไม่มายังสำนักของดิฉัน  ด้วยคิดว่า  เราทำ

กรรมต่ำช้า  เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ  ส่งข่าว

มาว่า  เราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป  บัดนี้  ดิฉันได้ทรัพย์

หนึ่งพันนี้แล้ว  แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสำนักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษา

พระนคร.  เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง  เศรษฐีบุตรนั้นจึงกล่าวว่า  ฉัน

จักไปเอง.  นางสามากล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้น  ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นำ

มานั่นแหละไปเถิด.  เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือน

ของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร.  เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นพัก

เศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด  แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิด

แล้วส่งไปให้นางสามา  แล้วทำการอ้างว่า  โจรนี้เป็นโจรโด่งดังใน

แว่นแคว้น  ต้องรอให้มือค่ำเสียก่อน  ทีนั้นพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้น

ในเวลาปลอดคน  แล้วยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง  เมื่อปลอดคนแล้ว  จึงนำ

เศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงด้วยการอารักขาอย่างแข็งแรง  แล้วเอา

ดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้ว  เข้าไปยังพระนคร.

       ตั้งแต่นั้นมา  นางสามามิได้รับอะไรๆ  จากมือของคนอื่นๆ 

เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้นนั่นแหละ  โจรนั้นคิดว่า  ถ้าหญิงนี้

จักมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นไซร้  แม้เรา  นางก็จักให้ฆ่าแล้วอภิรมย์กับ

ชายนั้นเท่านั้น  หญิงนี้เป็นผู้มักประทุษร้ายมิตรโดยส่วนเดียว  เรา

อยู่ในที่นี้  ควรรีบหนีไปที่อื่น  แต่เมื่อจะไปจะไม่ไปมือเปล่า  จักถือ

เอาห่อเครื่องอาภรณ์ของหญิงนี้ไปด้วย  วันหนึ่ง  จึงกล่าวกะนางสามา

นั้นว่า  นางผู้เจริญ  เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจำ  เหมือน

ไก่อยู่ในกรง  พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง.  นางสามานั้นรับคำ

แล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว  และของควรบริโภคเป็นต้น

ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง  นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้ว

ไปยังสวนอุทยาน.  โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้น

จึงคิดว่า  เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้  จึงทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์

ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น  จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่ง

ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้น  แล้วจึงกดลงทำให้สลบล้มลงแล้ว

ปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง  เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้ววางห่อมี

ภัณฑะไว้ที่คอ  โดดข้ามรั้วอุทยานหลบหลีกไป.  ฝ่ายนางสามานั้น

กลับได้สัญญาความทรงจำ  จึงลุกขึ้นมายังสำนักของพวกหญิงรับใช้

แล้วถามว่า  ลูกเจ้าไปไหน  ?  พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า  พวกดิฉันไม่

ทราบเลย  แม่เจ้า.  นางสามาคิดว่า  สามีของเราสำคัญเราว่าตายแล้ว

จึงกลัวแล้วหลบหนีไป  เสียใจ  จึงจากสวนอุทยานนั้นนั่นแลไปบ้าน

คิดว่า  ตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก  เราจักไม่นอนบนที่นอนที่

ประดับตกแต่ง  จึงนอนอยู่ที่พื้น.  ตั้งแต่นั้นมา  นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่

ชอบใจ  ไม่บริโภคภัตตาหาร    หน  ไม่แตะต้องของหอมและระเบียบ

ดอกไม้เป็นต้น  คิดว่า  เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่าง

หนึ่งบ้างแล้วให้เรียกกลับมา  จึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์

พันหนึ่ง.  เมื่อพวกนักฟ้อนรำกล่าวว่า  แม่เจ้า  พวกเราจะทำอะไร

ให้บ้าง.  นางจึงกล่าวว่า  ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป  ย่อม

ไม่มี  ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคม  และราชธานี  แสดง

การเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว  ในมณฑลสำหรับแสดง

การเล่น  เมื่อจะให้พวกฟ้อนรำศึกษาเอา  จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง  แล้ว

สั่งว่า  เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้  ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายใน

บริษัทนั้น  เขาจักกล่าวกับพวกท่าน  เมื่อเป็นเช่นนั้น  พวกท่านพึง

บอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขา  แล้วพาเขามา  ถ้าเขาไม่มา  พวกท่าน

พึงให้เขาส่งข่าวมา  ดังนี้แล้วมอบสะเบียงเดินทางให้แล้วส่งพวกนัก

ฟ้อนรำไป.  พวกนักฟ้อนเหล่านั้นออกจากนครพาราณสีกระทำการ

เล่นอยู่ในที่นั้นๆ  ได้ไปถึงบ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่ง.  โจรแม้คนนั้นก็

หนีไปอยู่ในบ้านปัตจันตคามนั้น.  พวกนักฟ้อนเหล่านั้น  เมื่อจะแสดง

การเล่นในที่นั้น  จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียวว่า  :-

              ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน  ในสมัย

       ที่อยู่ในกอชบามีสีแดง  เธอได้สั่งความไม่มี

       โรคมายังท่าน.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  กณเวรเรสุ  คือกณวีเรสุ  แปลว่า

ดอกชบา.  บทว่า  ภาณุสุ  ได้แก่  สมบูรณ์ด้วยสีแสงแห่งดอกแดงๆ.

บทว่า  สามํ  ได้แก่  ผู้มีชื่ออย่างนั้น.  บทว่า  ปิเฬสิ  ความว่า  ท่าน

บีบรัด  เหมือนคนผู้ประสงค์ร่วมภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีสวมกอดอยู่ฉะนั้น.

บทว่า  สา  ตํ  ความว่า  นางสามานั้นหาโรคมิได้  แต่ท่านสำคัญว่า

นางตาย  จึงกลัวหลบหนีไป  นางนั้นได้บอกกล่าว  คือแจ้งถึงความ

ที่ตนไม่มีโรค.

       โจรได้ฟังเพลงขับนั้นจึงเข้าไปหานักฟ้อนแล้วกล่าวว่า  ท่าน

พูดว่า  สามายังมีชีวิต  แต่เราหาเชื่อไม่  เมื่อจะเจรจากับนักฟ้อนนั้น

จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ดูก่อนท่านผู้เจริญ  ข่าวที่ว่า  ลมพึงพัด

       ภูเขาไปได้  ใครๆ  คงไม่เชื่อถือ  ถ้าลมจะพึง

       พัดเอาภูเขาไปได้  แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัด

       ไปได้  เพราะเหตุไร  นางสามาตายแล้ว  จะ

       สั่งความไม่มีโรคถึงเราได้.

       คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า  ท่านนักฟ้อนผู้เจริญ  ข่าวที่ว่า

ลมพัดเอาภูเขาไปเหมือนหญ้าและใบไม้นี้  ใครๆ  คงไม่เชื่อ  ถ้าแม้

ลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้  แผ่นดินแม้ทั้งหมดก็คงพัดเอาไปได้  ก็ข้อนี้

ใครๆ  ไม่พึงเชื่อถือเหมือนเราไม่เชื่อข่าวนางสามานั่น.  บทว่า  ยตฺถ

สามา  กาลกตา  ความว่า  นางสามาทำกาละไปแล้ว  จะถามความ

ไม่มีโรคถึงเราได้เอง.  ถามว่า  เพราะเหตุไร  จึงไม่เชื่อ  ?  ตอบว่า  เพราะ

ธรรมดาคนที่ตายแล้ว  จะส่งข่าวสาส์นแก่ใครๆ  ไม่ได้.

       นักฟ้อนได้ฟังคำของโจรนั้นแล้ว  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              นางสามานั้นยังไม่ตาย  และไม่ปรารถนา

       ชายอื่น  ได้ยินว่า  นางจะมีผัวคนเดียว  ยังหวัง

       เฉพาะท่านเท่านั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ตเมว  อภิกงฺขติ  ความว่า  นาง

ไม่ปรารถนาชายอื่น  ยังหวัง  คือต้องการ  ปรารถนาเฉพาะท่านเท่านั้น.

       โจรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า  นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม  เรา

ไม่ต้องการนาง  แล้วกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ยังไม่เคยเชย

       ชิดสนิทสนม  กับบุรุษที่นางเคยเชยชิดสนิท-

       สนมมานาน  เปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำ

       กับบุรุษผู้เป็นขาประจำ  นางสามาคงจะ

       เปลี่ยนบุรุษอื่นแม้กับเราอีก  เราจักไปเสีย

       จากที่นี้ให้ไกลแสนไกล.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อสนฺถุตํ  ได้แก่  ผู้ยังไม่ได้ทำ

การสังสรรค์.  บทว่า  จิรสนฺถุเตน  แปลว่า  ผู้ได้ทำการสังสรรค์กัน

มานาน.  บทว่า  นิมินิ  แปลว่า  แลกเปลี่ยน.  บทว่า  อธุวํ  ธุเวน

ความว่า  นางสามาได้ให้ทรัพย์หนึ่งพันแก่เจ้าหน้าที่  ผู้รักษาพระนคร

แล้วรับเอาเรามา  เพื่อแลกเปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำกับสามีประจำ

นั้น.  บทว่า  มยาปิ  สามา  นิมิเนยฺย  อญฺ  ความว่า  นางสามา

พึงแลกเปลี่ยนเอาสามีคนอื่นแม้กับเรา.  ด้วยบทว่า  อิโต  อหํ  ทูรตรํ

นี้  โจรกล่าวว่า  เราจักไปยังที่ไกลแสนไกลเช่นที่ที่เราไม่อาจได้ฟังข่าว

หรือความเป็นไปของนางสามานั้น  เพราะฉะนั้น  ท่านทั้งหลายจง

บอกความที่เราจากที่นี้ไปที่อื่นแก่นางสามานั้น  เมื่อนักฟ้อนเหล่านั้น

เห็นอยู่นั่นแหละ  ได้นุ่งผ้าให้กระชับมั่นแล้วรีบหนีไป.

       นักฟ้อนทั้งหลายได้ไปบอกอาการกิริยา  ที่โจรนั้นกระทำแก่

นางสามานั้น.  นางเป็นผู้มีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ  จึงยังกาลเวลา

ให้ล่วงไปโดยปกติของตนนั่นแล.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้กระสัน

ถึงภรรยาเก่า  ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.  เศรษฐีบุตร  ในครั้งนั้น

ได้เป็นภิกษุรูปนี้  นางสามาในครั้งนั้นได้เป็นปุราณทุติยิกาภรรยาเก่า

ส่วนโจรในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถากณเวรชาดกที่