พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

พระเจ้าโกศล  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  ทุชฺชีวิตม-

ชีวิมฺหา  ดังนี้.

       ได้ยินว่า  ในครั้งนั้น  พระเจ้าโกศลได้ทรงสดับเสียงของ

สัตว์นรก    ตน  ในตอนกลางคืน  คือสัตว์นรกตนหนึ่งกล่าวเฉพาะ

ทุ  อักษรเท่านั้น  ตนหนึ่งกล่าว    อักษร  ตนหนึ่งกล่าว    อักษร

ตนหนึ่งกล่าว  โส  อักษรเท่านั้น.  นัยว่า  ในอดีตภพ  สัตว์นรก

เหล่านั้นได้เป็นราชโอรสทำปรทาริกกรรม  อยู่ในพระนครสาวัตถี

นั่นเอง.  พระราชโอรสเหล่านั้นผิดมาตุคามทั้งหลายที่คนอื่นรักษา

คุ้มครอง  เล่นเพลิดเพลินใจทำบาปกรรม  ถูกกงจักรคือความตาย

ตัดแล้ว  บังเกิดในโลหกุมภี    ขุม    ที่ใกล้พระนครสาวัตถี  ไหม้

อยู่ในโลหกุมภีนั้น    หมื่นปี  ผุดขึ้นมา  เห็นขอบปากโลหกุมภี

ทั้ง    ตนพากันร้องตามลำดับกันด้วยเสียงอันดังว่า  เมื่อไรหนอ

พวกเราจักพ้นทุกข์นี้.  พระราชาได้ทรงสดับเสียงของสัตว์นรกเหล่านั้น

ทรงสดุ้งกลัวต่อมรณภัย  ประทับนั่งอยู่นั่นแหละจนอรุณขึ้น.  ในเวลา

รุ่งอรุณแล้ว  พราหมณ์ทั้งหลายมาเฝ้าทูลถามพระราชาถึงสุขไสยาส.

พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย  เราจะนอนสบายมาแต่ไหน

วันนี้   เราได้ยินเสียงน่าหวาดเสียว    เสียงเห็นปานนี้.  พราหมณ์

ทั้งหลายพากันสบัดมือ.  พระราชาตรัสถามว่า  เป็นอย่างไรหรือ

ท่านอาจารย์.  พวกพราหมณ์กราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  เสียงหยาบช้า

สาหัสมาก  พระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสว่า  แก้ไขได้หรือไม่.  พวก

พราหมณ์กราบทูลว่า  ถึงจะแก้ไขไม่ได้แต่พวกข้าพระองค์ได้ศึกษา

มาดีแล้ว.  พระราชาตรัสว่า  ท่านทั้งหลายจักทำอย่างไรจึงจักห้ามได้.

พวกพราหมณ์กราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  พวกข้าพระองค์ไม่อาจทำ

พิธีกรรมแก้ไขให้เป็นการใหญ่โต  แต่พวกข้าพระองค์จักบูชายัญ

ประกอบด้วยเครื่อง    ทุกอย่างป้องกันไว้.  พระราชาตรัสว่า  ถ้า

อย่างนั้น  ท่านทั้งหลายจงรีบจับสัตว์มีชีวิตอย่างละ    ตั้งต้นแต่

นกมูลไถไป  คือ  ช้าง    ม้า    โคผู้    มนุษย์    แล้วบูชายัญ

ประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ    กระทำความสวัสดีแก่เราเถิด.

พราหมณ์ทั้งหลายรับพระดำรัสว่า  ดีละข้าแต่มหาราช  แล้วถือเอาสิ่ง

ที่ต้องการไปขุดหลุมยัญ  นำสัตว์เป็นอันมากเข้าไปผูกไว้ที่หลัก  ถึง

ความอุตสาหะว่า  พวกเราจักกินเนื้อปลามาก  จักได้ทรัพย์มาก

จึงกราบทูลว่า.  ข้าแต่สมมติเทพ  ได้สิ่งนี้ควร  ได้สิ่งนี้ควร  เที่ยว

วุ่นวายอยู่.  พระนางมัลลิกาเทวีเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วทูลถามว่า

ข้าแต่มหาราช  เหตุไรหนอพวกพราหมณ์จึงร่าเริงเหลือเกินเที่ยวไปอยู่.

พระราชาตรัสว่า  เทวี  ประโยชน์อะไรด้วยเรื่องนี้แก่เธอ  เธอประมาท

มัวเมาอยู่ด้วยยศอย่างของตน  ส่วนความทุกข์ตกอยู่แก่เราเท่านั้น.

พระนางมัลลิกาทูลถามว่า  เรื่องอะไรเล่า    มหาราชเจ้า.  พระราชา

ตรัสว่า  ดูก่อนเทวี  ฉันได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินชื่อเห็นปานนี้  แต่นั้น

จึงได้ถามพราหมณ์ทั้งหลายว่า  เพราะได้ยินเสียงเหล่านี้  เหตุการณ์

อะไรจักเกิดมี  พวกพราหมณ์พากันกล่าวว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้า  อันตราย

แห่งราชสมบัติ  แห่งโภคทรัพย์  หรือแห่งชีวิต  จักปรากฎแก่พระองค์

พวกข้าพระองค์จักบูชายัญด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ    แล้วจักมีความ

สวัสดี  พราหมณ์เหล่านั้นรับคำสั่งของฉันแล้ว  ทำหลุมยัญแล้วพากัน

มา  เพราะเหตุแห่งของที่ต้องการนั้น  พระนางมัลลิกากราบทูลว่า

ข้าแต่สมมติเทพ  ก็พระองค์ทูลถามพราหมณ์ผู้เลิศในโลก  พร้อมทั้ง

เทวโลก  ถึงความสำเร็จผลแห่งเสียงเหล่านี้แล้วหรือ  ?  พระราชา

ตรัสว่า  ดูก่อนเทวี  ใครนั่น  ?  เป็นพราหมณ์ผู้เลิศในโลกพร้อมทั้ง

เทวโลก.  พระนางมัลลิกากราบทูลว่า  พระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระราชาตรัสว่า  พระเทวี  ฉันยังไม่ได้ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนางมัลลิกากราบทูลว่า  ถ้าอย่างนั้น  ขอพระองค์จงเสด็จไปทูลถาม

ท่านเถิด.  พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคำของพระนางมัลลิกานั้น  เสวย

พระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ  เสด็จไปยังพระ-

วิหารเชตวัน  ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลถามว่า  ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ  ในตอนกลางคืนหม่อมฉันได้ยินเสียง    เสียง  ถามพวก

พราหมณ์ดูแล้ว  เขาบอกว่า  จักบูชายัญด้วยสิ่งของทั้งปวงอย่างละ 

แล้วจักทำความสวัสดีให้เพราะได้ยินเสียงเหล่านั้น เหตุอะไรจักมีแก่

หม่อมฉัน  พระเจ้าข้า.  พระศาสดาตรัสว่า  มหาบพิตร  เหตุอะไร ๆ

ไม่มีแก่พระองค์  สัตว์นรกทั้งหลายเสวยทุกข์อยู่จึงร้องอย่างนี้  เสียง

เหล่านี้  พระองค์ได้ฟังอย่างนี้  เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้

พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลายก็ได้ทรงสดับมาแล้วเหมือนกัน  ท้าวเธอ

มีพระประสงค์จะทำยัญด้วยการฆ่าปศุสัตว์  เพราะตรัสถามพวก

พราหมณ์  แต่ไม่ทรงกระทำ  เพราะได้ฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลาย

บัณฑิตทั้งหลายกล่าวแถลงเค้าเงื่อนแห่งเสียงเหล่านั้น  ได้ให้ปล่อย

มหาชนไป  ได้กระทำความสวัสดีปลอดภัยให้แล้ว  อันพระราชานั้น

ทูลอาราธนาแล้ว  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกาสิก-

คามแห่งหนึ่ง  เจริญวัยแล้วก็ละกามทั้งหลายบวชเป็นฤาษี  ทำฌานและ

อภิญญาให้เกิดขึ้น  เล่นฌานอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์    ประเทศ

หิมพานต์.  ในกาลนั้น  พระเจ้าพาราณสี  ได้สดับเสียง    ประการนี้

ของสัตว์นรก    ตน  ทรงหวาดกลัวสดุ้งพระทัย  เมื่อพราหมณ์

ทั้งหลายกราบทูลโดยทำนองนี้แหละว่า  อันตราย    อย่าง  อย่างใด

อย่างหนึ่งจักบังเกิดมี  ข้าพระองค์ทั้งหลายจักทำอันตรายนั้นให้สงบลง

ด้วยยัญ  ประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ    จึงทรงรับเอา.  ปุโรหิต

พร้อมกับพวกพราหมณ์ให้ขุดหลุมสำหรับบูชายัญ.  มหาชนถูกนำเข้า

ไปที่หลัก.  ในกาลนั้น  พระโพธิสัตว์กระทำเมตตาภาวนาให้เป็น

ปุเรจาริก  ตรวจดูชาวโลกด้วยทิพยจักษุ  ได้เห็นเหตุนี้แล้วคิดว่า  วันนี้

เราควรจะไป  ความสวัสดีปลอดภัยจักมีแก่มหาชน  จึงเหาะขึ้นยัง

เวหาสด้วยกำลังฤทธิ์  แล้วลงที่พระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี

นั่งอยู่ที่แผ่นมงคลศิลาประดุจรูปทอง.  ในกาลนั้น  อันเตวาสิกผู้ใหญ่

ของปุโรหิต  เข้าไปหาอาจารย์แล้วกล่าวว่า  ท่านอาจารย์  ในเวทย์

ของเราทั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่าการฆ่าผู้อื่นแล้วกระทำความสวัสดีปลอดภัย

ให้ย่อมไม่มี  มิใช่หรือ.  ปุโรหิตห้ามอันเตวาสิกนั้นว่า  เจ้าจงพอใจ

ราชทรัพย์  เราจักได้กินมัจฉมังสาหารเป็นอันมาก  จักได้ทรัพย์

เจ้าจงนิ่งเสียเถิด.  อันเตวาสิกนั้นคิดว่า  เราจักไม่เป็นสหายในเรื่องนี้

จึงออกไปยังพระราชอุทยาน  เห็นพระโพธิสัตว์แล้วจึงไหว้  กระทำ

ปฏิสันถารแล้วนั่ง    ส่วนข้างหนึ่ง.  พระโพธิสัตว์ถามว่า  มาณพ

พระราชาครองราชสมบัติโดยธรรมหรือ  ?  อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่า

ท่านผู้เจริญ  พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม  แต่ในตอน

กลางคืน  พระราชาได้ทรงสดับเสียง    ประการจึงตรัสถามพราหมณ์

ทั้งหลาย  พวกพราหมณ์กราบทูลว่า  ข้าพระองค์ทั้งหลายจักบูชายัญ

ด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ    แล้วจักกระทำความสวัสดีให้  พระราชา

ทรงพระประสงค์จะทำกรรมคือฆ่าปศุสัตว์  แล้วกระทำความสวัสดีให้

แก่ตน  มหาชนถูกนำเข้าไปไว้ที่หลัก  ท่านผู้เจริญ  การที่ผู้มีศีล

เช่นกับท่านจะบอกความสำเร็จผลแห่งเสียงเหล่านั้น  แล้วปลดปล่อย

มหาชนจากปากแห่งความตาย  ย่อมไม่ควรหรือหนอ.  พระโพธิสัตว์

กล่าวว่า  มาณพ  พระราชาไม่ทรงรู้จักพวกเรา  แม้พวกเราก็ไม่รู้จัก

พระราชาพระองค์นั้น  แต่เราทั้งหลายรู้จักความสำเร็จผลแห่งเสียง

เหล่านี้  ถ้าพระราชาจะเสด็จมาหาเราแล้วถาม  เราจะทูลถวายพระราชา

ให้หมดความสงสัย.  อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่า  ท่านผู้เจริญ  ถ้าอย่างนั้น

ท่านจงอยู่ที่นี้แหละ  สักครู่เราจักนำพระราชามา.  พระโพธิสัตว์

กล่าวว่า  ดีละมาณพ.  อันเตวาสิกนั้นไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา

แล้วนำพระราชาเสด็จมา.  พระราชาทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วนั่ง 

ส่วนข้างหนึ่ง  ตรัสถามว่า  ได้ยินว่า  ท่านรู้ความสำเร็จผลแห่งเสียง

ที่ข้าพเจ้าได้ฟังมา  จริงหรือ.  พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า  ขอถวาย

พระพรมหาบพิตร.  พระราชาตรัสว่า  ท่านผู้เจริญ  ขอท่านจงบอก.

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า  มหาบพิตร  ในภพก่อนสัตว์นรกเหล่านี้

ถึงความประพฤติในทาระทั้งหลายที่คนอื่นรักษาคุ้มครอง  จึงบังเกิด

ในโลหกุมภีทั้ง    ขุม    ที่ใกล้พระนครพาราณสี  ถูกเคี่ยวจนกาย

เป็นฟองในน้ำด่างโลหะอันเดือดพล่านตกไปเบื้องล่างจรดถึงภาคพื้น

สิ้นเวลา    หมื่นปี  ผุดขึ้นเบื้องบนได้เห็นปากหม้อโลหกุมภีโดยกาล

  หมื่นปีเช่นกัน  ได้แลไปภายนอก  ทั้ง    คน  แม้ประสงค์จะ

กล่าวคาถา    คาถาให้ครบบริบูรณ์  ก็ไม่อาจกระทำได้อย่างนั้น

กล่าวได้แต่คนละอักขระเดียวเท่านั้น  กลับจมลงในโลหกุมภีตามเดิมอีก

ในสัตว์นรกทั้ง    ตนนั้น  สัตว์ที่กล่าว  ทุ  อักษรแล้วจมลงไป

ได้เป็นผู้ประสงค์จะกล่าวอย่างนี้ว่า  :-

              เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่  เราทั้งหลาย

       ไม่ได้ให้ทาน  ไม่ได้ทำที่พึ่งให้แก่ตน  เราจึง

       มีชีวิตเป็นอยู่ได้แสนยาก.

       แต่ไม่อาจกล่าวได้  แล้วพระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถานั้นให้ครบ

บริบูรณ์  ด้วยฌานของตน.  แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บรรดาสัตว์เหล่านั้น  คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่  สุ  อักษรแล้วจะกล่าว

ต่อไปมีดังนี้ว่า  :-

              เมื่อเราทั้งหลายหมกไหม้อยู่ในนรก

       ตลอดหกหมื่นปีบริบูรณ์  โดยประการทั้งปวง

เมื่อไรที่สุดจักปรากฎ.

       คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่    อักษร  แล้วจะกล่าวต่อไป  มีดังนี้ว่า

              ดูก่อนชาวเราเอ๋ย  ที่สุดไม่มี  ที่สุดจัก

       มีแต่ที่ไหน  ที่สุดจักไม่ปรากฏ  ดูก่อนท่าน

       ผู้นิรทุกข์  เพราะในกาลนั้น  ทั้งเราและท่าน

       ได้กระทำบาปกรรมไว้มาก.

       คาถาของสัตว์ผู้ที่กล่าวแต่  โส  อักษร  แล้วจะกล่าวต่อไป

มีดังนี้ว่า  :-

              เรานั้นไปจากที่นี้  ได้กำเนิดมนุษย์รู้

       ภาษาแล้ว  จักเป็นคนสมบูรณ์ด้วยศีล  จัก

       ทำกุศลให้มากทีเดียว.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ทุชฺชีวิตํ  ความว่า  เมื่อประพฤติ

ทุจริต    อยู่  ชื่อว่าย่อมเป็นอยู่ชั่ว  คือเป็นอยู่ลามก.  แม้สัตว์นั้น

ก็หมายเอาความเป็นอยู่ชั่วนั้นนั่นแหละจึงกล่าวว่า  มีชีวิตเป็นอยู่

ชั่วช้า  ดังนี้.  บทว่า  เยสนฺโน    ททามฺหเส  ความว่า  เมื่อ

ไทยธรรมและปฏิคาหกมีอยู่ทีเดียว  เราทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน.  บทว่า

ทีปํ  นากมฺห  ความว่า  ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน.  บทว่า  สพฺพโส

แปลว่า  โดยอาการทั้งปวง.  บทว่า  ปริปุณฺณานิ  ได้แก่  ไม่หย่อน

ไม่ยิ่ง.  บทว่า  ปจฺจมานานํ  ได้แก่  เมื่อเราทั้งหลายไหม้อยู่ในนรก

อยู่.  บทว่า  นตฺถิ  อนฺโต  ความว่า  ไม่มีกำหนดกาลอย่างนี้ว่า  เรา

ทั้งหลายจักพ้นในกาลชื่อโน้น.  บทว่า  กุโต  อนฺโต  ความว่า

เพราะเหตุไรที่สุดจักปรากฏ.  บทว่า    อนฺโต  ความว่า  ที่สุด

แห่งทุกข์จักไม่ปรากฏแก่เราทั้งหลายแม้ผู้ใคร่จะเห็นที่สุด.  บทว่า

ตทา  หิ  ปกตํ  ความว่า  ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  ในกาลนั้น  เราและ

ท่านได้ทำบาปกรรมไว้มาก  คือทำไว้อย่างอุกฤษฏ์ยิ่ง.  บาลีว่า  ตถา

หิ  ปกตํ  จริงอย่างนั้น  เราและท่านทำบาปกรรมไว้มาก  ดังนี้ก็มี.

อธิบายว่า  เพราะเหตุที่ทำบาปกรรมไว้นั้น  จึงไม่อาจเห็นที่สุดแห่ง

ทุกข์นั้น.  บทว่า  มาริสา  แปลว่า  ผู้เช่นกับด้วยเรา.  คำว่ามาริสานี้

เป็นคำเรียกด้วยความรัก.  ศัพท์ว่า  นูน  เป็นนิบาตลงในอรรถว่า

แน่นอน.  ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า  เรานั้นไปจากนี้แล้วได้กำเนิด

มนุษย์  เป็นผู้โอบอ้อมอารี  สมบูรณ์ด้วยศีล  จักกระทำกุศลให้มาก

โดยส่วนเดียวแน่.

       พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวคาถาหนึ่งๆ  ด้วยประการดังนี้แล้วให้

พระราชาทรงทราบชัดว่า  ดูก่อนมหาบพิตร  สัตว์นรกนั้นประสงค์

จะกล่าวคาถานี้ให้ครบบริบูรณ์  แต่ไม่อาจทำอย่างนั้นได้  เพราะความ

ที่บาปของตนใหญ่หลวงนัก  ดังนั้น  สัตว์นรกนั้น  เมื่อได้เสวยวิบาก

แห่งกรรมของตนจึงได้ร้อง  ชื่อว่าอันตราย  เพราะเหตุปัจจัยที่ฟัง

เสียงนี้  ย่อมไม่มี  พระองค์อย่ากลัวเลย.  พระราชารับสั่งให้

ปล่อยมหาชนแล้วให้เที่ยวตีกลองสุวรรณเภรี  ป่าวประกาศให้ทำลาย

หลุมยัญ.  พระโพธิสัตว์กระทำความสวัสดีปลอดภัยให้แก่มหาชนแล้ว

พักอยู่  ๒-๓  วัน  จึงได้ไปที่หิมวันตประเทศนั้นนั่นเอง  เป็นผู้มี

ฌานไม่เสื่อม  จึงบังเกิดในพรหมโลก.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  มาณพของปุโรหิตในครั้งนั้น  ได้เป็นพระสารีบุตร

ส่วนดาบส  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาโลหกุมภีชาดกที่