อรรถกถาขันติวาทิชาดกที่ 

          พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

โย  เต  หตฺเถ    ปาเท    ดังนี้.

          เรื่องได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.  ก็ในที่นี้  พระ-

ศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า  เธอบวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้

ไม่โกรธ  เพราะเหตุไร  จึงกระทำความโกรธเล่า  โบราณกบัณฑิต

ทั้งหลาย  เมื่อเครื่องประหารตั้งพันตกลงบนร่างกาย  เมื่อถูกเขาตัดมือ

เท้า  หู  และจมูก  ก็ยังไม่กระทำความโกรธแก่คนอื่น  แล้วทรงนำเอา

เรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

          ในอดีตกาล  พระเจ้ากาสีพระนามว่ากลาปุทรงครองราชสมบัติ

อยู่ในนครพาราณสี  ในกาลนั้น  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล

พราหมณ์มีทรัพย์สมบัติ  ๘๐  โกฏิ  เป็นมาณพชื่อว่ากุณฑลกุมาร.

เจริญวัยแล้ว  ได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักกศิลา  แล้วรวบรวม

ทรัพย์สมบัติตั้งตัว  เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป.  จึงมองดูกองทรัพย์แล้ว

คิดว่า  ญาติทั้งหลายของเราทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นแล้วไม่ถือเอาไปเลย

แต่เราควรจะถือเอาทรัพย์นั้นไป  จึงจัดแจงทรัพย์ทั้งหมด  ให้ทรัพย์แก่

คนที่ควรให้  ด้วยอำนาจการให้ทาน  แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์  บวช

ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยผลาผลไม้  อยู่เป็นเวลาช้านาน  เพื่อต้องการ

จะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว  จึงไปยังถิ่นมนุษย์  ถึงนครพาราณสีโดย

ลำดับ  แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน.  วันรุ่งขึ้น  เที่ยวภิกขาจารไปใน

นคร  ถึงประตูนิเวศน์ของเสนาบดี.  เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของ

พระโพธิสัตว์นั้น  จึงให้เข้าไปยังเรือนโดยลำดับ  ให้บริโภคโภชนะที่

เขาจัดไว้เพื่อตน  ให้รับปฏิญญาแล้วให้อยู่ในพระราชอุทยานนั้นนั่นเอง.

อยู่มาวันหนึ่ง  พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์มีนางนักสนมห้อมล้อม

เสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่  ให้ลาดพระที่

บรรทมบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล  แล้วบรรทมเหนือตักของหญิงที่ทรง

โปรดคนหนึ่ง  หญิงนักฟ้อนทั้งหลายผู้ฉลาดในการขับร้อง  การ

ประโคม  และการฟ้อนรำ  ก็ประกอบการขับร้องเป็นต้น.  พระเจ้า

กลาปุได้มีสมบัติดุจของท้าวสักกเทวราช  ก็ทรงบรรทมหลับไป.  ลำดับ

นั้น  หญิงเหล่านั้น  พากันกล่าวว่า  พวกเราประกอบการขับร้อง

เป็นต้น  เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด  พระราชานั้นก็ทรงบรรทม

หลับไปแล้ว  ประโยชน์อะไรแก่พวกเรา.  ด้วยการขับร้องเป็นต้น  จึง

ทิ้งเครื่องดนตรีมีพิณเป็นต้นไว้ในที่นั้นๆ  เอง  แล้วหลีกไปยังพระราช-

อุทยาน  ถูกดอกไม้  ผลไม้  และใบไม้เป็นต้นล่อใจ  จึงอภิรมย์อยู่ใน

พระราชอุทยาน.  ในกาลนั้น  พระโพธิสัตว์นั่งอยู่  ดุจช้างซับมัน

ตัวประเสริฐ.  ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในบรรพชาอยู่    โคน

ต้นสาละมีดอกบานสะพรั่งในพระราชอุทยานนั้น.  ลำดับนั้น  หญิง

เหล่านั้นหลีกไปยังพระราชอุทยานแล้วเที่ยวไปอยู่  ได้เห็นพระโพธิ-

สัตว์นั้น  จึงกล่าวกันว่า  มาเถิดท่านทั้งหลาย  พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา

เป็นบรรพชิตนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง  พวกเราจักนั่งฟังอะไรๆ  ในสำนัก

ของพระผู้เป็นเจ้านั้น  ตราบเท่าที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม  จึงได้

ไปไหว้นั่งล้อมแล้วกล่าวว่า  ขอท่านโปรดกล่าวอะไรๆ  ที่ควรกล่าว

แก่พวกดิฉันเถิด.  พระโพธิสัตว์จึงกล่าวธรรมแก่หญิงเหล่านั้น.  ครั้ง

นั้น  หญิงคนนั้นขยับตัวทำให้พระราชาตื่นบรรทม.  พระราชาทรงตื่น

บรรทมแล้วไม่เห็นหญิงพวกนั้น  จึงตรัสว่า พวกหญิงถ่อยไปไหน.

หญิงคนโปรด  นั้นกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  หญิงเหล่านั้นไป.

นั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง.  พระราชาทรงกริ้วถือพระขรรค์ได้รีบเสด็จไป

ด้วยตั้งพระทัยว่า  จักตัดหัวของชฎิลโกงนั้น.  ลำดับนั้น  หญิงเหล่านั้น

เห็นพระราชาทรงกริ้วกำลังเสด็จมา  ในบรรดาหญิงเหล่านั้น  หญิงคน

ที่โปรดมากไปแย่งเอาพระแสงดาบจากพระหัตถ์ของพระราชาให้พระ-

ราชาสงบระงับ.  พระราชานั้นเสด็จไปประทับยืนในสำนักของพระ-

โพธิสัตว์แล้วตรัสถามว่า  สมณะ  แกมีวาทะว่ากระไร  ?  พระโพธิสัตว์

ทูลว่า  มหาบพิตรอาตมามี  ขันติวาทะ  กล่าวยกย่องขันติ.  พระราชา

ที่ชื่อว่าขันตินั้น  คืออะไร  ?  พระโพธิสัตว์  คือความไม่โกรธในเมื่อเขา

ด่าอยู่  ประหารอยู่  เย้ยหยันอยู่.  พระราชาตรัสว่า  ประเดี๋ยว  เรา

จักเห็นความมีขันติของแก  แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมา.

เพชฌฆาตนั้นถือขวานและแซ่หนามตามจารีตของตน  นุ่งผ้ากาสาวะ

สวมพวงมาลัยแดง  มาถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า  ข้าพระองค์

จะทำอะไร  พระเจ้าข้า  ?  พระราชาตรัสว่า  เจ้าจงจับดาบสชั่วเยี่ยงโจร

นี้  ฉุดให้ล้มลงพื้นแล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้งในข้างทั้งสี่  คือ

ข้างหน้า  ข้างหลัง  และด้านข้างๆ  ทั้งสองด้าน  เพชฌฆาตนั้นได้

กระทำเหมือนรับสั่งนั้น.  ผิวของพระโพธิสัตว์ขาด  หนังขาด  เนื้อขาด

โลหิตไหล.   พระราชาตรัสถามอีกว่า  เจ้ามีวาทะว่ากระไร  ?  พระโพธิ-

สัตว์ทูลว่า  มหาบพิตร  อาตมามีวาทยกย่องขันติ  ก็พระองค์สำคัญว่า

ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมา  ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของ

อาตมา  มหาบพิตร  ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย  ซึ่งพระ-

องค์ไม่อาจแลเห็น.  เพชฌฆาตทูลถามอีกว่า  ข้าพระองค์จะทำอะไร  ?

พระราชาตรัสว่า  จงตัดมือทั้งสองข้างของดาบสโกงผู้นี้.  เพชฌฆาตนั้น

จับขวานตัดมือทั้งสองข้างแค่ข้อมือ.  ทีนั้น  พระราชาตรัสกะเพชฌฆาต

นั้นว่า  จงตัดเท้าทั้งสองข้าง.  เพชฌฆาตก็ตัดเท้าทั้งสองข้าง.  โลหิต

ไหลออกจากปลายมือและปลายเท้า  เหมือนรดน้ำครั่งไหลออกจาก

หม้อทลุฉะนั้น.  พระราชาตรัสถามอีกว่า  เจ้ามีวาทะว่ากระไร  ?  พระ-

โพธิสัตว์ทูลว่า  มหาบพิตรอาตมามีวาทะยกย่องขันติ  ก็พระองค์สำคัญ

ว่า  ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา  ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้

เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันสถานที่ลึกซึ้ง.  พระ-

ราชานั้นตรัสว่า  จงตัดหูและจมูกของดาบสนี้.  เพชฌฆาตก็ตัดหู

และจมูก.  ทั่วทั้งร่างกายมีแต่โลหิต.  พระราชาตรัสถามอีกว่า  เจ้ามี

วาทะกระไร  ?  พระโพธิสัตว์ทูลว่า  มหาบพิตร  อาตมามีวาทะยกย่อง

ขันติ  แต่พระองค์ได้สำคัญว่า  ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหู  ปลายจมูก

ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก.  พระราชาตรัสว่า  เจ้า

ชฎิลโกง  เจ้าเท่านั้นจงนั่งยกเชิดชูขันติของเจ้าเถิด  แล้วเอาพระบาท

กระทืบยอดยกแล้วเสด็จหลีกไป.  เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว  เสนา-

บดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระโพธิสัตว์  แล้วเก็บรวบรวมปลายมือ

ปลายเท้า  ปลายหู  และปลายจมูกไว้ที่ชายผ้าสาฎกค่อยๆ  ประคองให้

พระโพธิสัตว์นั่งแล้วไหว้  ได้นั่ง    ส่วนข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า  ท่าน

ผู้เจริญ  ถ้าท่านจะโกรธ  ควรโกรธพระราชาผู้ทำผิดในท่านไม่ควร

โกรธผู้อื่น  เมื่อจะอ้อนวอนจึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

                   ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก  ผู้ใดให้

          ตัดมือ  เท้า  หู  และจมูกของท่าน  ท่านจงโกรธ

          ผู้นั้นเถิด  อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มหาวีร  แปลว่า  ผู้มีความเพียร

ใหญ่หลวง.  บทว่า  มา  รฏฺ€  วินสฺส  อิทํ  ความว่า  ท่านอย่าทำ

กาสิกรัฐอันหาความผิดมิได้นี้ให้พินาศ.

       พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ  เท้า

       หู  และจมูกของอาตมภาพ  ขอพระราชา

       พระองค์นั้นจงทรงพระชนม์ยืนนาน  บัณฑิต

       ทั้งหลาย  เช่นกับอาตมภาพย่อมไม่โกรธ

       เคืองเลย.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มาทิสา  ความว่า  บัณฑิตทั้งหลาย

ผู้ประกอบด้วยกำลังแห่งขันติเช่นกับอาตมา  ย่อมไม่โกรธว่า  ผู้นี้ด่า

บริภาษ  เย้ยหยัน  ประหารเรา  ตัดอวัยวะทำลายเรา.

       ในกาลที่พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน  ลับคลองจักษุ

ของพระโพธิสัตว์เท่านั้น  มหาปฐพีอันหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์นี้ก็

แยกออก  ประดุจผ้าสาฎกทั้งกว้างทั้งแข็งแตกออกฉะนั้น.  เปลวไฟ

จากอเวจีนรก  แลบออกมาจับพระราชาเหมือนห่มด้วยผ้ากัมพลแดงที่

ตระกูลมอบให้.  พระราชาเข้าสู่แผ่นดินที่ประตูพระราชอุทยานนั่นเอง

แล้วตั้งอยู่เฉพาะในอเวจีมหานรก.  พระโพธิสัตว์ก็ได้ทำกาละในวัน

นั้นเอง.  ราชบุรุษและชาวนครทั้งหลายถือของหอม  ดอกไม้  ประทีป

และธูป  มากระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์.  ส่วนเกจิอาจารย์

กล่าวว่า  พระโพธิสัตว์กลับไปยังหิมวันตประเทศนั่นเอง.  คำของเกจิ-

อาจารย์นั้นไม่จริง.  มีอภิสัมพุทธคาถาทั้งสองคาถานี้อยู่ว่า  :-

              สมณะผู้สมบูรณ์ด้วยขันติ  ได้มีมาใน

       อดีตกาลนานแล้ว  พระเจ้ากาสีได้รับสั่งให้ห้ำ

       หั่นสมณะนั้นผู้ดำรงอยู่เฉพาะในขันติธรรม.

              พระเจ้ากาสีหมกไหม้อยู่ในนรก  เสวย

       วิบากอันเผ็ดร้อนของกรรมที่หยาบช้านั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อตีตมทฺธานํ  แปลว่า  ในอดีตกาล

อันยาวนาน.  บทว่า  ขนฺติทีปโน  ได้แก่  ผู้เพียบพร้อมด้วยอธิวาสน-

ขันติ.  บทว่า  อเฉทยิ  ได้แก่  รับสั่งให้ฆ่า.  แต่พระเถระพวกหนึ่ง

กล่าวว่ามือและเท้าของพระโพธิสัตว์ต่อติดได้อีก.  คำนั้นไม่จริงเหมือน

กัน.  บทว่า  สมปฺปิโต  ได้แก่  ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้ขี้โกรธ

บรรลุพระอนาคามิผล.  พระเจ้ากาสีพระนามว่ากลาปุในครั้งนั้น  ได้

เป็นพระเทวทัต  เสนาบดีในครั้งนั้น  ได้เป็นพระสารีบุตร  ส่วนดาบส

ผู้มีวาทะยกย่องขันติในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ    อรรถกถาขันติวาทิชาดกที่